ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - ตอนที่ 30 : ไม่ต่างจากหายใจ
บทที่ 30 : ไม่ต่างจากหายใจ
“แกจะไม่คุกเข่าใช่มั๊ย ?”
ฮั๋วเว่ยเฟิงหมดความอดทนอย่างแท้จริงแล้ว เวลานี้ลูกสาวของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างที่สุด เขาจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยและพยายามสงบจิตสงบใจได้อีกต่อไป
ฮั๋วเว่ยเฟิงคำรามออกมาราวกับสิงห์โตที่กำลังคลุ้มคลั่ง “ได้ ! ถ้างั้นแกเจอดีแน่ !”
ฮั๋วเว่ยเฟิงหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง รอยยิ้มของเขาเย็นยะเยือกชวนขนลุก ดูคล้ายกับปีศาจกระหายเลือด
ส่วนบอดี้การ์ดของเขาก็รายล้อมเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว ..
ก่อนหน้านี้ทั้งหมดต่างก็ถูกซูอานจับทุ่มลงพื้นได้อย่างง่ายดาย แม้จะยังรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย แต่ที่ทุกคนยังคงไม่หวาดกลัวซูอานก็เพราะเจ้านายของตนนั่นเอง
“เป็นเพราะแกที่ขวางทางไว้ ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการผ่าตัดไป แกรู้ตัวบ้างมั๊ย ?”
ฮั๋วเว่ยเฟิงร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห และดวงตาของเขาเวลานี้ก็แดงก่ำ ..
ปกติแล้วฮั๋วเว่ยเฟิงไม่ใช่คนชอบโอ้อวน หรือข่มเหงรังแกผู้อื่น ตรงกันข้าม .. แม้จะเป็นนักธุรกิจที่มีโด่งดัง แต่เขากลับเป็นคนถ่อนเนื้อถ่อมตัว ไม่ชอบโอ้อวด และเป็นคนที่น่าเคารพนับถือมาก
แต่ครั้งนี้เป็นเพราะลูกสาวของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ทำให้เขาโมโหจนขาดสติ และควบคุมอารมณ์ไม่ได้
แต่ท่าทางที่นิ่งเฉยไม่มีอาการหวาดกลัว และดูขี้เล่นของซูอานนั้น ทำให้ฮั๋วเว่ยเฟิงถึงกับตกตะลึงไม่น้อย
“ถ้าแกไม่คุกเข่า ฉันจะฆ่าแกทิ้งซะ !”
บอดี้การ์ดรอบตัวซูอานเลื่อนมือไปจัดที่กระบอกปืนข้างเอวทันที และนี่คือสิ่งที่ทำให้เหล่าบอดี้การ์ดดูมั่นอกมั่นใจในระหว่างที่ล้อมซูอานไว้
และเมื่อเห็นด้ามประบอกปืน ซูอานก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาคิดไม่ถึงว่าทุกคนจะมีปืนเช่นนี้ !
ซูอานอาจจะไม่กลัวกลุ่มบอดี้การ์ดทั้งหมดนี้ได้ เพราะเขาสามารถเอาชนะหรือฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่สามารถเอาชนะปืนได้ และอย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ !
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของซูอาน ฮั๋วเว่ยเฟิงก็ถึงกับยิ้มหยันออกมาทันที
“ทำไม ? รู้จักกลัวลูกกระสุนแล้วรึ ?”
ซูอานนิ่งเงียบไม่ตอบ ใบหน้าของเขาเย็นชาขึ้นมากกว่าเดิม ..
“ยังจะกล้าอวดดีอยู่มั๊ย ?”
ฮั๋วเว่ยเฟิงร้องตะโกนออกมาเสียงดัง เสียงของเขาได้ยินไปทั่วทั้งร้าน และเวลานี้ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก
“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ ! ถ้าแกไม่คุกเข่า ฉันจะยิงแกทันที !”
ฮั๋วเว่ยเฟิงจ้องมองซูอานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเศร้าสร้อย ภายในใจนั้นเป็นห่วงลูกสาวอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการหาเรื่องกับซูอานเพื่อระบายความแค้นใจ
ซูอานยังคงไม่ยอมคุกเข่า แม้จะเผชิญหน้าอยู่กับปืน เขาก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ฮั๋วเว่ยเฟิง !
ตรงข้าม .. ซูอานกลับหัวเราะเสียงดัง ทำเหมือนขบขันและสนุกสนานอย่างมาก และนั่นทำให้ฮั๋วเว่ยเฟิงยิ่งโมโห และเดือดดาลมากกว่าเดิม เขาคว้าปืนจากบอดี้การ์ดคนหนึ่งมา พร้อมกับจี้ปลายกระบอกปืนไปที่หัวของซูอาน
“ถ้าแกกล้าก็หัวเราะอีกสิ .. ฉันบอกให้หัวเราะยังไงล่ะ !”
เวลานี้ฮั๋วเว่ยเฟิงไม่ต่างจากวัวกระทิง เขาจ้องมองซูอานด้วยสายตาดุดัน และพยายามที่จะใช้อำนาจบารมีของตนเองข่มขู่ และกดข่มซูอานให้ยอมอ่อนข้อ
หลี่ตันที่อยู่ข้างๆ รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เธอไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว และได้แต่ก้มหน้าก้มตาร่างกายสั่นเทา
ซูอานไม่แม้แต่จะมีกล้ามเนื้อหดเกร็งด้วยความหวาดกลัว มีเพียงแววตาเย้ยหยัน และสายตาที่จ้องมองฮั๋วเว่ยเฟิงราวกับคนโง่คนหนึ่ง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงหัวเราะออกมา ?”
“ทำไม ?” ฮั๋วเว่ยเฟิงตะโกนถามเสียงดังด้วยความโมโห
“เพราะความโง่เขลาของเจ้ายังไงล่ะ ! ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่าเจ้าเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจได้ยังไง ?”
“แกพูดจาเพ้อเจ้ออะไรกัน ? ที่ฉันมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะความพยายามของตัวเองล้วนๆ !”
ซูอานส่ายหน้าไปมาเป็นการบ่งบอกว่าไม่เชื่อคำพูดของฮั๋วเว่ยเฟิงแม้แต่น้อย ..
“ไม่มีทาง ! หากเจ้ามีวันนี้ได้ด้วยตัวเอง เหตุใดจึงได้โง่เขลาเช่นนี้เล่า ?”
“นี่แกกล้าด่าฉันว่าโง่เขลางั้นเหรอ ?”
ฮั๋วเว่ยเฟิงโมโหจนเหงื่อออกท่วมตัว เขาร้องตะโกนใส่หน้าซูอานอย่างเดือดดาล “แกคงคิดว่าฉันจะไม่กล้ายิงแกจริงๆสินะ ?”
“นอกจากความโมโหแล้ว เจ้าไม่มีอย่างอื่นเลยงั้นรึ ? เป็นถึงผู้นำทางด้านธุรกิจ แต่กลับไม่มีสมองเลยหรืออย่างไร ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดของซูอาน ฮั๋วเว่ยเฟิงจึงได้สติ และค่อยๆสงบลงได้ แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงดูโกรธเกรี้ยวเช่นเดิม
“เจ้ากล่าวหาข้าขวางทางทำให้การรักษาล่าช้า อย่างมากข้าก็พูดเกินไม่เกินสามนาที จะทำให้การล่าช้าได้อย่างไรกัน ?”
“แต่เกายั่วเต๋อเป็นคนบอกกับฉันเอง !”
“เขาแค่พูด เจ้าก็เชื่อแล้วงั้นรึ ?! เขาเป็นพ่อของเจ้าหรือยังไง ?”
“นี่แก !” ฮั๋วเว่ยเฟิงร้องตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน
แต่ซูอานยื่นมือออกไปห้ามไว้ก่อนพร้อมกับพูดต่อว่า “เจ้าอย่าด่วนโมโหไปนัก ข้าเองได้บอกกับเจ้าก่อนหน้าแล้ว แต่เจ้าเองที่ไม่ฟังคำพูดของข้า เช่นนี้แล้วก็ต้องตำหนิตัวเจ้าเองที่ไม่ฟังข้า !”
“นี่แกพูดบ้าอะไร ?!” ฮั๋วเว่ยเฟิงตัวสั่นเทิ้มยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ซูอานจ้องมองฮั๋วเว่ยเฟิงพร้อมกับทำท่าสงสาร จากนั้นจึงเผยอยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า “ฟังนะ .. อาการของลูกสาวเจ้านั้นไม่สามารถทำการรักษาด้วยการผ่าตัดได้ บาดแผลของนางเกิดจากฝีมือของผู้มีวรยุทธ และที่บาดแผลก็มีพลังปราณอยู่ด้วย หากบาดแผลถูกวัตถุมีคมเข้า จะทำให้แรงดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นทันที แล้วเลือดก็จะไหลออกมาไม่หยุด !”
ฮั๋วเว่ยเฟิงหูอื้อตาลายไปหมด เขาไม่เข้าใจว่าซูอานรู้ได้อย่างไร และเพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘เลือดไหลไม่หยุด’ หัวใจของเขาก็เต้นแรงและรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกสายฟ้าฟาด
เกายั่วเต๋อเพิ่งจะบอกกับเขาเช่นกันว่าลูกสาวของเขาเกิดอาการเลือดไหลไม่หยุด เกายั่วเต๋อพูดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเขาเป็นหมอที่ทำการรักษา แต่ซูอานไม่ได้อยู่ในห้องผ่าตัดด้วย และไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลตอนที่เกายั่วเต๋อวิ่งมารายงานด้วยซ้ำไป แล้วเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ?
“เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ?”
ฮั๋วเว่ยเฟิงสงบสติอารมณ์ได้ในทันที และเริ่มกลับมาเป็นฮั๋วเว่ยเฟิงนักธุรกิจที่ใช้สมองมากกว่าปากคนเดิม !
“ที่ข้ารู้ก็เพราะว่าข้าเองก็เป็นผู้ฝึกบ่มเพาะตนเช่นกัน !”
ซูอานตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจ และหากเรื่องง่ายๆเพียงแค่นี้เขายังไม่รู้ เขายังคู่ควรเป็นจักรพรรดิของเหล่าเซียนอีกอย่างนั้นหรือ ?
ฮั๋วเว่ยเฟิงดูเหมือนจะพบเจอฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตของลูกสาวตนเองได้แล้ว และซูอานก็คือฟางเส้นนั้น !
เวลานี้ฮั๋วเว่ยเฟิงไม่คิดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาคิดเพียงแค่เรื่องที่จะทำอย่างไรลูกสาวของเขาจึงจะสามารถรอดพ้นความตายได้ !
“มีหนทางที่จะช่วยลูกสาวของผมได้บ้างมั๊ย ?”
ฮั๋วเว่ยเฟิงจ้องมองซูอานด้วยแววตาอ้อนวอน และเวลานี้ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ซูอานทำเสียงขึ้นจมูก แล้วหันกลับไปนั่งดื่มชาอย่างไม่สนใจใยดี ..
ฮั๋วเว่ยเฟิงรู้ดีว่าเวลานี้ซูอานยังคงโกรธอยู่มาก และเขาเองถึงแม้จะไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าที่ใดๆออกมา เพราะนี่หมายถึงชะตาชีวิตของลูกสาวตัวเอง !
“ถ้าคุณสามารถช่วยชีวิตของลูกสาวผมได้ ผมยินดีที่จะคุกเข่าขอโทษคุณทันที !”
สิ้นคำพูดของฮั๋วเว่ยเฟิง เหล่าบอดี้การ์ดก็ถึงกับงุนงง และแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้ใต้บังคับบัญชา จึงไม่กล้าพูดหรือแสดงความคิดเห็นใดๆออกมา ทั้งหมดจึงได้แต่นิ่งเงียบ และเวลานี้ภายในภัตตาคารก็มีแต่ความเงียบสงัดเท่านั้น
ซูอานวางถ้วยชาในมือลง แล้วจึงหันไปพูดกับฮั๋วเว่ยเฟิงว่า “เห็นแก่ลูกสาวของเจ้า ข้าจะช่วยสักครั้ง !”
ฮั๋วเว่ยเฟิงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และนั่นหมายความว่าลูกสาวของเขายังมีความหวัง ..
“มีเลือดและพลาสมาเพียงพอหรือไม่ ? หากมีเลือดและพลาสมาไม่เพียงพอ ต่อให้เป็นเซียนก็ยากที่จะช่วยได้ !”
“ต้องพอ ! เพราะหากไม่พอ ฉันจะระเบิดหัวเกายั่วเต๋อทิ้งซะ !”
ซูอานหันไปมองหลี่ตันพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลี่ตัน .. ขอโทษที่เจ้าต้องเหนื่อยอีกแล้ว !”
หลี่ตันส่ายหน้าไปมา เธอไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่เป็นห่วงซูอานที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะเธอรู้ดีว่าซูอานไม่ใช่หมอ !
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเลย !”
ซูอานหันไปบอกกับฮั๋วเว่ยเฟิง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากภัตตาคารทันที ส่วนฮั๋วเว่ยเฟิงและคนอื่นๆก็รีบเดินตามซูอานออกไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางที่เดินไปนั้น ฮั๋วเว่ยเฟิงก็ได้เอ่ยถามซูอานขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าคุณจะช่วยลูกสาวของผมด้วยวิธีไหน ? เท่าที่เกายั่วเต๋อบอกกับผมนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย และนี่ก็เป็นเคสที่อันตรายมาก !”
“หึ ! สำหรับข้ามันง่ายไม่ต่างจากการหายใจ !”
ซูอานตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ในเมื่อเขากล้าที่ยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว เขาย่อมต้องมั่นใจว่าสามารถทำได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮั๋วเว่ยเฟิงถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และตอนนี้เขาก็หวังพึ่งซูอานเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น !
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องรักษาลูกสาวให้ได้ เพราะฮั๋วว่านว่านเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของทุกคนในตระกูลฮั๋ว เขาไม่มีทางปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปแน่ !