ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่502 สุขใจ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ความสนใจที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีต่องานแต่งงานของเฉิงสวี่พลัน
มลายหายไป เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เลือกเอาไว้ก็วางทิ้งอยู่ตรงนั้น ไม่เหลียวแลอีกเลย แต่เมื่อเห็นเฉิง
ฉือไปกรมการตรวจตราอย่างเป็นทางการ ก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ โจวเสาจิ่นก็ตื่นเช้าตามไปด้วยทุกวัน
ตอนที่ตามนางไปสวดมนต์ยามเฉินสือ281
1 ก็ฝืนไม่ไหวเริ่มหาวนอน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ ยกเลิก
การเรียนยามเช้าของนาง แต่เปลี่ยนเป็นฝึกคัดอักษรหนึ่งชั่วยามในช่วงบ่ายแทน
โจวเสาจิ่นรู้สึกละอายเล็กน้อย
หลังจากที่นางกลับมามีชีวิตใหม่ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือได้ออกหนังสืออักษร
ภาพเล่มหนึ่งเหมือนกับเลี่ยวจางอิงผู้เป็นป้าของเลี่ยวเส้าถังที่หย่าร้างแล้วกลับบ้านเดิม ทว่า
ตอนนี้หลังจากแต่งงานกับเฉิงฉือแล้ว กลับรู้จักแต่กินดื่มไปวันๆ แม้บางครั้งตอนที่นึกขึ้นมาจะ
รู้สึกไม่ผิดเล็กน้อย แต่ก็หยิบเรื่องที่มีงานมากมายหรือยุ่งเกินไปมาเป็นข้ออ้างให้กับตน หลายๆ
ครั้งจึงไม่ได้ตั้งใจฝึกคัดอักษร
โจวเสาจิ่นไม่กล้าทําตัวเกียจคร้าน ดึงความตั้งมั่นจากปีนั้นที่คัดพระธรรมให้ฮูหยินผู้
เฒ่ากัว ฝึกคัดอักษรกับนาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก นอกจากสอนเขียนอักษรแล้ว ก็เริ่มสอนนาง
วาดภาพด้วย
โจวเสาจิ่นจึงยิ่งตั้งใจรํ่าเรียนฝึกฝน
1 เวลา 7.00 -9.00 น.
4670
นางได้ยินคนอื่นกล่าวกันว่า ช่างเย็บปักที่เชี่ยวชาญมากมายก็เป็นยอดฝีมือด้านการวาด
ภาพด้วยเช่นกัน
จวบจนเมื่อย่างเข้าเดือนสอง สายลมมิได้พัดพาไอหนาวมาแล้ว ความงดงามของเรือนทิง
เซียงก็ปรากฏออกมาเด่นชัด
เมื่อเปิดหน้าต่างก็เป็นสระนํ้า ทอดสายตามองออกไปก็เป็นยอดไม้อ่อนเขียวขจี เงยหน้า
ขึ้นเป็นกิ่งไม้ต้นท้อที่ชูก้านขึ้นฟ้า ก้มหน้าลงเป็นต้นกล้าดอกไม้ที่เพิ่งงอกขึ้นมาต้นแล้วต้นเล่า
ไม่ต้องพูดถึงโจวเสาจิ่น แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็คิดว่าลานบ้านนี้จัดตกแต่งได้สวยงาม
ยิ่งยวด จึงถามเฉิงฉือยิ้มๆ ว่าเป็นฝีไม้ลายมือของผู้ใด และกล่าวอีกว่า “เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้
ใบหญ้าในสวนดอกไม้ของส่วนตะวันออกจะต้องจัดตกแต่งแล้ว”
เฉิงฉือคลี่ยิ้มพลางตอบว่า “ทางด้านนี้ข้าจะให้คนมาจัดตกแต่งขอรับ ส่วนทางด้านโน้นก็
มอบหมายให้เสาจิ่นแล้วกัน”
“ข้าหรือเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดอกไม้ของเจ้าปลูกได้ดีมากมิใช่หรือ เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปสําหรับ
เจ้าหรอก อีกอย่าง ในหนึ่งปีต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้ล้วนผลิบานแล้วร่วงโรยไป วันนี้หากคิดว่ามีจุด
ใดที่ทําผิดพลาดไป ปีหน้าค่อยแก้ไขใหม่ก็พอ ลองผิดลองถูกหลายๆ ครั้งย่อมทําได้ดีแล้ว”
โจวเสาจิ่นอยากจะลองดูสักหน่อย
ตอนเช้านางจึงนําบ่าวหญิงรับใช้สองสามคนไปสวนดอกไม้ด้านหลังปลูกต้นไม้และ
เคลื่อนย้ายต้นหญ้า ตอนบ่ายก็ฝึกเขียนอักษรและวาดภาพกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว วันเวลาผ่านไป
อย่างรวดเร็วแต่กลับรู้สึกสนุกสนานเหลือหลาย นางราวกับต้นหลิวที่เจริญงอกงามต้นหนึ่ง สีหน้า
เปล่งประกายสดใส มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
4671
ทางด้านหยวนซื่องานยุ่งวุ่นวายจนตัวหมุน เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงวันแต่งงานของเฉิงสวี่ ถึง
ได้ค้นพบว่าตั้งแต่วันนั้นหลังจากที่โจวเสาจิ่นมารับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปก็ไม่เห็นนางมาอีกเลย นาง
อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ แต่ก็รู้สึกโล่งใจอยู่ในที
แม่นมของนางไม่พอใจเล็กน้อย ยํ้าเตือนนางว่า “ไม่ว่าอย่างไร โจวซื่อผู้นั้นก็เป็นฮูหยินสี่ข
องตระกูลเฉิง นางไม่มา เกรงว่าจะทําให้คนอื่นซุบซิบนินทาเอาได้นะเจ้าคะ”
หยวนซื่อไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “ตอนที่คนอื่นถามข้า ข้าก็ส่งข้อความไปแจ้งแล้วว่า
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ารั้งตัวนางไว้เพื่ออยู่ปรนนิบัติ” พูดจบ ตนก็คิดว่าเสียหน้าเล็กน้อย จึงสําทับว่า
“นางเกิดได้ไม่นานมารดาผู้ให้กําเนิดก็จากไป ข้าคิดมาเสมอว่าไม่เป็นสิริมงคลเท่าใดนัก นางกับฮู
หยินผู้เฒ่ากัวอยู่ที่ประตูเฉาหยางก็ดีแล้ว”
หยวนซื่อพูดถึงเรื่องที่เฉิงสวี่จะกราบไหว้บรรพชนในงานแต่งงานว่า “…ข้าได้หารือกับ
นายท่านแล้ว รอให้พวกเขาแต่งงานเสร็จแล้ว ค่อยย้ายภาพเหมือนของบรรพบุรุษทั้งหลายไป
กราบไหว้ที่ต้าซิ่ง”
การขุดโครงกระดูกขึ้นมาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก โครงกระดูกของเฉิงซวินและ
คนอื่นๆ ยังคงฝังไว้ที่สุสานบรรพบุรุษที่จินหลิง อีกทั้งเฉิงเซ่าก็ได้ทิ้งคําสั่งเอาไว้ว่า ภายหน้าเมื่อ
เขาเสียชีวิตแล้ว ให้ฝังศพไว้กับบิดามารดาและเฉิงซวินพี่ชายใหญ่ สําหรับเฉิงจิงพวกเขา เพื่อ
ไม่ให้บุตรชายบุตรสาวต้องลําบาก ส่วนมากจะเลือกฝังศพในจิงเฉิง ด้วยเหตุนี้ สุสานบรรพบุรุษที่
จิงหลิงยังคงต้องเก็บเอาไว้อยู่ เฉิงจิงสามพี่น้องจึงเลือกที่นาผืนหนึ่งที่ต้าซิ่ง ขีดเส้นบริเวณที่ดินที่
มีหวงจุ้ยดีผืนหนึ่งทําเป็นสุสานของตระกูลเฉิง ภาพเหมือนของบรรพชนที่เดิมทีตั้งอยู่ที่ประตูเฉาห
ยางเหตุเพราะสามพี่น้องแยกบ้านกันจึงย้ายมาไว้ที่ซอยซิ่งหลิน
แม่นมของนางรู้ว่าหยวนซื่อเห็นเฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นกราบไหว้บรรพชนที่บ้าน ก็รู้สึกปวด
ใจที่บุตรชายและบุตรสะใภ้ต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปต้าซิ่ง จึงคิดแผนการนี้ขึ้นมา
4672
นางเพิ่งจะทําให้หยวนซื่อไม่พอใจ ตอนนี้จึงไม่ตอบกลับอะไร เพียงกล่าวอย่างอ้อมค้อม
ว่า “นายท่านใหญ่ดีกับท่านจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านมีเรื่องอะไรก็ต้องยอมลงให้นายท่านใหญ่บ้าง
เช่นนี้ถึงจะเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกันนะเจ้าคะ”
ข้อนี้หยวนซื่อกลับไม่ปฏิเสธ
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ อีกไม่นานสะใภ้ใหม่ก็ต้องเข้าเรือนแล้ว ข้าผู้เป็นแม่สามีคนนี้ก็
ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้มิใช่หรือ”
เมื่อหวนนึกถึงในปีนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงซวินก็มีชื่อเสียงด้านความรักใคร่กลมเกลียว
กัน
แม่นมของนางเห็นว่าถ้อยคํานี้ของนางพูดได้มีเหตุผล ก็คลี่ยิ้มพลางพูดยกย่องนางสอง
สามประโยค แล้วจึงออกไปทําธุระของตนเอง
เมื่อหยวนซื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกาย ใบหน้าก็เยียบเย็นลงมา
โจวเสาจิ่นผู้นี้ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ นางบอกให้นางไม่มา นางก็ไม่มาจริงๆ ไหนเลยจะมีนางผู้
เป็นสะใภ้ใหญ่ผู้นี้อยู่ในสายตา ตรงกันข้ามกับชิวซื่อ แม้ว่าแยกบ้านไปแล้ว แต่เรื่องการรักษา
นํ้าใจไมตรีนี้กลับทําได้ดียิ่งเหมือนเป็นเรื่องปรกติ นางเองก็เพิ่งจะย้ายบ้าน แม้มีงานยุ่งมากมาย
แต่ก็ยอมทิ้งการงานในเรือนของตนมาช่วยงานนางได้ ประเดี๋ยวภรรยาของเจียซ่านแต่งงานเข้า
มาแล้ว จะต้องให้เคารพนับถือนางผู้เป็นอาสะใภ้รองผู้นี้ให้ดีถึงจะถูก
ถือว่าเป็นการให้เกียรติยกย่องบ้านรอง กดข่มความยโสโอหังของเฉิงฉือและโจวเสาจิ่น
ช่วงนี้นางเดินไปที่ใดก็ได้ยินแต่ผู้คนพูดถึงเรื่องที่ขุนนางใหญ่ซวีถูกต้องโทษ ตอนนี้เฉิงฉือถือว่าได้
สร้างชื่อเสียงในสํานักฮั่นหลินแล้ว ขณะที่ยังเป็นเจ้าหน้าที่กรมตรวจตราก็ต่อกรกับขุนนางใหญ่ผู้
หนึ่ง คงจะทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ได้กระมัง
4673
หยวนซื่อดีดลูกคิดเล็กของตนเอง
ฝ่ายโจวเสาจิ่นกลับไปที่ซอยอวี๋เฉียน
คนของจวนสี่มาถึงจิงเฉิงแล้ว
ทุกคนมารวมตัวกันอย่างครึกครื้นที่ซอยอวี๋เฉียนวันหนึ่งก่อน จากนั้นก็ไปที่ประตูเฉาห
ยาง รํ่าสุรา ชมงิ้ว ปาลูกดอกลงห่วง และนั่งเรือ เล่นกันอย่างสนุกสนานเริงร่าทั้งวัน จากนั้นก็เป็น
วันเร่งพิธีแต่งงานของเฉิงสวี่ ทุกคนก็ไปที่ซอยซิ่งหลินกันพร้อมหน้า
ตามคําพูดของกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กล่าวว่า “ปีใหม่ยังไม่ครึกครื้นขนาดนี้เลย!”
โจวเสาจิ่นกลับเพียงเป็นห่วงครรภ์ของนางเท่านั้น “ครรภ์ของเจ้ายังไม่ครบสามเดือนเต็ม
อยากจะอยู่ที่จิงเฉิงนานขึ้นสักหน่อยหรือไม่”
หลังจากกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ไปถึงเป่ าติ่ง ก็ค้นพบว่าตั้งครรภ์ เนื่องจากเพิ่งจะตั้งครรภ์ได้
ไม่นาน กลัวทําให้ลูกตกใจ นางจึงถูกทิ้งให้อยู่ที่ประตูเฉาหยางเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น
“ไม่เป็นไร” กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ยิ้มพลางกัดลูกผิงกั๋วดังกรอบๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านหมอผู้
นั้นของฮูหยินตระกูลพวกเจ้าจับชีพจรให้ข้า บอกว่าข้าแข็งแรงดียิ่ง รอให้ครบสามเดือนแล้วพวก
เราก็จะออกเดินทางกลับจินหลิง” ทั้งกล่าวอีกว่า “ลูกผิงกั๋วนี้ของเจ้าอร่อยยิ่งนัก ขากลับข้าอยาก
เอากลับไปสักตะกร้า”
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าให้เจ้าเอากลับไปสิบตะกร้าเลยก็ได้”
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “เจ้ากล้าให้ ข้าก็กล้ารับ”
โจวเสาจิ่นเพียงยิ้มน้อยๆ พลางส่ายศีรษะ
4674
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ก็ปลอบโยนนางว่า “เจ้าดูสิ พวกเราสามคนที่ไปถวายธูปที่วัดหงหลัว
ได้รับข่าวดีกันหมด เจ้าก็จะได้รับข่าวดีเช่นกัน ไม่ต้องห่วง ใบเซียมสีนั้นก็เขียนเอาไว้แล้วมิใช่หรือ
ว่าจะลําบากก่อนราบรื่น”
“ขอให้เป็นเช่นนั้น!” เมื่อโจวเสาจิ่นพูดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
เฉิงฉือดีหมดทุกอย่าง เพียงแต่ควบคุมตนเองเก่งเกินไป
เรื่องระหว่างพวกเขาสามีภรรยา ต่อให้นางเป็นฝ่ายรุกเร้าก่อนก็ยังไม่ได้ผล
แต่เรื่องนี้นางจะเล่าให้คนอื่นฟังอย่างไรดี
หวังว่าเมื่อผ่านพ้นช่วงยุ่งๆ นี้ไปแล้วเจ้าสี่จะดีขึ้น
ทว่ากูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กลับทอดถอนใจที่ครั้นพวกนางกลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พบหน้า
กันอีกเมื่อใด
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เลี้ยงบุตรชายให้เป็นจิ้นซื่อคนหนึ่งสิ ใน
การสอบขุนนางช่วงสารทฤดูและช่วงวสันตฤดูก็ตามเข้ามาในเมืองหลวงได้มิใช่หรือ”
“เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่มีปณิธานนี้อย่างนั้นหรือ ถึงกระนั้นก็ตามที ก็เป็นลูกสะใภ้ของข้าที่
จะตามมาที่จิงเฉิง ไหนเลยจะถึงคราวของข้า” ขณะที่กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้คุยเล่นหัวเราะกับนางกัน
เจื้อยแจ้วก็ถึงตอนเย็นแล้ว
เฉิงฉือและคนอื่นๆ ล้วนไปที่ซอยซิ่งหลิน ไม่รู้ว่าจะกลับมาหรือไม่ หลังจากปรนนิบัติฮู
หยินผู้เฒ่ากัวพักผ่อนแล้ว โจวเสาจิ่นก็นอนคุยกระซิบกระซาบกับกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้บนเตียงว่า
“ตอนนี้อาจูตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้ว… ในภายภาคหน้านางอยากจะแต่งงานผูกสัมพันธ์กับ
ตระกูลพวกข้า… พี่สะใภ้ของนางให้กําเนิดหลานชายคนโตแก่ตระกูลจู… เดิมทีนางอยากจะฉวย
4675
โอกาสนี้กลับไปเยี่ยมที่จินหลิง ปรากฏว่าไปไม่ได้แล้ว… สามีของนางปฏิบัติกับนางอย่างดียิ่ง เชื่อ
ฟังตามใจทุกอย่าง เพียงแต่กฎเกณฑ์ของตระกูลฟั่นมากเกินไปและเข้มงวดเกินไป…
…เห็นได้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์เพียบพร้อมทุกอย่าง…”
ทั้งสองคนคุยไปด้วยพลางรู้สึกทอดถอนใจไปด้วย
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ก็ค้างคืนอยู่กับโจวเสาจิ่น
ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นเพิ่งจะเอนกายนอนลงไป เฉิงฉือก็กลับมาแล้ว
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ปิดปากหัวเราะ เร่งโจวเสาจิ่นให้กลับห้องไปว่า “แม่สามีของข้าอายุ
มากขนาดนั้นยังไม่กลับมา เขาก็ดี ทั้งที่เป็นอาแท้ๆ แต่กลับมาก่อนเสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือกจนกลายเป็นผ้าผืนหนึ่ง กล่าวว่า “เกรงว่าคงจะมีธุระอะไรถึงได้
กลับมากระมัง”
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้หัวเราะร่าราวกับกระพรวนเงิน
โจวเสาจิ่นมิอาจอยู่ต่อไปได้แม้ชั่วครู่เดียว รีบกลับไปที่เรือนหลัก
ครั้นเดินเข้าห้องนอน ในโต๊ะคันฉ่องก็มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งวาบผ่าน
โจวเสาจิ่นชะงักงัน เห็นหญิงสาวผู้นั้นยิ้มตาหยีราวพระจันทร์เสี้ยวในคันฉ่อง
นางก้มหน้าลงอย่างเขินอาย เดินอ้อมฉากกั้นเข้าไปข้างใน
เฉิงฉือผลัดอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว หยวนหยวนกับมั่นมั่นกําลังปรนนิบัติพันผ้าคาดเอวอยู่
ครั้นเห็นโจวเสาจิ่น หน้าตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นหลายส่วน กล่าวยิ้มๆ เสียงตํ่าว่า “กลับ
มาแล้ว!”
4676
โจวเสาจิ่นพยักหน้าลวกๆ พลางกล่าวว่า “ท่านแม่เข้านอนแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้!” เฉิงฉือโบกมือ สาวใช้ที่ปรนนิบัติในห้องพากันถอยออกไป
เขาก้าวมาโอบกอดนาง พลางกระซิบถามว่า “วันนี้ทําอะไรไปบ้าง คิดถึงข้าหรือไม่ วันนี้
ข้าคิดถึงเจ้าทั้งวัน…”
นํ้าเสียงที่กดตํ่าลงคล้ายกับนุ่มละมุนขึ้นหลายส่วน ละม้ายเสียงพิณที่ทุ้มตํ่า ดังก้องอยู่
ในหูของนางพร้อมด้วยลมหายใจอบอุ่นของเขา
โจวเสาจิ่นใจอ่อนระทวย ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะกล่าวขึ้นอย่างยากลําบากว่า “ดึกดื่น
ขนาดนี้ เหตุใดถึงกลับมาเจ้าคะ ทางโน้นเชิญท่านไปต้อนรับแขก มิได้จัดเตรียมที่พักให้ท่านหรือ”
กลางคํ่าคืนของเมืองจิงเฉิงห้ามออกนอกเรือนในยามวิกาล
เฉิงฉือกัดหูของนางพลางกล่าวว่า “ข้าไม่อยากนอนอยู่บนเตียงอันเยียบเย็นคนเดียว…
เลยหาข้ออ้างกลับมา…”
โจวเสาจิ่นกอดเฉิงฉือไว้แน่น นัยน์ตาฉายแววคะนึงหาดั่งนํ้าสารทฤดูก็ไม่ปาน
วันรุ่งขึ้นเมื่อนางลืมตาขึ้นมา เฉิงฉือก็ออกไปแล้ว
พอโจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนขึ้นมา ดวงหน้าก็แดงกํ่ากลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง
หลายครั้งแล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง
ในใจของนางราวกับซุกซ่อนนกน้อยตัวหนึ่งเอาไว้ก็ไม่ปาน รู้สึกร่าเริงเบิกบานไปทั้งวัน
นอกจากนี้ตอนที่ไปสวนดอกไม้ตรวจดูต้นไม้ต้นหญ้าที่ปลูกเอาไว้ช่วงก่อน ยังค้นพบผักจี้ไช่ป่ากอ
หนึ่งที่เนินเขาทางทิศใต้อีกด้วย
4677
ชุนหว่านร้องขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดถึงมีผักเช่นนี้ที่นี่ได้”
อารมณ์ดีของโจวเสาจิ่นไม่ลดลงแม้แต่น้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขุดกลับไปทําเกี๊ยวไส้ผักจี้ไช่
กินกันเถอะ”
“ดีเจ้าค่ะๆ!” ทุกคนล้วนคิดว่าดี ช่วยกันเก็บผักป่า
โจวเสาจิ่นให้พวกนางตั้งรั้วล้อมที่นี่เอาไว้ “อย่าพรวนดินตรงนี้ ต่อไปช่วงฤดูใบไม้ผลิทุกๆ
ปีก็มาเก็บผักจี้ไช่ที่นี่ได้”
พวกบ่าวหญิงทั้งหลายพากันรับคํา
ตอนเที่ยงทุกคนกินเกี๊ยวผักจี้ไช่กัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกินเกี๊ยวสิบกว่าลูกในคราวเดียว โจวเสาจิ่นยังกลัวว่านางจะกินแล้วแน่น
ท้องจึงไม่กล้าให้นางกินเพิ่ม ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้หยุดกิน กล่าวว่า “นี่เป็นเกี๊ยวที่อร่อยที่สุดที่กิน
มาตั้งแต่มาจิงเฉิง”
แม้แต่กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ที่เป็นคนที่คุ้นชินกับการกินข้าวสวยผู้นี้ ก็กินไปตั้งเจ็ดแปดลูก
ช่วงบ่ายฮูหยินผู้เฒ่ากัวตัดสินใจไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ ดูว่าในสวนนั้นยังมีพืชผักป่า
อะไรอีกบ้าง