ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่501 อาสะใภ้
โจวเสาจิ่นอดแลกเปลี่ยนสายตากับเฉิงฉือไม่ได้
เฉิงฉือเอ่ยถามว่า “เจ้ายังได้ยินอะไรมาอีก”
เวลาที่ฝานฉีอยู่ต่อหน้าเฉิงฉือมักจะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว
จึงตอบว่า “ข้าได้ยินมาว่า เขาบอกว่าตนเองเป็นซิ่วไฉตกอับ ไม่มีเงินกลับบ้าน อยากขอทํางาน
เป็นอาจารย์สอนหนังสือตามบ้านหรือไม่ก็เสมียนบัญชีทํานองนั้น บังเอิญตระกูลนั้นขาดเสมียน
บัญชีคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาโน้มน้าวพวกเขาอย่างไร ทั้งไม่มีผู้รับรองหรือมีคนรู้จักแนะนํา ก็ได้เป็น
เสมียนบัญชีของตระกูลนั้น”
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น เรียกไหวซานเข้ามา แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปเขียนสัญญาซื้อขายตัวมาใบ
หนึ่ง ให้ฝานฉีนําทางรุดไปหว่านผิง แล้วบอกว่าเฉิงลู่ผู้นั้นเป็นบ่าวไพร่หลบหนีที่ขโมยทรัพย์สิน
ของตระกูลพวกข้า แจ้งทางการให้จับกุมเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!
ฝานฉีเหลือบมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง แล้วชําเลืองมองโจวเสาเจิ่น จากนั้นก็มองไหวซาน ทั้ง
สามคนต่างมีสีหน้าท่าทางเป็นปรกติ ก็อดสั่นเทิ้มไม่ได้ รีบตามไหวซานออกไป
เฉิงฉือรู้ว่าโจวเสาจิ่นจะไม่เอ่ยแย้งเขา แต่เขายังกังวลว่าโจวเสาจิ่นจะรับไม่ได้อยู่บ้าง
กล่าวว่า “ในเมื่อพวกเราตัดสินใจจะจัดการเขาแล้ว ก็ห้ามใจอ่อนสังเล…”
โจวเสาจิ่นไม่รอให้เขาพูดจบก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วกล่าวว่า “ข้าทราบเจ้าค่ะ! ความคิด
ของเขาผู้นี้ชั่วช้าเกินไป หากพวกเราปล่อยเขาไป ก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า ไม่รู้ว่าวันใดเขาจะแว้ง
กัดพวกเรา ความเมตตาชั่วครู่ชั่วคราวของพวกเรา นอกจากจะทําให้มีชีวิตอยู่อย่างไม่สงบสุขแล้ว
เกรงว่ายังจะนําพาปัญหามาสู่ตนด้วยเจ้าค่ะ”
4661
เฉิงฉือรู้สึกชื่นใจยิ่งนัก ยิ้มพลางหอมแก้มโจวเสาจิ่น “นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยของข้าเฉลียว
ฉลาดถึงเพียงนี้!”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ
ช่วงนี้เฉิงฉือมักจะประเดี๋ยวก็จูบหน้านาง ประเดี๋ยวก็จูบมือนางอย่างนี้ ทั้งมีความคะนึง
หาและอบอุ่น ทําให้นางไม่เพียงชื่นชอบแต่รู้สึกอาวรณ์
ทว่าเหตุการณ์กลับไม่ดําเนินไปอย่างราบรื่นสักเท่าใด
ตอนกลางคืนไหวซานรีบเร่งกลับมาหน้าดําครํ่าเคร่งเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่พบตัวเฉิงลู่
ขอรับ เป็นไปได้ว่าตอนที่ฝานฉีสะกดรอยตามเขา เขาอาจจะรู้ตัว เช้าตรู่วันนี้ก็ไม่พบตัวเขาแล้ว
นอกจากเสื้อผ้ากันหนาวกับเงินที่เขาเก็บหอมรอมริบแล้ว พวกชุดเครื่องเขียนทั้งสี่กระทั่งรองเท้า
ถุงเท้าเก่าสองสามคู่ล้วนมิได้เอาไปด้วย ตอนที่พวกข้าไปแจ้งคนจากตระกูลนั้นยังไม่เชื่อ จวบจน
ตอนบ่ายเมื่อเขามิได้กลับมาคนจากตระกูลนั้นจึงไปตรวจค้นหีบหับ ว่ากันว่าพบเงินหายไปสิบ
ยี่สิบเหลี่ยงขอรับ”
ฝานฉีรู้สึกเต็มไปด้วยความละอาย คอตกลงมาตํ่าถึงอกแล้ว
โจวเสาจิ่นปลอบโยนเขาว่า “ไม่เป็นไรๆ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าอยู่ที่จิงเฉิงต่อไปไม่ได้แล้ว ขอ
เพียงเขาอยู่ห่างไกลจากพวกเรา และไม่สร้างปัญหาให้ก็ได้แล้ว!”
เฉิงฉือเห็นว่าเขาเป็นบ่าวที่ติดตามมาจากบ้านเดิมของโจวเสาจิ่น อีกทั้งฝานฉีเป็นเพียง
คนสามัญธรรมดาคนหนึ่ง จึงไม่ได้ต่อว่าฝานฉี แต่พยักหน้าให้เล็กน้อยด้วยสีหน้าอ่อนโยนพลาง
กล่าวกับฝานฉีว่า “ต่อไปให้ระวังเอาไว้ก็พอแล้ว เจ้าลงไปวาดภาพเหมือนของเฉิงลู่กับไหวซาน ข้า
จะให้พวกลูกน้องจับตาดูเอาไว้ก็แล้วกัน”
4662
ฝานฉียินดีปรีดายิ่งนัก ถอยออกไปกับไหวซานด้วยความรู้สึกดีที่ความผิดได้รับการอภัย
แล้ว
เฉิงฉือก็กําชับนางว่า “ทวนในที่แจ้งหลบง่าย เกาทัณฑ์ในที่ลับต้านยาก ต่อไปเวลาที่เจ้า
ออกไปข้างนอกต้องระวังตัวสักหน่อย ทางที่ดีพาซางมามาไปด้วย”
หลักจากที่ได้เห็นทักษะวิทยายุทธ์ของซางมามา โจวเสาจิ่นย่อมรับคําในทันทีเป็น
ธรรมดา
ทางด้านซอยซิ่งหลินก็ส่งคนมามอบเทียบเชิญ บอกว่าเฉิงสวี่จะแต่งงานแล้ว ขอเชิญโจว
เสาจิ่นไปช่วยจัดเตรียมงาน ทว่าผู้ที่นําความมาแจ้งก็กล่าวอีกว่า “ฮูหยินบอกว่า ทุกอย่างล้วน
ต้องทําให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึงพอใจ หากว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีธุระอะไร ฮูหยินสี่ก็ช่วยทําธุระให้ฮูหยินผู้
เฒ่าก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ!”
กล่าวไปกล่าวมาเพียงแค่กลัวว่าหากไม่เชิญโจวเสาจิ่นคนอื่นจะหาว่าพวกนางพี่สะใภ้
น้องสะใภ้ไม่รักใคร่ปรองดองกัน แต่ถ้าหากเชิญโจวเสาจิ่นไปในใจกลับยอมไม่ได้จริงๆ ก็เท่านั้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่พอใจ
หยวนซื่อไม่อยากให้นางไป นางยังกังวลว่าไม่มีข้ออ้างที่ไม่ไปอยู่พอดี!
“เจ้ากลับไปแจ้งฮูหยินว่า ขอบคุณนางที่เข้าอกเข้าใจ ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านี้ก็มิอาจปลีก
ตัวออกไปได้เลยจริงๆ ข้าก็ไม่ไปช่วยงานแล้วกัน” นางกล่าวกับบ่าวหญิงที่มาแจ้งความอย่าง
อบอุ่นว่า “ประเดี๋ยวตอนที่เจ้าสาวใหม่มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวข้าจะมอบของขวัญแรกพบแก่
เจ้าสาวใหม่พร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็แล้วกัน”
นางไม่อยากให้ตนไปใช่หรือไม่
เช่นนั้นนางก็จะไม่ไปแล้วกัน
4663
บ่าวหญิงคนนั้นได้ยินแล้วก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา คิดว่าทําไมตนถึงได้โชคร้ายขนาดนี้
ต้องมารับงานที่ยากถึงเพียงนี้ ฮูหยินให้ฮูหยินสี่ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ที่นี่ ฮูหยินสี่ก็บอกว่า
ตอนที่เจ้าสาวใหม่แนะนําตัวให้ญาติๆ รู้จักนางก็ไม่ไปแล้ว หากว่าเจ้าสาวใหม่มาโขกศีรษะ
แนะนําตัวให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางก็จะมอบของขวัญแรกพบ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องมานับญาติกัน
แล้ว!
ไม่คาดคิดว่าฮูหยินสี่ที่ดูอ่อนแอบอบบาง กลับมิใช่ผู้ที่ปล่อยให้บีบเคล้นตามอําเภอใจได้
คนหนึ่ง
ผู้ที่น่าสงสารที่สุดยังคงเป็นนางอยู่ดี ถ้อยคําของฮูหยินใหญ่เป็นคําพูดปากเปล่า ถ้อยคํา
ของฮูหยินสี่ก็เป็นคําพูดปากเปล่าเช่นกัน ถึงตอนนั้นฮูหยินสี่ไม่ไปร่วมงานแต่งงานทางด้านโน้น
บรรดาเครือญาติเหล่านั้นจะต้องซักถามเป็นแน่ บางทีฮูหยินใหญ่อาจจะผลักตนออกไปรับหน้า
นางทั้งมิอาจกล่าวถ้อยคําของฮูหยินใหญ่ออกมาได้และมิอาจพูดถ้อยคําของฮูหยินสี่ออกมาได้
เช่นกัน ถึงเวลานั้นมิใช่ว่านางจะกลายเป็นคนตีสองหน้าคนหนึ่งแล้วหรอกหรือ
บ่าวหญิงผู้นั้นรับคําอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน
ชุนหว่านที่ฟังอยู่ข้างๆ โมโหโทโสยิ่งนัก บ่าวหญิงผู้นั้นเพิ่งจะก้าวออกไปพ้นประตู นางก็
กล่าวไล่หลังว่า “ฮูหยินหยวนนี่เป็นอะไรไปเจ้าคะ ถ้าหากคนอื่นถามขึ้นมาพวกเราจะตอบ
อย่างไร”
โจวเสาจิ่นจิบนํ้าชาอย่างไม่ช้าไม่เร็วพลางกล่าวว่า “มีอะไรที่พูดออกไปไม่ได้หรือ ฮูหยินผู้
เฒ่าอยู่กับพวกเราทางนี้ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ ข้าอยู่ที่นี่ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าใครก็หาความผิดกับข้า
ไม่ได้แม้ข้อเดียว ต่อให้มีความผิด นั่นก็เป็นงานแต่งงานบุตรชายของนาง นางไม่กลัวเสียหน้า ข้า
มีอะไรต้องกลัวด้วยเล่า!”
ชุนหว่านครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล อดหัวเราะคิกขึ้นมาไม่ได้
4664
โจวเสาจิ่นแลมองนางทีหนึ่ง พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาละๆ พวกเราไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัน
ต้องบอกเรื่องนี้ให้นางรู้สักหน่อย ไม่อย่างนั้นนางจะคิดว่าข้าไม่อยากไปช่วยงาน!”
แล้วคิดว่านางยังถือโทษโกรธเคืองเฉิงสวี่อยู่
ชุนหว่านยิ้มร่าพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ” แล้วช่วยโจวเสาจิ่นผัดหน้าแต่งตัว จากนั้นก็ไปหาฮู
หยินผู้เฒ่ากัว
เฉิงเว่ยย้ายบ้านแล้ว เฉิงสวี่จะแต่งงานแล้ว เฉิงรั่งก็จะคุยเรื่องแต่งงานในเร็ววันนี้ด้วย ฮู
หยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกว่าวันเวลาช่วงนี้ทําให้คนมีความหวังราวกับดอกไม้สวยงามละลานตาก็ไม่ปาน
ตอนที่โจวเสาจิ่นไปถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวกําลังลองเสื้อผ้าอยู่ เมื่อเห็นนางก็คลี่ยิ้มพลางกวัก
มือ กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าตอนที่เจ้าสาวมาแนะนําตัววันนั้นข้าสวมชุดนี้เป็นอย่างไร”
เป็นชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวอมดําลายแจกันมงคลคู่ตัวหนึ่ง
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางเห็นด้วย กล่าวว่า “สวมคู่กับเครื่องประดับที่สดใสรื่นเริงสัก
หน่อยก็จะยิ่งดีกว่านะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางให้เจินจูไปนํากล่องเครื่องประดับของตนมา กล่าวว่า “ถ้อยคํา
ของเจ้านี้พูดได้ตรงใจข้า เดิมทีข้าอยากจะสวมเครื่องประดับมรกตชุดนั้น แต่คิดว่าสีดูมืดมนไป
เล็กน้อย”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เครื่องประดับหยกมันแพะชุดนั้นก็ดีนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่าพลางกล่าวว่า “กลับลืมเครื่องประดับชุดนี้ไปได้” แล้วให้เจินจูหยิบ
กุญแจไปเปิดห้องเก็บของ และกล่าวอีกว่า “ข้าจําได้ว่าข้าเหมือนยังมีเครื่องประดับโมราสีชมพูชุด
หนึ่ง นั่นเป็นของที่เคยสวมใส่สมัยที่ข้ายังสาว เจ้าหยิบออกมามอบให้เสาจิ่น”
4665
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ามิได้มาหาท่านเพื่อขอเครื่องประดับนะเจ้าคะ ปรกตินายท่าน
สี่ก็ซื้อเครื่องประดับให้ข้าอยู่แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวระบายยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ข้ามอบให้เจ้า ภายหน้าเจ้าก็เก็บไว้ให้
บุตรชาย บุตรสาวและบุตรสะใภ้ ให้พวกเขารู้ว่านี่เป็นของที่ย่าทิ้งเอาไว้ให้พวกเขา”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นพลันขึ้นสีแดงกํ่า
เจ้าสี่ชื่นชอบนางจริงๆ
เมื่อคืนนางเป็นฝ่ายรุกเร้าก่อน เจ้าสี่ก็ชอบใจยิ่งนัก
นางไม่เชื่อว่านางจะไม่ประสบผลสําเร็จ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นท่าทางของนางแล้วก็หัวเราะเริงร่า พึงพอใจเป็นอย่างมาก
โจวเสาจิ่นเห็นนางมีความสุข ครุ่นคิดแล้ว ก็กลืนถ้อยคําเหล่านั้นของฮูหยินหยวนลงไป
เพียงเล่าเรื่องที่ต้องไปดูตัวคุณหนูตระกูลเซี่ยกับชิวซื่อในอีกสองวันให้ฟังเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงรอบรู้มากกว่านาง กล่าวว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด คงจะเป็นคุณหนู
สามไม่ก็คุณหนูสี่ของตระกูลเซี่ย ข้าก็ไปสอบถามมาแล้ว ตระกูลของใต้เท้าเซี่ยแม้ว่ายากจน แต่
คุณธรรมของวงศ์ตระกูลกลับดียิ่ง แม่นางสองคนที่ออกเรือนไปแล้วก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงด้านคุณ
งามความดีในบ้านสามี การแต่งภรรยาต้องดูที่คุณธรรม มิใช่ที่สินสอด หากเป็นคนดีมีศีลธรรม ก็
ไม่ต้องมองที่สิ่งของทางโลกีย์เหล่านั้น คนเป็นพื้นฐานของการสร้างครอบครัว”
โจวเสาจิ่นขานรับอย่างนอบน้อม
เมื่อถึงวันนั้นก็ไปที่วัดต้าเซียงกั๋วพร้อมกับเฉิงเจียและเฉิงเซิง
4666
เป็นไปตามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวไว้จริงๆ ผู้ที่มาเป็นคู่ดูตัวให้กับเฉิงรั่งคือคุณหนูสาม
ตระกูลเซี่ย รูปร่างสูงปานกลาง ผิวพรรณขาวเนียนละเอียด ดวงหน้ายังกลมมนมีแก้มยุ้ยของเด็ก
เล็กน้อย ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับกลมโต ทั้งสุกใสและเปล่งประกาย อากัปกิริยาต่างๆ ยังแฝงความ
ร่าเริงมีชีวิตชีวาของเด็กสาวอยู่หลายส่วน เห็นแล้วก็รู้ได้ว่าเป็นเด็กที่ใช้ชีวิตโดยได้รับความรัก
ความเอ็นดูจากมารดาและพี่น้องประเภทนั้น
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ชื่นชอบ
ชิวซื่อกับเฉิงเซิงก็ชื่นชอบเช่นกัน เฉิงเซิงยังเอ่ยล้อโจวเสาจิ่นว่า “เห็นหรือไม่ว่านางอายุ
น้อยกว่าเจ้าเพียงสองเดือนเท่านั้น”
ชื่อตัวของคุณหนูสามตระกูลเซี่ยคือ ‘เจวี๋ย’ อักษรเดียว ทําพิธีปักปิ่นในวันที่สี่เดือนหนึ่ง
โจวเสาจิ่นถูกเฉิงเซิงหยอกล้อมามากแล้ว ผิวหน้าก็หนาขึ้นแล้ว รีบกระแอมไออย่างเคร่ง
ขรึมทีหนึ่งพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าอายุน้อยกว่าข้าสองเดือน ต่อให้อายุมากกว่าข้าหกปีก็
ต้องเรียกข้าว่า ‘อาสะใภ้’” ขณะที่กล่าว ยังชายตามองเฉิงเซิงทีหนึ่งด้วย
เฉิงเซิงตะลึงงันไปชั่วขณะ แล้วหัวเราะลั่น ยื่นมือไปบีบหน้าของโจวเสาจิ่น ทั้งยังฟ้องชิ
วซื่อว่า “ท่านแม่ ท่านอาสะใภ้รังแกข้าเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นหลบหนีพลางหัวเราะร่า
เฉิงเซิงอายุมากกว่านางหกปี
ชิวซื่อเห็นแล้วก็แย้มรอยยิ้มอยู่ข้างๆ ไม่สนใจพวกนาง แล้วกล่าวกับสะใภ้สามตระกูลอู๋ผู้
เป็นสะใภ้สามของอู๋เจ่าซิ่วที่เชิญมาช่วยเป็นแม่สื่อว่า “ท่านดูว่าตระกูลเซี่ยสะดวกเมื่อใด ให้เด็ก
ทั้งสองคนเทียบแปดดวงอักษรกัน!”
นี่ก็หมายความว่าพึงใจแล้ว
4667
สะใภ้สามตระกูลอู๋คลี่ยิ้มด้วยความเบิกบาน กล่าวว่า “ข้าจะไปบอกตระกูลเซี่ย!” ทว่า
สายตากลับชําเลืองมองโจวเสาจิ่นอย่างอดไม่ได้ แล้วกล่าวกับชิวซื่ออย่างค่อนข้างอิจฉาว่า “พวก
เจ้าพี่สะใภ้น้องสะใภ้สนิทสนมกันจริงๆ”
ชิวซื่อมองโจวเสาจิ่นที่ถูกบุตรสาวจักจี้แต่เพราะเป็นห่วงครรภ์ของบุตรสาวจึงไม่กล้าออก
แรงปัดมากนัก แล้วมองเฉิงเจียที่ท้องโย้ยืนเท้าสะเอวมองดูความรื่นเริงอยู่ข้างหนึ่ง ก็กล่าวยิ้มๆ
ว่า “นางอายุยังน้อย! ข้าก็มองนางเป็นบุตรสาวคนหนึ่ง”
สะใภ้สามตระกูลอู๋ได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าคุณหนูสามตระกูลเซี่ยสั่งสมบุญ
วาสนามาจากชาติปางใด ถึงได้แต่งงานกับตระกูลพวกเจ้าได้”
ชิวซื่อเม้มปากกลั้นยิ้ม
เนื่องจากสะใภ้สามตระกูลอู๋ยังต้องไปแจ้งตระกูลเซี่ย นางจึงนําโจวเสาจิ่นกับเฉิงเซิงไป
กินอาหารเจในวัดต้าเซียงกั๋วแล้วถึงกลับไป
โจวเสาจิ่นพุ่งไปที่เรือนทิงเซียงโดยตรง รายงานผลการดูตัวให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง กล่าวอย่าง
ชื่นชมว่า “ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ นะเจ้าคะ! หากตอนนั้นท่านอยู่ด้วยก็คงจะดี!”
ในภายภาคหน้าหากนางต้องแต่งบุตรสะใภ้เข้ามาหรือแต่งบุตรสาวออกไป จะต้อง
สอบถามความคิดเห็นของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นท่าทางอยากพึ่งพาของนางก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ทว่าในใจกลับ
ยินดีเป็นล้นพ้น
ตระกูลเฉิงกับตระกูลเซี่ยสองตระกูลก็หารือกันเรื่องสินสอด
โจวเสาจิ่นไปที่บ้านของเฉิงเว่ยอยู่หลายครั้ง เวลานอกเหนือจากนั้นล้วนอยู่เป็นเพื่อนฮู
หยินผู้เฒ่ากัว
4668
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็สังเกตเห็นความผิดปกติเล็กน้อย
เรียกหลี่ว์มามามาซักถามอย่างเงียบๆ ว่า “ทําไมเสาจิ่นถึงไม่ไปช่วยงานที่ซอยซิ่งหลิน
หรือ”
โจวเสาจิ่นมิได้ตั้งใจจะปกปิดแต่อย่างใด เรื่องที่หยวนซื่อกล่าวไว้ย่อมเก็บซ่อนจาก
บรรดาบ่าวอาวุโสทางด้านประตูเฉาหยางเช่นหลี่ว์มามาไม่ได้
หลี่ว์มามาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังอย่างอ้อมค้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็มิได้เอ่ยคําใดกว่าครู่ใหญ่ สุดท้ายก็กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้
เสาจิ่นอยู่กับข้า ข้าก็ต้องมีคนปรนนิบัติคนหนึ่งจริงๆ” สีหน้าเรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง นํ้าเสียงก็
อ่อนโยนเหลือแสน แต่หลี่ว์มามาที่ปรนนิบัติข้างกายนางมาหลายสิบปีกลับลอบทอดถอนใจแทน
หยวนซื่ออยู่ในใจ