ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่500 กรมตรวจตรา
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา อารมณ์ของโจวเสาจิ่นยังคงห่อเหี่ยวอยู่เหมือนเดิม เฉิงฉือรู้ว่า
ครั้งนี้นางไม่พอใจแล้วจริงๆ จึงไม่สนใจว่าวันนี้ต้องไปพบหยวนเหวยซาง กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้
พลางหลอกล่อนางอย่างระมัดระวังนานพักใหญ่ จวบจนอารมณ์ของโจวเสาจิ่นดีขึ้นมาแล้ว หัวใจ
ที่แขวนค้างอยู่ของเขาถึงได้วางลง
โจวเสาจิ่นถูกเฉิงฉือหลอกล่อเช่นนี้ คิดว่าเรื่องนี้เป็นตนที่ดื้อรั้นไปสักหน่อย
เรื่องการมีบุตรนั้นก็เหมือนกับที่เฉิงฉือกล่าวไว้ว่า ‘ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ’ ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม นางไปถวายธูปที่วัดหงหลัว ขอองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมอวยพรให้นางมี
บุตรเร็วๆ สักคนคงไม่มากเกินไปกระมัง
นึกถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็อดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้
เฉิงฉือมอบเงินสําหรับถวายธูปเทียนแก่นางเป็นจํานวนมาก
โจวเสาจิ่นเก็บเงินไว้ในถุงเงินของตนเองอย่างมีความสุข แล้วออกเดินทางไปพร้อม
กับเฉิงเจียและเฉิงเซิง
วัดหงหลัวตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ห่างจากตัวเมืองสิบกว่าหลี่ ตั้งอยู่ทางเหนือแต่
หันไปทางใต้ สร้างติดกับภูเขา โดยมีสายธารล้อมรอบภูเขาและผืนป่ าเขียวชอุ่มชุ่มชื้น เพียงแต่
ตอนที่พวกนางไปยังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ใหม่ยังไม่ผลิบาน ส่วนใหญ่มีแต่กิ่งไม้แห้งแล้ง เมื่อ
มองดูแล้วแม้ว่าค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว แต่ผู้ที่มาสักการะยังมีจํานวนมาก ตอนที่พวกนางมาถึง
ประตูวัดก็ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว พ่อบ้านเซี่ยงที่ติดตามมาด้วยได้ตระเตรียมห้องข้างสําหรับพักผ่อน
และอาหารเจให้พวกนางเรียบร้อยแล้ว
4652
เฉิงเจียอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “มากับท่านอาสะใภ้เล็กยังคงสะดวกสบายอยู่ดี คราว
ก่อนที่พวกเรามา รอครึ่งค่อนวันกว่าจะได้ที่พักที่หนึ่ง”
โจวเสาจิ่นงงงัน
เฉิงเซิงยิ้มพลางอธิบายว่า “ตอนนั้นไม่คาดคิดว่าจะมาชนกับงานวัดของวัดหงหลัว ผู้คน
แออัดเนืองแน่น ตอนนั้นพวกพ่อบ้านไม่ได้เตรียมการเอาไว้ให้ดี”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อมาช่วงงานวัด ย่อมต้องมีคนคับคั่ง”
ทั้งสามคนรับประทานอาหารอย่างเรียบง่ายเล็กน้อย แล้วจึงไปที่อุโบสถ
เฉิงเซิงมาแก้บน มีพระผู้ดูแลแขกองค์อื่นมาต้อนรับ เฉิงเจียจึงไปถวายค่านํ้ามันและธูป
เป็นเงินจํานวนสิบเหลี่ยงกับโจวเสาจิ่น แล้วไปเสี่ยงเซียมซี
บนในเซียมซีเขียนไว้ว่า ใบอู๋ถงร่วงสิ้นสารทฤดู นักพเนจรหวนกลับดั่งเมฆา ขอบคุณ
สวรรค์ผู้ทรงฤทธิ์ เภตราแล่นตามสายลมนําสมบัติกลับมา
มีทั้งคําว่าใบไม้ร่วงกับสิ้นสารทฤดู แต่ก็มีคําว่าสวรรค์และสมบัติ โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียก็
ไม่แน่ใจว่าใบเซียมซีนี้ดีหรือไม่ดีกันแน่
พระผู้ดูแลแขกองค์นั้นเห็นโจวเสาจิ่นอายุน้อยแต่ถวายเงินด้วยจิตใจกว้างขวางเป็นอย่าง
ยิ่ง จึงนํานางไปยังสถานที่ทํานายใบเซียมซีด้วยตนเอง
พระอาวุโสรับใบเซียมซีมาแล้วอ่านหนึ่งรอบ จากนั้นก็ถามว่าพวกนางขออะไร
โจวเสาจิ่นขัดเขินเล็กน้อย เฉิงเจียรีบตอบแทนนางว่า “ขอบุตรเจ้าค่ะ!”
พระอาวุโสองค์นั้นก็คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “สีกาอย่าได้กังวล สัญลักษณ์ต่างๆ ในใบเซียมซี
นี้แม้มีคําว่าใบอู๋ถงร่วง แต่ก็สื่อความนัยว่าเรื่องต่างๆ จะโชคร้ายก่อนโชคดี เป็นใบเซียมซีที่ดี”
4653
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียต่างลิงโลดดีใจ ถวายเงินค่าทํานายให้สิบเหลี่ยง
พระอาวุโสผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากใจปรารถนาสิ่งใด สวรรค์ย่อมประทานให้ ขอเพียง
เพียรพยายาม จักต้องประสบผลสําเร็จเป็นแน่ สีกาจะสมปรารถนาอย่างแน่นอน”
นี่ก็ไม่ต่างจากที่เฉิงฉือบอกว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเลย!
โจวเสาจิ่นขอบคุณพระอาวุโสผู้นั้นซํ้าแล้วซํ้าเล่า เมื่อออกจากอุโบสถ เพียงรู้สึกว่าท้องฟ้า
กว้างใหญ่เมฆาลอยล่อง รู้สึกผ่อนคลายอย่างอธิบายไม่ได้ ครั้นเห็นเณรน้อยองค์หนึ่งเดินผ่านมา
ก็เรียกเขามาแล้วถามว่าเฉิงเซิงอยู่ที่ใด
เณรน้อยองค์นั้นเห็นใบหูของนางแดงกํ่าไปหมด กล่าวพึมพําไปทางด้านตะวันออกว่า
“ต้ากูไหน่ไนตระกูลเผิงกําลังสนทนาธรรมกับหลวงปู่อยู่ที่ห้องนั่งสมาธิขอรับ!”
ในใจของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความอิ่มเอมเปรมใจ ดึงเฉิงเจียอย่างเริงร่า “พวกเราก็ไป
ฟังพวกเขาสนทนาอะไรกันเถอะ!”
เฉิงเจียเป็นคนที่อยู่ไม่นิ่งเป็นทุนเดิมผู้หนึ่ง เมื่อถูกหลี่จิ้งกักตัวอยู่ในบ้านมาเป็นเวลานาน
ต่อให้โจวเสาจิ่นไม่ไปนางก็จะรบเร้าโจวเสาจิ่นให้ไป นับประสาอะไรกับเมื่อโจวเสาจิ่นชวนไปเอง
นางจึงยิ่งกระตือรือร้นเข้าไปใหญ่ ดึงโจวเสาจิ่นแล้วมุ่งไปทางตะวันออก
หรือว่าเป็นเพราะห้องนั่งสมาธินั้นไม่เปิดให้กับผู้มาสักการะทั่วไป ยิ่งพวกนางเดินไปตาม
ทางเรื่อยๆ คนก็ยิ่งบางตา
จู่ๆ โจวเสาจิ่นก็ชะงักฝีเท้าแล้วหยุดนิ่ง
เฉิงเจียรีบถามว่า “เป็นอะไรไปหรือ” แต่กลับเห็นนางเขย่งเท้ามองไปทางป่าไม้ใต้เนินเขา
4654
มีทางเดินเส้นเล็กมุ่งไปยังป่ าใต้เนินเขาจากที่พวกนางยืนอยู่เส้นหนึ่ง ชายหนุ่มสวมชุด
เผาจื่อผ้าไหมสีครามคนหนึ่งกําลังเดินทะลุป่าไปยังประตูข้าง
ชายหนุ่มผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่งและผ่ายผอม กําลังสาวเท้าอย่างเร่งรีบ ดูค่อนข้างโดดเด่น
แปลกตาในวัดที่ผู้มาสักการะแทบจะเป็นสตรีทั้งหมดแห่งนี้
เฉิงเจียกล่าวยิ้มๆ ว่า “คงเป็นสามีของผู้ใดกระมัง หากพูดถึงบุตรเรื่องนี้ขึ้นมา ขอเพียง
เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เกรงว่าก็ไม่อาจวางใจลงได้…”
ขณะที่นางกล่าว ก็จูงโจวเสาจิ่นเตรียมจะเดินไปต่อ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับกระตุกมือของนาง พลางกล่าวอย่างร้อนรนว่า “เจ้าว่าเงาร่างนั้น
คล้ายเฉิงลู่หรือไม่”
“พี่ชายลู่!?” เฉิงเจียเบิกดวงตาโพลง เพ่งมองไปทางชายหนุ่มผู้นั้น แล้วตอบอย่างไม่อยู่ใน
ร่องในรอยเล็กน้อยว่า “ข้าก็เคยเห็นเขาเพียงไม่กี่ครั้ง จะรู้ว่าคล้ายหรือไม่คล้ายได้อย่างไร… พี่ชาย
ลู่ผู้นั้นก็ผอมและสูงเช่นกัน… แต่เขามาอยู่ที่จิงเฉิงได้อย่างไรเล่า ผู้ที่มาสักการะในวัดหงหลัวแห่ง
นี้ล้วนเป็นสตรี เขามาทําไมกันนะ…”
โจวเสาจิ่นจิตใจว้าวุ่นปั่นป่วนไปชั่วขณะ
ด้วยความรู้เกี่ยวกับเฉิงลู่ที่นางมี ขอเพียงมีโอากาสสายหนึ่ง เขาก็จะไม่ยอมละทิ้ง
แผนการชั่วร้ายของเขา ดังเช่นที่นางเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านมานานหลายปี แต่หลังจากที่ตระกูลเฉิง
เกิดเรื่องขึ้น เขากลับตามหาตนเองไกลเป็นพันหลี่จนพบเพื่อข่มขู่ตน
หากเป็นเฉิงลู่จริงๆ นางมิอาจปล่อยให้เขาหนีไปได้
นางรีบบอกจี๋เสียงที่ยังเป็นเด็กว่า “เจ้ารีบไปหาฝานฉีเร็ว บอกว่าข้าเห็นเฉิงลู่ สวมชุด
เผาจื่อผ้าไหมสีครามตัวหนึ่ง ให้เขาหาทางตามหาเขาที”
4655
โจวเสาจิ่นอดรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ฝากฝังฝานฉีไว้กับพ่อบ้านเซี่ยง วันนี้ออกมาข้างนอก เนื่อง
จากฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่บ้านที่ประตูเฉาหยาง ทางด้านประตูเฉาหยางขาดคนไม่ได้ วันนี้นางจึงพา
พ่อบ้านเซี่ยงออกมาข้างนอก
จี๋เสียงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานควัน
อารมณ์ดีของโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียล้วนไม่หลงเหลือเสียแล้ว
เฉิงเจียปลอบโจวเสาจิ่นว่า “บางทีอาจจะมองผิดคนก็ได้”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างว้าวุ่นใจ ทั้งสองคนเดินไปยังห้องนั่งสมาธิ
โดยไม่พูดจากันตลอดทาง
เดิมทีเพื่อรอโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียเฉิงเซิงจึงอยู่สนทนาธรรมกับพระอาวุโสผู้นั้น ตอนนี้โจว
เสาจิ่นกับเฉิงเจียมาแล้ว นางจึงกล่าวอําลาขอตัว
ทั้งสามคนกลับไปทางเดียวกับที่มา
เฉิงเซิงเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้ว่าโจวเสาจิ่นเสี่ยงได้ใบเซียมซีอะไร
โจวเสาจิ่นเล่าให้เฉิงเซิงฟัง
เฉิงเซิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าหากท่านแม่ของข้าได้ยินแล้วจะต้องดีใจมากเป็นแน่ นางยังบอก
ว่าอยากไปดูตัวภรรยาให้รั่งเกอเอ๋อร์กับเจ้า ถึงตอนนั้นพวกเราไปกินอาหารเจที่วันต้าเซียงกั๋วกัน”
เฉิงเจียตะโกนขึ้นว่า “ข้าก็อยากไปด้วย! ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น พวกเจ้าก็แสร้งทําเป็นว่า
ข้าไม่อยู่ด้วยไปเสีย ข้าอยากไปกินอาหารเจที่วัดต้าเซียงกั๋ว”
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเซิงขําพรืดออกมา
คนทั้งกลุ่มพูดคุยไปหัวเราะไป บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
4656
โจวเสาจิ่นนําฟองเต้าหู้ม้วนทอดกลับไปฝากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเล็กน้อย
เฉิงเซิงเห็นแล้วร้องว่า “ไอ้โหยว มิน่าท่านย่าถึงชื่นชอบเจ้าขนาดนี้ พวกข้าล้วนไม่ได้คิดถึง
เลยสักนิด”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ข้าเพียงคิดว่าฟองเต้าหู้ม้วนทอดนี้อร่อยมากก็เท่านั้น”
เฉิงเซิงพยักหน้าหงึกๆ บอกมามาผู้ติดตามให้ซื้อกลับไปด้วย “ให้คนที่บ้านสามีของข้า
ลองชิมดูสักหน่อย”
เฉิงเจียเห็นแล้วก็ซื้อด้วยเช่นกัน บอกว่าอยากจะนํากลับไปให้หลี่จิ้งชิม
หลี่จิ้งจะต้องดีใจมากเป็นแน่
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม มองไปรอบๆ แล้วถามชุนหว่านว่า “ฝานฉีไปไหนแล้ว”
ชุนหว่านมองไปทางจี๋เสียง
จี๋เสียงรีบตอบว่า “ข้านําถ้อยคําของฮูหยินไปแจ้งพ่อบ้านฝานแล้ว หลังจากนั้นพ่อบ้าน
ฝานก็ไม่ได้กลับมาเลยเจ้าค่ะ…”
หรือว่าจะเป็นเฉิงลู่จริงๆ กันนะ
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดในใจ ทิ้งบ่าวคนหนึ่งไว้รอฝานฉีที่นี่ ส่วนพวกเขาก็เดินทางกลับบ้าน
ใครจะรู้ว่าพอนางกลับถึงประตูเฉาหยาง มีแขกหลายคนนั่งอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้
เฒ่ากัว นอกจากฮูหยินของใต้เท้าเผิงผู้เป็นหลางจงในกองคัดเลือกทหารของกรมกลาโหมผู้นั้นที่
ช่วงนี้มักจะมาเยี่ยมเยียนพวกเขาเป็นประจําแล้ว ยังมีฮูหยินเผิงเฉิงกับชิวซื่ออีกด้วย พวกนาง
กําลังนั่งดื่มชากินของว่างขณะสนทนากันอยู่
4657
เมื่อเห็นนางกลับมาแล้ว ฮูหยินหยวนผู้นั้นก็รีบก้าวมาจับมือของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว
ยิ้มๆ อย่างอบอุ่นว่า “ฮูหยินสี่ ต้องแสดงความยินดีกับเจ้าแล้ว! ขุนนางใหญ่ชวีผู้นั้นถูกจับกุมไป
แล้ว องค์ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้สามศาลสูงสืบสวนคดี!”
กล่าวอีกนัยได้ว่า เฉิงฉือไม่เป็นไรแล้ว
คนที่ผิดคือขุนนางใหญ่ชวี
โจวเสาจิ่นชมชื่นยินดีเป็นล้นพ้น ดวงหน้าเปล่งประกายหลายส่วน ตะโกนถามฮูหยินผู้
เฒ่ากัวว่า “ท่านแม่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ”
“เป็นเรื่องจริง!” แม้รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะสํารวมกว่าโจวเสาจิ่นมาก แต่ก็มองออก
ว่าปีติยินดีเหลือคณา “ที่ฮูหยินเผิงกับฮูหยินเผิงเฉิงมาก็เพื่อบอกเรื่องนี้กับข้า”
รอยยิ้มของโจวเสาจิ่นที่หุบเอาไว้ไม่อยู่ประดับบนใบหน้าอย่างเฉิดฉาย
นี่ทําให้ฮูหยินเผิง ฮูหยินเผิงเฉิงกับชิวซื่อที่นําความมาแจ้งต่างรู้สึกว่าตนเองทําเรื่องนี้ได้
ถูกต้องยิ่งนักและรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง
จวบจนเฉิงฉือกลับมาตอนเย็น โจวเสาจิ่นปรนนิบัติเขาผลัดอาภรณ์ใหม่เสร็จแล้ว ก็อด
กอดเขาไม่ได้ คลี่ยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามเขาว่า “ท่านมีเรื่องอะไรจะบอกข้าหรือไม่เจ้าคะ”
ถ้าหากเป็นเรื่องการเสี่ยงเซียมซี นางจะต้องถามเขาว่า ‘ท่านเดาว่าข้าได้ใบเซียมซีอะไร’
เช่นนั้นก็ต้องเกี่ยวกับเรื่องที่ขุนนางใหญ่ชวีถูกจับกุมแล้ว
เขาไม่คาดคิดว่านางจะทราบข่าวเร็วขนาดนี้
แต่เมื่อเห็นดวงหน้าน้อยๆ ที่บอบบางราวบงกชของนาง เขาก็นึกสนุกขึ้นมา ถามนางกลับ
อย่างแปลกใจเล็กน้อยด้วยท่าทางเหมือนปกติว่า “ในบ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
4658
หรือว่าเจ้าสี่ไม่รู้เรื่องที่ขุนนางใหญ่ซวีถูกจับกุมกันนะ
โจวเสาจิ่นมองตาปริบๆ รีบเล่าเรื่องที่ฮูหยินเผิงนําความมาแจ้งให้พวกนางแก่เฉิงฉือฟัง
นัยน์ของเฉิงฉือมีรอยยิ้มละม้ายคล้ายแสงดวงดาวเล็กๆ ทอประกายระยิบระยับ
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วตะลึงงัน จากนั้นก็รู้ตัวขึ้นมาทันทีว่านางถูกเฉิงฉือหลอกเสียแล้ว
“วันหลังจะไม่ช่วยท่านผลัดอาภรณ์อีกแล้ว!” โจวเสาจิ่นผลักเฉิงฉืออย่างกระดากอายและ
ขุ่นเคือง
เฉิงฉือหัวเราะร่า กอดรัดโจวเสาจิ่นในอ้อมอกแน่นๆ บีบหน้าของนางพลางกล่าวว่า “ข้า
ยังมีข่าวอีกเรื่องจะบอกเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะชอบฟังหรือไม่”
โจวเสาจิ่นสนใจใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งไม่สนใจว่าเขาหยอกล้อตนไปเมื่อครู่ เอ่ยถามขึ้นว่า
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ท่านไม่บอกแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าชอบหรือไม่”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้เลื่อนตําแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่เสมียนในฝ่ ายเสมียนของสํานัก
ตรวจราชการ!”
เจ้าหน้าที่เสมียนในฝ่ายเสมียนของสํานักตรวจราชการมียศขั้นหกบน
นี่มิใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือเจ้าหน้าที่เสมียนในฝ่ ายเสมียนรับตําแหน่งอยู่ในจิง
เฉิง
“ชอบเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นดีใจอย่างลิงโลดพลางสวมกอดเฉิงฉือ
เฉิงฉือก้มหน้าลง จุมพิตหน้าผากของโจวเสาจิ่นพลางพึมพํายิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กโง่”
4659
คืนวันนั้น ฝานฉีมิได้กลับมา
เฉิงฉือส่งคนออกตามหาในคืนนั้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกวิตกกังวัลตลอดทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น ข่าวนี้ได้แพร่ออกไป ญาติสนิทมิตรสหายของตระกูลเฉิงต่างมาแสดงความยินดี
โจวเสาจิ่นอยู่ในห้องครัวด้านหนึ่งสั่งบ่าวหญิงหน้าเตาตระเตรียมอาหารต้อนรับแขกเหรื่อ
อีกด้านหนึ่งก็รอฟังข่าวของฝานฉีด้วยใจร้อนรนดั่งไฟสุม ความปลาบปลื้มยินดีที่เฉิงฉือได้เลื่อน
ตําแหน่งล้วนเย็นชืดลงมา
หากรู้เช่นนี้แต่แรกนางก็คงไม่ให้ฝานฉีไปตามหาคนแล้ว
ถ้าเกิดฝานฉีเป็นอะไรขึ้นมา นางจะอธิบายให้ฝานมามาอย่างไร!
จะไม่ให้นางรู้สึกผิดต่อฝานฉีได้อย่างไร!
ไม่ง่ายเลยกว่าโจวเสาจิ่นจะทนรอจนถึงยามที่จุดโคมไฟ ฝานฉีก็กลับมาถึงด้วยอาการ
เหนื่อยล้า
โจวเสาจิ่นดีใจยิ่งยวด ไม่สนใจแขกเหรื่อในห้อง ดึงฝานฉีไปด้านหลังห้องครัวแล้วไถ่ถาม
ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าไม่ได้ตกอยู่อันตรายอะไรใช่หรือไม่”
“ไม่เลยขอรับๆ!” ฝานฉีกล่าวอย่างกระหืดกระหอบ “ท่านจําไม่ผิดคน เป็นเฉิงลู่ขอรับ… ข้า
ตามเขาไปตลอดทาง เขาเป็นเสมียนบัญชีใหักับตระกูลขุนนางตระกูลหนึ่งที่ไหวโหรว… ซํ้ายัง
เปลี่ยนชื่อแซ่เป็นต่งลี่ชุนด้วยขอรับ”