ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่498 ฟ้องร้อง
อู๋เป่ าจางยืนกลอกตาอยู่ตรงนั้น ทว่าโจวเสาจิ่นนั้นกําลังคุยกับชิวซื่ออย่างมีความสุขยิ่ง
ว่า “…วันนี้ก็ยังไปช่วยงานที่บ้านของท่านอาจารย์อยู่หรือเจ้าคะ”
พวกนางกําลังพูดถึงรั่งเกอเอ๋อร์!
ชิวซื่อหันไปมองรอบๆ เห็นอู๋เป่ าจางมองมาทางนี้ จึงหันไปพยักหน้าให้อู๋เป่ าจางยิ้มๆ
กล่าวเสียงดังว่า “หลานสะใภ้นั่ว ข้างนอกหนาวเย็นนัก รีบกลับไปพักในเรือนเถิด!”
อู๋เป่าจางเดินเข้ามาทักทายยิ้มๆ ครั้งหนึ่งแล้วเดินจากไป
ชิวซื่อนํากระถางธูปที่เช็ดเสร็จแล้วไปวางลงบนโต๊ะจุดธูป ถึงได้กระซิบกล่าวกับโจวเสา
จิ่นเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ที่สอนรั่งเกอเอ๋อร์คือใต้เท้าเซี่ยที่เดิมทีเป็นขุนนางเกษียณอายุแล้วของ
สํานักฮั่นหลิน กว่าเขาจะสอบผ่านจิ้นซื่อก็มีอายุล่วงเลยวันห้าสิบไปแล้ว แต่เซี่ยอี๋บุตรชายของเขา
นั้นอายุสามสิบกว่าก็สอบจิ้นซื่อผ่านแล้ว ปัจจุบันดํารงตําแหน่งนายทะเบียนศาลไท่ผู ท่าน
อาจารย์เซี่ยถูกใจรั่งเกอเอ๋อร์ของพวกข้า อยากให้หลานสาวแต่งกับรั่งเกอเอ๋อร์ วันนี้จึงเรียกรั่งเกอ
เอ๋อร์ไปช่วยงานที่บ้านเป็นการเฉพาะ ข้ากลัวว่าเขาจะเสียมารยาท จึงให้เจียซ่านร่วมทางไปเป็น
เพื่อนเขาด้วย”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นมิเท่ากับว่าตระกูลของพวกเราก็กําลังจะมี
คนเพิ่มอีกคนแล้วหรือ”
ชิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ยังไม่รู้ว่าจะสําเร็จหรือเปล่า!” ขณะที่กล่าว ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
กล่าวขึ้นด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิดว่า “ต่อให้เรื่องนี้ไม่สําเร็จ รั่งเกอเอ๋อร์
ก็ถึงวัยต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเคยเจอคุณหนูของตระกูลเซี่ยผู้นั้นหรือไม่”
4633
ชิวซื่อหันไปมองรอบๆ อีกครั้งหนึ่ง กระซิบกล่าวว่า “ข้ายังไม่เคยเจอตัวคนมาก่อน แต่ว่า
ตระกูลของพวกเขาล้วนเป็นคนจริงใจและเรียบง่าย เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวแล้ว
ท่านอาจารย์เซี่ยผู้นั้นถึงได้ไปเป็นอาจารย์ที่สํานักศึกษา เจ้าเองก็รู้ว่าตอนนี้ครอบครัวของพวกเรา
แยกบ้านกันอยู่แล้ว รั่งเกอเอ๋อร์เองก็เป็นคนซื่อๆ และเรียบง่ายผู้หนึ่ง ข้าและพี่ชายรองของเจ้า
ปรึกษากันแล้ว คิดว่าหากครอบครัวของพวกข้าจะหาสะใภ้ก็หาคนที่มีกิริยาดีน่านับถือสักคนหนึ่ง
ก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ต้องดูคนสักหน่อยกระมัง
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องบางอย่างก็เป็นพรหมลิขิต นางจะเอ่ยปากคัดค้านหรือเห็นด้วยใน
เวลานี้ล้วนไม่ค่อยดีนัก
ชิวซื่อเองก็มองความคิดของนางออก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเพียงแต่คิดว่ารั่งเกอเอ๋อร์ของ
พวกข้าเป็นคนขลาดกลัว หากอีกฝ่ายถูกใจพวกข้าค่อยไปดูตัวฝ่ายหญิงก็ยังไม่สาย”
ในเมื่อชิวซื่อมีความคิดในใจแล้ว โจวเสาจิ่นเองก็ไม่กล่าวอะไรมากอีก จัดโต๊ะบูชากับชิ
วซื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปที่ห้องครัว
ทางด้านนี้หยวนซื่อก็จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เห็นพวกนางเดินเข้ามาก็กล่าว
ขึ้นว่า “นายท่านใหญ่เพิ่งกลับมาจากบ้านของขุนนางใหญ่หยวนทางด้านโน้น กําลังคุยกับท่านแม่
อยู่ในห้องโถง รอเพียงรั่งเกอเอ๋อร์และเจียซ่านกลับมาถึงก็เริ่มงานได้แล้ว!”
เสียงพูดของนางยังไม่ทันจบลง ก็มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยิน ฮูหยินรอง
ฮูหยินสี่ คุณชายใหญ่และคุณชายรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
4634
ดวงหน้าของหยวนซื่อจึงประดับไปด้วยความยินดี กล่าวกับโจวเสาจิ่นและชิวซื่อยิ้มๆ ว่า
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปที่ห้องโถงกันเถอะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ที่ห้องโถง เมื่อเฉิงสวี่และเฉิงรั่งกลับมาแล้ว ย่อมต้องไปคารวะฮูหยินผู้
เฒ่ากัวก่อน
โจวเสาจิ่นและชิวซื่อรับคํา สะใภ้ทั้งสามคนไปที่ห้องโถงพร้อมกัน
ไม่รู้ว่าเฉิงเซ่า เฉิงฉือและเฉิงเวิ่นออกมาจากห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อใด ล้วนนั่งล้อมอยู่ข้าง
กายฮูหยินผู้เฒ่ากัว เฉิงรั่งและเฉิงสวี่ยืนเคียงกันอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว ผู้หนึ่งหน้าแดงไม่รู้จะ
ทําตัวอย่างไรด้วยความขัดเขินเล็กน้อย ส่วนอีกผู้หนึ่งพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างสบายๆ และ
เป็นธรรมชาติ “…ท่านอาจารย์ใหญ่ของสํานักศึกษาเชิญท่านอาจารย์เซี่ยไปร่วมฉลองปีใหม่ด้วย
พวกข้าจึงมิได้รั้งอยู่นานนัก พูดคุยกันสองสามประโยค สอบถามการบ้านเสร็จ ข้าและน้องรองก็
กลับมาเลยขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ ไม่หยุด กล่าวกับเฉิงสวี่ว่า “ด้านนอกหนาวเย็นนัก รีบไป
เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ประเดี๋ยวพาน้องชายของเจ้าไปจุดปะทัดเสร็จพวกเราก็เริ่มงานกันได้แล้ว”
เฉิงสวี่ยิ้มพร้อมกับขาน “ขอรับ”
เฉิงนั่วรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก็ไปช่วยด้วยนะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เกรงใจเขา กล่าวขึ้นว่า “วันมหาปีใหม่ พวกเจ้าระมัดระวังกันสักหน่อย”
เฉิงสวี่และอีกสองคนขานรับคําซํ้าๆ เดินตามกันออกไปด้านนอก
โจวเสาจิ่นถอยหลังไปสองสามก้าว
แต่เฉิงสวี่ก็ยังคงเห็นนางแล้วอยู่ดี
4635
ดวงตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นมา ฝีเท้าหยุดชะงักลง
โจวเสาจิ่นอยากจะหลบเลี่ยงออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อหวนคิดว่าตนมิได้มี
ความผิดอะไร เหตุใดต้องหลบเลี่ยงด้วย นอกจากนี้นางเป็นอาสะใภ้ของเฉิงสวี่แล้ว เงยหน้าไม่
พบก้มหน้าก็ต้องพบกันอยู่ดี ไม่อาจเลี่ยงการเจอหน้ากันตลอดไปได้ เวลานี้แทนที่จะหลบเลี่ยง
ออกไปแล้วทําให้เฉิงสวี่คิดว่านางอึดอัดใจ มิสู้เผชิญหน้ากันตรงๆ ให้เขารู้ท่าทีของตนไปเลยจะ
ดีกว่า
ชั่วขณะที่ขบคิดนั้นนางก็ตัดสินใจได้ ดวงตากระจ่างใสสบประสานกับสายตาของเฉิง
สวี่ตรงๆ โดยไม่หลบเลี่ยงและไม่ไหวติง
เฉิงสวี่ตกตะลึง
จากนั้นก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยภายใต้ดวงตาใสแจ๋วดุจนํ้ากลางหุบเขานั้นของโจวเสา
จิ่น
เรื่องราวในตอนนั้นเป็นความผิดของเขา…แต่โจวเสาจิ่นไม่ได้รับผลกระทบอะไรแม้แต่นิด
เดียวเลยหรือ
บางทีสําหรับนางแล้ว เขาไม่มีค่าพอจะเอ่ยถึงด้วยซํ้าไปกระมัง
เฉิงสวี่รู้สึกสับสนว้าวุ่นอยู่ในใจ
เฉิงรั่งที่อยู่ด้านหลังเขากลับชนเข้ากับร่างของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ร้อง “โอ๊ย” ออกมาเสียง
หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่…ท่านเป็นอะไรไปขอรับ”
“เปล่าๆ” เฉิงสวี่ได้สติคืนกลับมา รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้ากําลังคิดว่าต้องหยิบธูปไปจากที่นี่
หรือไม่…”
4636
“ที่ห้องครัวก็มีขอรับ!” เฉิงรั่งยิ้มหน้าแดง
เฉิงสวี่รีบออกจากห้องโถงไปพร้อมกับเฉิงรั่ง
ดูแล้วบางเรื่องควรจะเผชิญหน้ากับมันตรงๆ
นางสัมผัสได้ถึงสายตาหนึ่งมาหยุดอยู่ที่ร่างของนาง
โจวเสาจิ่นมองไปตามทิศทางที่รู้สึก เห็นว่าเฉิงฉือกําลังมองนางอยู่ด้วยรอยยิ้ม
ในแววตาเต็มไปด้วยการให้กําลังใจ
เหตุการณ์เมื่อครู่เฉิงฉือเองก็คงเห็นแล้วกระมัง
โจวเสาจิ่นยิ้มตามขึ้นมาด้วยอย่างห้ามไม่อยู่
ในวันที่สอง พวกเขาก็ยังคงไปที่ซอยซิ่งหลิน โจวเสาจิ่น เฉิงเจิง เฉิงเซียวและเฉิงเซิงเล่น
ไพ่ใบไม้เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวทั้งวัน
วันที่สามโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือไปหาโจวชูจิ่น
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวไปตระกูลฟาง เลี่ยวเส้าถังและเฉิงฉือดื่มสุราอยู่ในห้องรับแขก ส่วนโจว
เสาจิ่นและโจวชูจิ่นเล่นกับกวนเกอพลางพูดคุยกันไปด้วยอยู่ในห้องนอน
“ท่านยายบอกว่า ผ่านพ้นเทศกาลโคมไฟไปแล้วพวกเขาจะออกเดินทางมาที่จิงเฉิง” โจว
ชูจิ่นเอานิ้วโป้งของกวนเกอออกจากปากของเขา กล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นให้พวก
เขามาพักกับข้าที่นี่ก็แล้วกัน!”
4637
โจวเสาจิ่นเป็นน้องสาวต่างแม่ของโจวชูจิ่น และโจวเจิ้นเป็นบุตรเขยของจวนสี่ ไม่ว่า
อย่างไรนี่ก็อ้อมหรือเลี่ยงไปไม่พ้น หลังจากตระกูลเฉิงแยกตระกูลกันแล้ว โจวเจิ้นให้เฉิงเหมี่ยน
และคนอื่นๆ ช่วยจัดการธุระเรื่องออกเรือนให้โจวเสาจิ่น นี่เป็นการบอกจวนสี่เป็นนัยไปในตัวว่า
ให้ตัดสินใจเลือกระหว่างโจวเจิ้นและตระกูลเฉิงจวนหลัก และเฉิงเหมี่ยนตอบรับมาส่งโจวเสาจิ่
นออกเรือนในฐานะลุง ซึ่งก็หมายความว่ายอมรับข้อเสนอของโจวเจิ้นแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังจากโจว
เสาจิ่นออกเรือนแล้ว เฉิงเหมี่ยนกลับจินหลิง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ เดินทางไปที่เมือง
เป่าติ้ง อยู่ฉลองปีใหม่กับตระกูลโจว
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับกอดกวนเกอเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “จะยุ่งยากเพียงนั้นไปทําไมเจ้าคะ
แม่สามีของท่านก็มิใช่คนพูดง่ายๆ ผู้หนึ่ง แทนที่จะให้อยู่กับพวกท่านที่นี่ มิสู้ให้อยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน
จะดีกว่าเจ้าค่ะ”
เจตนาของบิดานั้น โจวเสาจิ่นพอจะคาดเดาได้บ้างไม่มากก็น้อย
นางจึงไม่เชิญฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ ไปพักที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้น
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่เพราะข้ากลัวว่าเฉิงจื่อชวนจะไม่อนุญาตหรอกหรือ”
เนื่องจากเป็นคนที่เคยเป็นท่านน้าของนางมาก่อน นอกจากนี้เวลานั้นยังดูแลนางเป็น
อย่างดี นางจึงไม่กล้าเรียกเฉิงฉือว่าน้องเขย และก็ไม่อาจเรียกท่านน้าได้อีก จึงเรียกเฉิงฉือด้วย
ชื่อไปเลย
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องแค่นี้ข้าตัดสินใจเองได้เจ้าค่ะ!”
เพียงแต่ว่าเรือนหลักนั้นไม่อาจให้คนเข้าไปอยู่ได้
เมื่อสองพี่น้องตัดสินใจกันเรียบร้อยเหมาะสมแล้ว โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า
“แม่สามีของท่านไปตระกูลฟางได้อย่างไร วันนี้มันวันที่สามมิใช่หรือ!”
4638
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้คุณหนูหกตระกูลฟางหมั้นหมาย จึงเชิญแม่สามีข้าไป ข้า
บอกว่าพวกเจ้าจะมา จึงได้รั้งอยู่ที่บ้าน”
โจวเสาจิ่นกล่าว “เร็วเพียงนี้เชียว!”
โจวชูจิ่นเม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “เห็นบอกว่าดูฤกษ์วันแต่งไว้เรียบร้อยหมดแล้ว
กําหนดเป็นวันที่หกเดือนสาม”
เฉิงสวี่แต่งงานเดือนสอง ฟางเซวียนแต่งงานเดือนสาม
นับได้ว่าตรงกับประโยคที่ว่า ‘มีเดินออกไปมีเข้ามาใหม่’ ประโยคนั้น เก็บความสุขความ
โชคดีไว้ในบ้าน
โจวเสาจิ่นหัวเราะน้อยๆ
ติดตามเฉิงฉือไปเยี่ยมบ้านญาติพี่น้อง ไม่นานก็ถึงเทศกาลโคมไฟ
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบรับมาแล้วว่าจะไปพักที่ซอยอวี๋เฉียน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกําลัง
จะย้ายกลับมา ซอยอวี๋เฉียนทางด้านโน้นก็ต้องจัดคนไป ลานทิงเซียงทางด้านนี้ก็ต้องทําความ
สะอาด โจวเสาจิ่นจึงยุ่งวุ่นวายทั้งสองฝั่ง
ชุนหว่านยํ้าเตือนนางว่า “ได้ยินว่าที่ประตูซีจื๋อและถนนจูเชวี่ยล้วนมีโคมไฟให้ดูแล้วเจ้า
ค่ะ”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับมิได้เอ่ยสิ่งใดต่อหน้าเฉิงฉือเลยสักคํา ช่วงนี้ต่อให้ไปเยี่ยมบ้านผู้อื่น
เฉิงฉือก็มักจะอยู่คุยกับผู้อื่นในสถานที่เปลี่ยวบ่อยๆ นางเดาว่าเขาคงจะกําลังสืบเรื่องของขุนนาง
ใหญ่ชวีอยู่
4639
เมื่อถึงเทศกาลโคมไฟวันนั้น เฉิงฉือไม่เพียงมิได้เอ่ยถึงเรื่องจะพานางไปดูโคมไฟ ยังออก
จากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่อีกด้วย บอกว่าตอนเย็นคงไม่ได้กลับมากินมื้อเย็น ให้นางพักผ่อนเร็วสัก
หน่อย ไม่ต้องรอเขา
บ่าวรับใช้ในบ้านไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือกระทําอะไรล้วนแล้วแต่
ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นรู้สึกน่าขันยิ่งนัก กล่าวกับชุนหว่านว่า “ไม่อนุญาตให้นายท่านสี่มีธุระบ้างเลย
หรืออย่างไร พวกเจ้าก็เกินไปแล้ว”
ชุนหว่านและคนอื่นๆ ถึงได้หัวเราะออกมา กล่าวว่า “ปกตินายท่านสี่ใส่ใจท่านเป็นอย่าง
มากนี่นา! ครั้งนี้กลับไม่พาท่านไปดูโคมไฟ!”
นางกําลังพูดคุยกันอยู่ ชิวซื่อก็มาหา
เห็นนางอยู่บ้านเพียงลําพังก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นจําต้องรีบกล่าวว่า “นายท่านสี่มีธุระออกไปข้างนอก ดึกสักหน่อยถึงจะกลับมา
เจ้าค่ะ!”
ชิวซื่อได้ยินแล้วสีหน้าพลันผ่อนคลายลงมาหลายส่วน กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ตระกูลเซี่ย
ล้วนพอใจในตัวรั่งเกอเอ๋อร์ นัดหมายไปดูตัวที่วัดต้าเซียงกั๋วในวันที่สองเดือนสอง ถึงเวลานั้นเจ้า
กับอาเซิงไปเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นย่อมตอบรับ ชิวซื่อกลับไปอย่างมีความสุข
กระทั่งถึงวันที่สิบเจ็ดเดือนหนึ่งปลดโคมไฟลงแล้ว โจวเสาจิ่นและเฉิงฉือไปรับฮูหยินผู้
เฒ่ากัวกลับมา เฉิงฉือฟ้องร้องชวีหยวนว่าทุจริตเงินของฝ่ายจัดการนํ้า บีบให้เรื่องการก่อจลาจลที่
เมืองจี่หนิงกระพือออกไปทั่วทั้งในและนอกราชสํานัก
4640
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินข่าวแล้วก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ถามเฉิงฉือว่า “เจ้า
ตัดสินจะอยู่ที่กรมการตรวจตรานานหรือ”
เฉิงฉือพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีไม่ได้คิดว่าจะอยู่เป็นเวลานานนัก ครั้งนี้ดูแล้วต่อ
ให้ไม่อยากอยู่ที่กรมการตรวจตรานานก็ไม่ได้แล้วขอรับ!”
สีหน้าเขาสงบนิ่ง รอยยิ้มผ่อนคลาย ทําให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองแล้วได้แต่ถอนหายใจ
หลังจากกล่าวประโยคหนึ่งว่า “เจ้าเด็กคนนี้” ไปแล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกดี
เฉิงฉือกล่าวปลอบโยนมารดาว่า “พี่รองเองก็บอกว่า มนุษย์ต้องรู้จักเลือกมีบางสิ่งและไม่
มีบางสิ่ง นี่ก็เป็นคํากล่าวที่ท่านแม่มักจะสอนพวกข้าอยู่บ่อยๆ ตอนพวกข้าเป็นเด็ก ไม่อยากให้มี
วันหนึ่งที่เมื่อหวนนึกถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกเสียใจขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็พรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างเด็ดขาดว่า
“เช่นนั้นก็ตั้งใจเดินหน้าต่อไปให้ดี ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดของตัวเอง”
เฉิงฉือคารวะแสดงความเคารพมารดาครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ พลางกล่าว “ไป พวก
เราไปกินข้าวกันเถอะ”
โจวเสาจิ่นคล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ยิ้มๆ
ตกกลางคืน เฉิงจิงและเฉิงเว่ยต่างเร่งมาหา สามพี่น้องคุยกันอยู่ในห้องหนังสือกว่าครู่
ใหญ่ จวบจนเฉิงฉือกลับมาถึงห้องนอนแล้ว โจวเสาจิ่นตักนํ้าร้อนมาให้เขาแช่เท้า กระซิบถามเขา
ว่า “พี่ชายใหญ่ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“เขาบอกว่าทางด้านของขุนนางใหญ่หยวนนั้นเขาจะออกหน้าให้เอง ให้ข้าเชิญขุนนาง
ใหญ่ซ่งออกหน้าไปหาเจ้ากรมยุติธรรมหลี่เจียงหลิงสักครั้งหนึ่ง” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เขากับขุนนาง
4641
ใหญ่ซ่งกล่าวเหมือนกันไม่มีผิด ขุนนางใหญ่ซ่งให้ข้าเชิญพี่ใหญ่ออกหน้าไปหาขุนนางใหญ่หยวน
สักครั้งหนึ่ง”
ในยามคับขัน เฉิงจิงมิได้สะบัดมือหนี
หัวใจที่แขวนเอาไว้ของโจวเสาจิ่นดวงนี้ถึงนับได้ว่าวางลงมาได้เสียที
ทว่าชิงเฟิ งกลับรายงานอยู่นอกผ้าม่านว่า “นายท่านสี่ ฮั่วตงถิงมาขอรับ บอกว่ามีเรื่อง
ด่วนต้องการพบท่าน”