ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่496 ส่งกลับ
เฉิงฉือหัวเราะลั่น ลูบดวงหน้าดุจดอกไม้ของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “จะทิ้งเจ้าได้
อย่างไร!”
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลใจแล้ว
ทั้งสองคนไปส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกเดินทาง
ข้างมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีเสื้อคลุมผ้าทอเค่อซือสีม่วงดอกติงเซียงบุหนังกระรอกวาง
เอาไว้ จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้กล่าวกับเฉิงฉือด้วยท่าทางประหนึ่งกําลังจะออกไปท่องเที่ยวว่า
“ถึงแม้การสังสรรค์กับสหายร่วมงานจะสําคัญ แต่หากว่าดื่มสุราจนเสียกิริยาก็ได้ไม่คุ้มเสีย
ทางด้านของขุนนางใหญ่สองสามท่านนั้นก็ต้องไปมาหาสู่กันสักหน่อย อาจารย์และสหายร่วมปี
การสอบของเจ้าก็อย่าลืมส่งของขวัญไปให้ด้วย วันที่สามสิบก็ไปเร็วสักหน่อย ไปอยู่คุยเป็นเพื่อน
ท่านอารองของเจ้า วันที่สองบุตรเขยตระกูลกู้ บุตรเขยตระกูลหยวนและบุตรเขยตระกูลเผิงล้วน
มาร่วมด้วย เจ้าเองก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแขกด้วยอีกคน…”
เฉิงฉือพยักหน้าพลางขานรับคํา “ขอรับ” อย่างนอบน้อม
มีสาวใช้เด็กกล่าวรายงานมาจากนอกผ้าม่านว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ นายท่านรอง ฮู
หยินและฮูหยินรองมาแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้เป็นเฉิงเว่ยที่มารับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เฉิงฉือและโจวเสาจิ่นออกไปต้อนรับ
4614
พี่น้องมีเรื่องพูดคุยกันคํารบหนึ่งหลังจากไม่ได้พบกันนาน สะใภ้ทั้งสามคนก็ทักทายกัน
อย่างมีมารยาท ทุกคนถึงได้ไปที่เรือนหลักของลานทิงเซียง
หลังจากทําความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จ รู้ว่าพวกเขาต่างรับมื้อเช้ามาเรียบร้อยแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง พลางกล่าว “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
เฉิงฉือและคนอื่นๆ ล้อมฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกจากประตูไป หยวนซื่อประคองฮูหยินผู้
เฒ่ากัวขึ้นรถม้า ชิวซื่อใช้โอกาสนี้หันไปส่งสายตาให้โจวเสาจิ่น กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าก็ไป
กับพวกข้าด้วยเถิด!”
โจวเสาจิ่นตกตะลึงเล็กน้อย
เฉิงฉือรู้ว่านางมีปมในใจ จึงหาข้ออ้างหนึ่งคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้แล้ว วันนี้เขาจะไป
ส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัว ส่วนนางจะรั้งรออยู่ที่บ้าน แต่นางเองก็รู้ดีว่าชิวซื่อดีกับนางมาโดยตลอด การที่
พูดออกมาเช่นนี้ แสดงว่าย่อมต้องมีเหตุผลเป็นแน่
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ รีบสาวเท้าไปยืนข้างๆ เฉิงฉือ กระซิบบอกเรื่องนี้ให้
เฉิงฉือรับรู้
เฉิงฉือรีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปด้วยเถิด พวกเราส่งท่านแม่ถึงหน้าประตูก็พอ”
หากเป็นเช่นนี้ มิเท่ากับว่าเฉิงฉือเองก็จะได้ส่งฮูหยินผู้เฒ่าถึงแค่หน้าประตูหรอกหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วต้องรู้สึกไม่ชอบใจเป็นแน่!
โจวเสาจิ่นคิดถึงตรงนี้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าจะ
อยู่คุยเป็นเพื่อนท่านแม่สักพักแล้วกลับมาพร้อมกับท่าน”
4615
เนื่องจากไปแล้ว เกรงว่าจะมิใช่อยู่พูดคุยด้วยครู่หนึ่งแล้วจะกลับได้เลย อย่างน้อยก็ต้อง
อยู่รับมื้อเที่ยงที่นั่นด้วยสักมื้อหนึ่ง
เฉิงฉือบอกความกังวลของตัวเองให้ฟัง
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าตนทําไม่ถูกต้องนัก
เป็นหยวนซื่อที่ผิดต่อตน แล้วเหตุใดนางต้องหลบเลี่ยงด้วย ยังพาลทําให้เฉิงฉือเองก็ต้อง
หลบซ่อนไปกับนางด้วยอีกคน
โจวเสาจิ่นอดยืดหลังตั้งตรงอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ซื่อหลาง เช่นนั้นพวกเราก็อยู่รับ
มื้อเที่ยงที่นั่นสักมื้อหนึ่งเถิด อาหารสูตรลับเฉพาะของซอยจิ่วหรูรสชาติดีนัก น่าเสียดายที่ตอนนั้น
ข้าเองก็เคยลิ้มลองแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เนื่องจากซอยซิ่งหลินเป็นบ้านหลังเก่าแก่ของซอยจิ่วหรูที่จิง
เฉิง คนที่ไปมาหาสู่ด้วยล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลขุนนางทั้งสิ้น คาดว่าคนครัวก็น่าจะทําอาหารสูตร
ลับเฉพาะของซอยจิ่วหรูได้เช่นกัน ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะได้ฝึกทําอาหารที่ชื่นชอบกลับมารับรอง
แขกด้วยสักสองสามอย่าง”
เฉิงฉือมองสํารวจสีหน้าของโจวเสาจิ่น ถึงแม้สีหน้าของนางจะดูอ่อนหวานและนุ่มนวล
ทว่าแววตากลับเผยความเข้มแข็งออกมาหลายส่วน เขานึกถึงความเด็ดเดี่ยวและดื้อรั้นอย่าง
เงียบสงบนั่นของนาง จึงหลุดยิ้มออกมา กล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นก็เชื่อฟังคําสั่งของภรรยา พวก
เราไปรับมื้อเที่ยงที่ซอยซิ่งหลินกัน!”
บางเรื่อง เสาจิ่นไม่อาจหลบหนีไปได้ตลอด
เผชิญหน้าตรงๆ ถึงจะเป็นการลืมที่ดีที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งรถม้าคันเดียวกับหยวนซื่อ เฉิงฉือประคองโจวเสาจิ่นขึ้นรถม้าของชิ
วซื่อด้วยตัวเอง
4616
ชิวซื่อยิ้มน้อยๆ ให้ป้ารับใช้ที่มาด้วยปล่อยม่านรถม้าลง
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้รอง ขอบคุณท่านที่เตือนสติข้า”
ชิวซื่อเห็นนางฟังคําพูดของตนโดยปราศจากความลังเลเช่นนี้ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึง
รู้สึกสนิทชิดใกล้กับโจวเสาจิ่นมากยิ่งขึ้น นางกล่าวเสียงเบาว่า “หลายวันมานี้ยามเจอผู้ใดพี่สะใภ้
ใหญ่ก็มักจะบอกว่าท่านแม่จะกลับซอยซิ่งหลินในวันนี้ ข้ากลัวว่าถึงเวลาจะมีคนบ้านใกล้เรือน
เคียงมาคารวะทักทายท่านแม่ บรรดาสะใภ้มีเพียงเจ้าคนเดียวไม่ได้อยู่ด้วย ผู้อื่นเห็นแล้วจะจดจํา
ไว้ในใจ ความประทับใจแรกพบนั้นสําคัญ อคติก็มาด้วยประการฉะนี้” กล่าวอีกว่า “เจ้าเองก็อย่า
หาว่าข้าพูดมากเลย เจ้าอายุน้อยกว่าอาเซิงเสียอีก!”
ความหมายก็คือด้วยอายุของนางแล้วให้กําเนินโจวเสาจิ่นออกมาได้ด้วยด้วยซํ้า
โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งที่ชิวซื่อให้คําชี้แนะนางยิ่งนัก กอดแขนของชิวซื่อเอาไว้ พลางกล่าว
“ข้าอายุน้อย อะไรก็ยังไม่เข้าใจ หากข้าทําอะไรไม่ถูกต้อง พี่สะใภ้รองต่อว่าข้าได้เลย หากมิใช่
เพราะข้าโชคดีได้แต่งกับนายท่านสี่ ยังต้องเรียกอาเซิงว่าพี่สาวด้วยซํ้าไปเจ้าค่ะ”
ชิวซื่อหัวเราะเบาๆ พลางตบที่มือของโจวเสาจิ่น ยอมรับคําพูดของนาง
โจวเสาจิ่นจึงถามถึงเรื่องย้ายบ้านของชิวซื่อขึ้นมา “กําหนดวันได้หรือยังเจ้าคะ ถึงเวลา
พวกข้าเองก็ต้องเอาประทัดไปแสดงความยินดีกับพี่ชายรองและพี่สะใภ้รองสักหน่อยถึงจะถูก!”
แม้ทุกคนจะแยกบ้านกันอยู่แล้ว แต่ต่างคนต่างยังไปมาหาสู่กันอย่างสนิทชิดเชื้อ ถึงจะ
เป็นผู้ได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้มีความเมตตาและการศึกษาจากตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมา
ชิวซื่อจะปฏิเสธได้อย่างไร
“กําหนดเป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนหนึ่ง” ชิวซื่อกระซิบกล่าวยิ้มๆ “เดิมทีคิดว่ายังเป็นเดือน
หนึ่งอยู่ ย้ายบ้านไม่ค่อยดีนัก แต่งานแต่งของเจียซ่านกําหนดเป็นวันที่สิบเดือนสอง ข้ากลัวว่าถึง
4617
เวลานั้นทุกคนต่างวุ่นๆ กัน ข้าจะเชิญทุกคนไปนั่งเล่นที่บ้านสักหน่อยก็ล้วนไม่มีเวลาว่างกันแล้ว
จึงกําหนดเป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนหนึ่ง ก็จะได้ทําความสะอาดเรือนให้เรียบร้อย พี่สะใภ้ใหญ่จะได้
จัดเตรียมเป็นเรือนรับรองแขกด้วยพอดี”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ทั้งสองคนจึงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทั้งทาง
กระทั่งถึงซอยซิ่งหลิน ลงจากรถม้าแล้ว ก็มีคนบ้านใกล้เรือนเคียงเข้ามาทักทายจริงๆ
“ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาแล้ว!”
“ฮูหยินผู้เฒ่ามาฉลองปีใหม่หรือ ได้ยินว่างานแต่งงานของหลานชายคนโตของพวกเจ้า
กําหนดเป็นเดือนสอง นี่เป็นเพราะท่านต้องการร่วมงานแต่งงานของหลานชายคนโตถึงได้ไปพัก
อยู่ที่บ้านของบุตรชายคนเล็กกระมัง”
“ฮูหยินผู้เฒ่ายังจําข้าได้หรือไม่ ข้าคือตระกูลหลี่ที่อยู่ข้างๆ”
แล้วก็มีคนหันมองมาที่โจวเสาจิ่น
ชิวซื่อจึงแนะนําโจวเสาจิ่นให้คนเหล่านั้นรู้จัก “เป็นน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ของข้า
ตั้งใจมาส่งท่านแม่ของข้ากลับมาโดยเฉพาะ”
“ช่างงดงามจริงๆ!” มีคนก้าวออกมาทักทายชิวซื่อ
ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวทักทายปราศรัยกับทุกคนยิ้มๆ
เห็นได้ว่าคนที่อาศัยอยู่โดยรอบนี้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวคนธรรมดาทั่วไป ความเอาใจ
ใส่และอยากรู้อยากเห็นจึงมีมาก คําพูดคําจาก็เจือไว้ด้วยเจตนาดี ตระกูลเฉิงทางด้านนี้กับคน
บ้านใกล้เรือนเคียงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันยิ่งนัก
ชาติก่อน โจวเสาจิ่นไม่เคยมาที่ซอยซิ่งหลินมาก่อน
4618
นางคิดว่าจะเหมือนกับที่ประตูเฉาหยาง คนที่อาศัยอยู่หากมิใช่คนมั่งคั่งก็ใกล้เคียงกับมั่ง
คั่ง โดยรอบก็ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีที่ไม่ก้าวข้ามประตูชั้นในไม่ออกจากประตูใหญ่เหล่านั้นทั้งสิ้น
แม้จะอาศัยอยู่ข้างกันแต่ตลอดทั้งปีเจอหน้ากันไม่ถึงสองครั้งเท่านั้น
ทุกคนพูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแล้ว
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปตามหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัว เงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉิงสวี่ยืนอยู่ข้างๆ ประตู
หรูอี้
เขาราวกับสังเกตเห็นนางมานานแล้วก็ไม่ปาน เดิมทีเขายืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ตอนที่นาง
เงยหน้าขึ้นมาเห็นเขา เขาก็รีบก้มหน้าลง สาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทําความเคารพฮูหยินผู้
เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของเฉิงสวี่ขึ้นมาด้วยความสงสารเห็นใจ กล่าวขึ้นว่า “เด็กคนนี้ เหตุ
ใดถึงผอมลงอีกแล้ว ได้ยินว่าช่วงนี้เจ้าเรียนหนังสือกับใต้เท้าอู๋หรือ แต่ก็ต้องใส่ใจสุขภาพร่างกาย
ด้วยถึงจะถูก แน่นอนว่าการสอบขุนนางของราชสํานักนั้นสําคัญ แต่หากไร้ซึ่งสุขภาพที่ดี การลง
สนามสามครั้งนี้ ยังมีสอบของสํานักพระราชวังและสอบบัณฑิตซู่จี๋อีก อาจจะทนรับไม่ไหวก็
เป็นได้!” กล่าวอีกว่า “ไม่ใช่บอกว่าเจ้าต้องไปเรียนหนังสือหรอกหรือ เหตุใดถึงกลับมาแล้ว!”
เฉิงสวี่รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านย่า ข้าไม่เป็นไรขอรับ ปกติใต้เท้าอู๋ก็กล่าวกับข้าเช่นนี้
เหมือนกัน ยังให้ข้าเดินเท้าไปหาเขาทุกเช้าด้วย เป็นเพราะข้าได้ยินว่าวันนี้ท่านย่าจะกลับมา
ดังนั้นถึงกลับออกมาจากที่ใต้เท้าอู๋ก่อนเวลา เรื่องนี้ใต้เท้าอู๋เองก็ทราบเรื่อง เขาเองก็อนุญาตแล้ว
ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า
4619
เฉิงสวี่ก้าวออกไปคารวะทักทายเฉิงเว่ยและเฉิงฉือ ตอนที่วนมาถึงคราวของโจวเสาจิ่น
นั้น เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยปากเรียก “ท่านอาสะใภ้สี่” เบาๆ เสียงหนึ่ง
โจวเสาจิ่นย่อเข่าทําความเคารพครั้งหนึ่ง แล้วไปยืนอยู่ด้านหลังของเฉิงฉือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางยื่นมือส่งให้เฉิงสวี่ กล่าวขึ้นว่า “เอาละ ทุกคนอย่ายืนอยู่ตรงนี้
เลย อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ รีบกลับเข้าไปคุยในห้องกันเถอะ”
ทุกคนยิ้มพร้อมกับขานรับ “ขอรับ/เจ้าค่ะ”
เฉิงสวี่ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าไปในเรือนหลัก
มีพ่อบ้านอํานวยความสะดวกช่วยหลี่ว์มามานําหีบสัมภาระของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปจัดเก็บ
หยวนซื่อปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอดเสื้อคลุม ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งลงบนเตียง
เตาหลังใหญ่ข้างหน้าต่าง
ทุกคนนั่งล้อมรอบฮูหยินผู้เฒ่ากัว
สาวใช้เด็กนํานํ้าชาและของว่างเข้ามา
หยวนซื่อรับชาจากมือของสาวใช้เด็กมา ยกไปส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดื่มชาไปสองจิบ สีหน้าถึงได้ดูผ่อนคลายลงมา กล่าวกับเฉิงเว่ยและเฉิงฉือ
ว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างกตัญ�ู แต่ตอนนี้พวกเจ้าล้วนมีหน้าที่การงานแล้ว มีธุระก็ไปจัดการธุระ
ของพวกเจ้าเถิด ทางด้านนี้ข้ามีพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าอยู่ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
เฉิงเว่ยจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ใหญ่ไปรับท่านไม่ได้ บอกเอาไว้แล้วว่าให้ข้าลางานหนึ่งวัน ข้า
จะอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนท่านก็แล้วกันขอรับ”
4620
เฉิงฉือเองก็กล่าวขึ้นว่า “เดิมทีข้าก็เป็นคนว่างงานอยู่แล้ว แค่วันสองวันก็มิได้ทําให้ล่าช้า
หรอกขอรับ”
หยวนซื่อได้ยินแล้วรีบกล่าวขึ้นว่า “มีเหตุผลอันใดที่ผ่านประตูบ้านมาแล้วแต่ไม่เข้าไปกัน
เจ้าคะ น้องสี่ก็รั้งอยู่รับประทานอาหารสักมื้อเถิด ข้าบอกที่ห้องครัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ชิวซื่อกล่าวตามหลังยิ้มๆ “พวกข้าจะได้ช่วยท่านจัดเก็บข้าวของให้
เรียบร้อยด้วย ไม่อย่างนั้นเสาจิ่นเองก็คงไม่วางใจเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล่าวอะไรอีก จวบจนจัดเก็บหีบสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีป้ารับใช้
ที่ดูแลงานในบ้านเข้ามาหาหยวนซื่อเพื่อไปหยิบเหยือกสุรา ชิวซื่อและโจวเสาจิ่นจึงไปเรือนหลัก
ของเรือนด้านหลังเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพื่อล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนอาภรณ์ ฮูหยินผู้
เฒ่ากัวมองโจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ข้างกายชิวซื่อประหนึ่งเป็นบุตรสาวของชิวซื่อนั้นแล้ว ก็รู้สึกทนทํา
ใจให้โจวเสาจิ่นทําเรื่องพวกนี้ไม่ได้เล็กน้อย จึงหาข้ออ้างหนึ่งส่งนางออกไปเล่นข้างนอก “ไปดูว่า
ในครัวทําอะไรบ้าง อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ให้พวกเขาทํานํ้าแกงเม็ดบัวดอกไป่เหอและเห็ดหูหนู
ขาวเข้ามาดื่มไล่ความหนาวสักเล็กน้อยเถิด”
โจวเสาจิ่นขานรับคํายิ้มๆ เรียกสาวใช้เด็กของซอยซิ่งหลินผู้หนึ่งพาตนไปที่ห้องครัว
ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อนางออกประตูมาแล้วจะเห็นเฉิงฉือและเฉิงเว่ยกําลังยืนคุยกันอยู่ตรงทาง
เชื่อมระหว่างเรือนด้านหน้าและเรือนด้านหลัง
เฉิงฉือหันหลังให้นาง นางจึงเห็นสีหน้าของเฉิงฉือไม่ชัดเจนนัก ทว่าเฉิงเว่ยหันหน้าเข้าหา
นาง สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดและบูดบึ้ง เม้มปากแน่นสนิท ในดวงตายังเจือความกรุ่นโกรธ
เอาไว้หลายส่วน ไม่รู้ว่าเฉิงฉือพูดอะไรบ้าง เขาพลันดูตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด กล่าวขึ้นว่า “มนุษย์
4621
ต้องรู้จักเลือกมีบางสิ่งและไม่มีบางสิ่ง ข้ารู้สึกว่าความคิดของเจ้าไม่เลว เจ้าไปทําเถิด ข้า
สนับสนุนเจ้า! หากพี่ใหญ่ต่อว่าเจ้า ข้าจะพูดกับพี่ใหญ่เอง! ปีนั้นที่เลี่ยกงทําเช่นนั้น ก็เพราะคิด
จะเก็บชื่อเสียงดีงามเอาไว้ให้ลูกหลานคนรุ่นหลังของตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง รู้สึกภาคภูมิใจอยู่ในใจขึ้นมารางๆ อีกครั้ง
หลังจากที่นางแอบถามสาวใช้เงียบๆ แล้ว ก็เดินไปที่ครัวจากอีกฝั่งหนึ่งของทางเชื่อม
เมื่อกลับถึงประตูเฉาหยาง มีเพียงคนทั้งสองอยู่บ้าน โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงฉือจะขลุกอยู่
กับตนเสียอีก ทว่าเฉิงฉือกลับทําเพียงหอมแก้มนางเท่านั้น แล้วก็ฝังตัวเข้าไปในห้องหนังสือไม่
ออกมา
โจวเสาจิ่นเฝ้าอยู่หน้าเตา ตุ๋นเม็ดบัวนํ้าตาลกรวดส่งไปให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ สีหน้าดูแน่วแน่มั่นคง
โจวเสาจิ่นวางถ้วยกระเบื้องเคลือบหลากสีไว้ข้างๆ มือเฉิงฉือ เดินไปด้านหลังเขาช่วยบีบ
นวดไหล่ให้เขา กล่าวเสียงเบาว่า “ซื่อหลาง ท่านคิดจะฟ้องร้องขุนนางใหญ่ชวีหรือเจ้าคะ”
จะว่าไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางใหญ่ชวีและเฉิงฉือน่าจะไม่เลวนัก โดยเฉพาะ
ตอนที่เฉิงฉืออยู่ที่จินหลิง ตอนที่เกาเย่าบุตรเขยของขุนนางใหญ่ชวีพาฮูหยินไปกล่าวอวยพรวัน
คล้ายวันเกิดของเฉิงซวินท่านผู้นําตระกูลจวนรองที่ซอยจิ่วหรูนั้น แสดงออกว่าใกล้ชิดกับจวนหลัก
อย่างชัดเจน