ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 84 ทำความรู้จัก
กงมามากระแอมไอเสียงหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง
อาจูพลันหมดความอดทนขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เป็นเพราะข้าเกิดมาในจวนของเหลียงกั๋วกง จึงไม่สามารถผูกมิตรกับใครเลยอย่างนั้นหรือ”
กงมามารู้สึกลำบากใจ
โจวเสาจิ่นเข้าใจเรื่องราวได้ในทันใด
ไม่แปลกใจที่นางจะแสดงออกได้อย่างมั่นใจและใจกว้าง ที่แท้ก็เป็นคุณหนูใหญ่จากจวนของเหลียงกั๋วกงนี่เอง
หากว่านางจำไม่ผิด เหลียงกั๋วกงไม่มีอนุ มีเพียงบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคน ทั้งหมดล้วนเกิดจากภรรยาเอก บุตรชายน่าจะเป็นจูคุณ หรือจูเผิงจวี่ผู้นั้น ส่วนบุตรสาวก็น่าจะเป็นจูจูผู้นี้
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้อยครั้งนักที่จะพบเห็นคนใช้แซ่มาตั้งเป็นชื่อด้วย”
อาจูหัวเราะร่า พลางกล่าว “เดิมทีข้าชื่อ จู ที่มาจากคำว่าเจินจูของไข่มุก ต่อมาข้าเห็นว่าชื่อนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงเปลี่ยนเป็น จู ที่มาจากคำว่าจูหงของสีแดงเลือดหมู ซึ่งฟังแล้วไพเราะกว่า จู ที่มาจากคำว่าเจินจูใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า “ช่างมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน!” อาจูกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่เอ่ยถึงเรื่องของการมาเป็นแขกที่จวนอีก ทำให้โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกออกมาลมหายใจหนึ่ง
มีบ่าวรับใช้ผ่านมา พอเห็นพวกนางก็ร้อง ไอ้โหยว ออกมาเสียงหนึ่ง พลางกล่าว “คุณหนูสิบเจ็ด นายหญิงผู้เฒ่ากำลังตามหาพวกท่านอยู่เจ้าค่ะ!”
“หาพวกข้าหรือ” โจวเสาจิ่นชี้ที่หน้าอกของตนเอง
บ่าวรับใช้พยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวว่า ทางด้านโน้นนางมีสามคนแล้วแต่ยังขาดอีกหนึ่ง จึงให้ข้าตามหาคุณหนูตระกูลโจวทั้งสองท่าน หรือไม่ก็ตามหาคุณหนูอาจู…”
ทั้งหมดต่างก็ตาเบิกโพรงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
คุณหนูสิบเจ็ดเอ่ยถามบ่าวรับใช้ผู้นั้นว่า “เป็นไพ่หม่าเตี้ยวหรือไพ่ไม้ไผ่หรือ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเอ่ยตอบยิ้มๆ ว่า “ไพ่ไม้ไผ่เจ้าค่ะ”
คุณหนูสิบเจ็ดเอ่ยถามสองพี่น้องตระกูลโจวว่า “พวกเจ้าเล่นเป็นหรือไม่” จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าเล่นไม่เป็น เมื่อก่อนล้วนเป็นพี่สิบหกของข้าที่เล่นเป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่า”
“ข้าก็ไม่ได้เหมือนกัน!” อาจูโพล่งขึ้นมา “ข้านั่งนิ่งๆ ไม่ได้…”
โจวเสาจิ่นนั้นเล่นไม่เป็น
จากความทรงจำของนางแล้ว พี่สาวเล่นเป็น
นางหวังให้พี่สาวสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ สร้างความประทับใจต่อนายหญิงผู้เฒ่าสักเล็กน้อย ต่อไปจะได้มีเรื่องให้พูดคุยกับคุณหนูสิบห้าของตระกูลกู้ผู้นั้นได้ง่ายในภายภาคหน้า
โจวเสาจิ่นหันมองไปที่พี่สาว
โจวชูจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ไอ้ครั้นจะว่าเล่นเป็นข้าก็พอจะเล่นได้ เพียงแต่ว่าเล่นได้ไม่ค่อยดีนัก…”
คุณหนูสิบเจ็ดและอาจูต่างก็ราวกับได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งลง คุณหนูสิบเจ็ดถึงขั้นดึงมือโจวชูจิ่นเอาไว้แล้วออกเดิน “ไม่เป็นถึงจะดี…หากเล่นไม่เป็นเจ้าก็สามารถแพ้ได้…นายหญิงผู้เฒ่าของพวกข้านั้น เฮ้อ ฝีมือดียิ่งนัก…หากเจ้าเอาชนะนางได้ นางจะไม่พอใจ แต่หากเจ้าแสร้งทำเป็นยอมแพ้นาง แล้วเกิดถูกนางจับได้ขึ้นมา ก็ยังจะไม่พอใจอีก…เล่นไม่เป็น นับว่าพอดีเลย!”
โจวเสาจิ่นตกใจ ให้บ่าวรับใช้ผู้นั้นส่งคนไปแจ้งหยวนซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน จากนั้นถึงค่อยติดตามโจวชูจิ่นและคนอื่นๆ ไปหานายหญิงผู้เฒ่า
อาจูแอบอยู่ตรงประตูไม่ยอมเข้าไปด้านใน
นางกล่าวกับโจวเสาจิ่นและคุณหนูสิบเจ็ดว่า “ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่…อีกสักพักพวกเราค่อยไปจับผีเสื้อในสวนดอกไม้ก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
อาจูกล่าวอย่างขัดเขินขึ้นว่า “ทุกครั้งที่นายหญิงผู้เฒ่าเจอข้าก็มักจะให้ข้าเล่นไพ่เป็นเพื่อนนาง…”
ถึงแม้ว่าเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน โจวเสาจิ่นก็พอจะมองออกว่า อาจูเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉิงผู้หนึ่ง ตามวัยของนางแล้ว ให้นางอยู่เล่นไพ่เป็นเพื่อนผู้อาวุโส ย่อมต้องรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
โจวเสาจิ่นและพี่สาวหัวเราะขึ้นมาอย่างเข้าใจดี แล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับคุณหนูสิบเจ็ด
โต๊ะสำรับไพ่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว นายหญิงผู้เฒ่ากำลังนั่งพลิกไพ่เล่นอยู่คนเดียวที่หน้าโต๊ะไพ่ที่ปูเอาไว้ด้วยผ้าสักหลาดสีแดง เมื่อเห็นพวกนางเดินเข้ามา ก็ดีใจเป็นอย่างมาก เอ่ยกับฮูหยินที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหูโจวสีเทาและกระโปรงจีบสีขาวผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปได้ ตอนนี้ข้ามีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว…” จากนั้นหันไปยิ้มตาหยีให้โจวเสาจิ่นพลางกวักมือเรียก “หลานรอง มานั่งข้างๆ ข้าตรงนี้”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “นายหญิงผู้เฒ่า ข้าเล่นไพ่ไม่เป็นเจ้าค่ะ! พี่สาวของข้าจะเล่นเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ!”
“เช่นนั้นหรือ!” นายหญิงผู้เฒ่าค่อนข้างจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยินดีขึ้นมาอีกครั้ง แล้วให้ฮูหยินผู้นั้นกับโจวชูจิ่น “พวกเจ้าทุกคนก็นั่งลงเถอะ พวกเราอาศัยตอนที่พวกนางกำลังฟังคำสอนอยู่นี้เล่นอีกสักสองสามตา เดี๋ยวพอการแสดงจบลง พวกเจ้าทั้งหมดต่างก็ต้องกลับไปกันแล้ว”
ทั้งสองคนต่างก็ยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” จากกนั้นก็นั่งลง
มีสาวใช้อีกผู้หนึ่งยกม้านั่งเข้าให้มาให้โจวเสาจิ่นกับคุณหนูสิบเจ็ด
ส่วนผู้เล่นไพ่อีกคนหนึ่งเป็นสาวใช้ผู้หนึ่ง ดูแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบกว่าปีแล้ว คุณหนูสิบเจ็ดลอบกระซิบบอกนางว่า “นี่คือสาวใช้ข้างกายของท่านย่าทวดของข้า”
โจวเสาจิ่นก็คาดเดาเอาไว้เช่นนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจมานั่งเล่นไพ่เป็นเพื่อนนายหญิงผู้เฒ่าได้
เหมียวมามานั่งอยู่ด้านหลังของนายหญิงผู้เฒ่าช่วยนายหญิงผู้เฒ่าดูไพ่
คุณหนูสิบเจ็ดชี้ไปที่ฮูหยินผู้นั้นและกระซิบข้างหูของโจวเสาจิ่นว่า “…คือท่านอาของข้า อาวุโสเป็นลำดับที่สิบสาม หลังจากที่ท่านอาเขยเสียชีวิต ท่านย่าทวดของข้าก็รับท่านอาสิบสามกลับมา พวกเราพี่น้องล้วนเรียนหนังสือกับนาง”
เป็นเลี่ยวจางอิงอีกผู้หนึ่ง
โจวเสาจิ่นถอนหายใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้นนายหญิงผู้เฒ่าที่กำลังเล่นไพ่อยู่ก็กล่าวกับโจวชูจิ่นขึ้นมาว่า “คุณชายสี่เพิ่งจะมาเมื่อสักครู่นี้เอง พวกเจ้ารู้เรื่องหรือไม่”
โจวเสาจิ่นรู้ได้ในทันทีว่าคนที่นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวถึงนั้นคือเฉิงฉือ ส่วนโจวชูจิ่นนั้นผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เข้าใจ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “พวกข้าดูคุณหนูสิบหกปักปิ่นอยู่ด้านหน้า จึงไม่ทราบว่าท่านน้าฉือเข้ามาแล้ว เขามาด้วยเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้มจนตาหยี พลางกล่าว “เขาได้ยินคำพูดเพ้อเจ้อของข้า แล้วก็คิดเอาใจใส่ ช่วยหาคู่สมรสหลังความตายให้เหนียงที่สิบเก้าของพวกข้า…”
ท่านน้าฉือ…แนะนำคู่สมรสหลังความตายให้ผู้อื่น…
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนเองเกือบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่
โจวชูจิ่นยิ่งแล้วใหญ่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
พี่น้องทั้งสองอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง
นายหญิงผู้เฒ่ากลับไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องพวกนี้ ยังคงกล่าวต่อไปว่า “อีกฝ่ายก็เป็นผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง เสียชีวิตตอนอายุได้สิบเก้า ทางบ้านค่อนข้างมีฐานะ ยังวางแผนที่จะรับบุตรชายบุญธรรมผู้หนึ่งมาจุดธูปให้พวกเขา…”
ท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมาก
พี่น้องตระกูลโจวไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้เลยแม้สักประโยค
เหนียงที่สิบสามตระกูลกู้จึงกล่าวเสียงอ่อนโยนขึ้นมาว่า “ทุกครั้งที่ท่านย่าได้พบกับน้าของพวกเจ้าก็มักจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา…เนื่องจากนางชรามากแล้ว พวกข้าก็ได้แต่ปล่อยให้นางได้ทำในสิ่งที่ทำให้นางมีความสุข”
โจวเสาจิ่นแสดงออกว่าเข้าใจเป็นอย่างดี
แต่การที่ท่านน้าฉือช่วยทำเรื่องเช่นนี้…ไม่ว่าอย่างไรนางก็รู้สึกราวกับว่าจะไม่สบายเสียให้ได้
อาจูหันมากวักมือเรียกพวกนางอยู่ด้านนอกหน้าต่าง
โจวเสาจิ่นกับคุณหนูสิบเจ็ดนั่งต่ออีกพักหนึ่ง ก็หาข้ออ้างหลบออกมา
อาจูหัวเราะคิกพลางกล่าว “พวกเราไปที่สวนดอกไม้กันเถอะ”
วันนี้มีแขกมาที่ตระกูลกู้เป็นจำนวนมาก หนึ่งในจำนวนนี้ยังมีอู๋เป่าจางอยู่ด้วย ทำให้นางรู้สึกต้องระแวดระวังอยู่ในใจ อีกทั้งยังมีคนที่แสดงออกว่าต้องการเป็นมิตรอย่างคุณหนูซุนเช่นนั้นอีก หากไปที่สวนดอกไม้ ใครจะรู้ว่าจะได้พบกับผู้ใดอีกบ้าง
นางจึงกล่าวว่า “ไม่สู้พวกเรานั่งคุยกันอยู่ในลานนี้น่าจะดีกว่า?”
เช่นนี้เวลาพี่สาวต้องการตามหานางก็จะได้ไม่ต้องลำบาก
เพียงแค่มองก็ทราบได้ว่าอาจูเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นด้วยสักเท่าไหร่ ขอเพียงมีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ดีทั้งนั้น
นางรีบตอบรับในทันที
โจวเสาจิ่นจึงหันไปมองที่คุณหนูสิบเจ็ด
ลักษณะนิสัยของคุณหนูสิบเจ็ดก็เป็นคนสบายๆ ยิ่งนัก จึงยิ้มพลางขานรับในทันทีว่า “ได้สิ! เช่นนั้นข้าจะให้พวกสาวใช้ยกเก้าอี้ไม้ไผ่เข้ามาให้พวกเรา ต้มน้ำชาสักหม้อ และนำผลไม้มาขึ้นโต๊ะอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
อาจูกล่าว “ดี” ไม่หยุด
โจวเสาจิ่นจึงนึกถึงเฉิงเจียขึ้นมา พลางกล่าว “ข้ามีญาติผู้พี่สาวผู้หนึ่ง นิสัยคล้ายคลึงกับอาจูยิ่งนัก ถ้ามีโอกาสข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน”
“ได้สิๆ!” อาจูยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า
หลังจากที่สาวใช้นำน้ำชาและของว่างขึ้นโต๊ะแล้ว คุณหนูสิบเจ็ดก็เล่าเรื่องที่เฉิงฉือช่วยแนะนำคู่สมรสหลังความตายให้กับท่านอาที่สิบเก้าที่เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยของตนเองให้อาจูฟัง
อาจูอุทานขึ้นมาว่า “เฉิงจื่อชวนช่างมีความสามารถจริงๆ! ราวกับว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ยากเย็นสำหรับเขาเลยอย่างไรอย่างนั้น”
เฉิงฉือมีสมญานามว่าจื่อชวน
เนื่องจากอาจูทราบสมญานามของเขา ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักเขา ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง
โจวเสาจิ่นกล่าว “เจ้ารู้จักท่านน้าฉือหรือ”
“อื้ม!” อาจูยิ้มพลางกล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ชายของข้าอยากไปเที่ยวที่แม่น้ำฉินไหว ท่านพ่อของข้าทราบเรื่องก็ไม่อนุญาต แต่พอพี่ชายของข้าบอกว่าเป็นการร่วมทางไปกับเฉิงจื่อชวน ท่านพ่อของข้าก็อนุญาตในทันที เมื่อท่านแม่ของข้าทราบเรื่อง ก็กล่าวกับมามาข้างกายว่า ข้าก็ว่าเหตุใดเผิงจวี่เปลี่ยนใจไปแม่น้ำฉินไหว แต่ทำไมถึงไม่แอบไปเงียบๆ ยังบอกนายท่านกั๋วกงให้ทราบด้วย ทีแท้ก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของนายท่านสี่ตระกูลเฉิงนี่เอง!” นางวาดลวดลายและน้ำเสียงเลียนแบบท่าทางการพูดของฮูหยินของเหลียงกั๋วกง กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ในเวลานั้นข้าจึงทดเก็บเอาไว้ในใจ รอจนกระทั่งพี่ชายกลับมา จึงวิ่งไปดูถึงประตูใหญ่ ถึงแม้ว่าจะหล่อเหล่าสู้พี่ชายข้าไม่ได้ แต่เป็นคนที่ดียิ่งนัก เป็นมิตร อีกทั้งยังใจเย็นยิ่ง ไม่เคยอารมณ์เสียเลย ไม่เหมือนพี่ชายของข้า ที่มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าอยากจะเอาข้าไปทิ้ง หรือไม่ก็ให้ข้าไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ห้องบรรพชน…”
โจวเสาจิ่นคิดถึงท่าทางของเฉิงฉือแล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
นางเองก็รู้สึกว่าเฉิงฉือเป็นคนที่อ่อนโยนมากผู้หนึ่ง
“อย่างไรก็ตาม” อาจูเท้าคางพลางกล่าว “เรื่องสมรสหลังความตายนั้น…ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน” นางเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าว่า หากข้าขอให้ท่านน้าของเจ้าช่วยพาข้าไปดูเรื่องสนุกๆ ด้วย เขาจะตอบรับหรือไม่”
“น่าจะไม่หรอกกระมัง” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าว “พวกเราเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนุก แต่สำหรับคนที่ต้องมาจัดงานสมรสหลังความตายจากทั้งสองครอบครัวคงจะสะเทือนใจเป็นอย่างมาก การที่ไปดูอย่างไม่เอาใจใส่เช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าเป็นการไม่ค่อยให้เกียรติเท่าไหร่นัก!”
คุณหนูสิบเจ็ดกล่าวอย่างเห็นด้วยว่า “ข้าได้ยินคนในจวนพูดกันว่า ท่านอาสิบเก้าเป็นคนที่ฉลาดยิ่งนัก ท่านปู่ของข้าเคยกล่าวมากกว่าหนึ่งครั้งว่า ถ้าท่านอาสิบเก้าเป็นเด็กผู้ชายก็คงจะดี ตอนที่ท่านอาสิบเก้าเสียชีวิต ท่านย่าของข้าราวกับแก่ลงไปในเวลาเพียงข้ามคืนเดียว…”
อาจูพยักหน้า แต่ก็อดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนลองถามเฉิงจื่อชวนดู เขาอาจจะยอมพาข้าไปด้วยก็เป็นได้”
คุณหนูสิบเจ็ดไม่เห็นด้วย
อาจูมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้ทั้งหมดต่างก็อยู่ไกลออกไป จึงขยับมาพูดอยู่ด้านหน้าของทั้งสองคนว่า “อีกไม่กี่วันท่านพ่อของข้าก็จะพาพี่ชายของข้าเข้าเมืองหลวงแล้ว!”
โจวเสาจิ่นกับคุณหนูสิบเจ็ดต่างก็ไม่ใช่หญิงสาวจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป จึงทราบกฎที่ว่าหากไร้ซึ่งคำสั่งขององค์ฮ่องเต้ขุนนางศักดินาผู้ครองเมืองไม่อาจเข้าเมืองหลวงได้ ทั้งสองคนจึงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
อาจูจึงกล่าวว่า “ข้าได้ยินท่านแม่ของข้ากล่าวว่า มีขันทีผู้หนึ่งนามว่าหลิวหย่งเป็นขันทีปิ๋งปี่อยู่ในกรมพิธีการ พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าขันทีปิ๋งปี่นี้ทำหน้าที่อะไร ก็คือช่วยเป็นที่ปรึกษาแด่องค์ฮ่องเต้ บรรดาข้าราชบริพารในราชสำนักล้วนแล้วแต่ต้องดูสีหน้าของเขา…หลังจากที่เขาได้เป็นขันทีปิ๋งปี่ ก็กราบทูลองค์ฮ่องเต้ว่า ขุนนางศักดินาผู้ครองเมืองแต่ละเมืองต่างก็ไม่ได้มาเข้าเฝ้าที่เมืองหลวงเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว เกรงว่าองค์ฮ่องเต้จะไม่รู้จักบรรดาบุตรชายคนรุ่นหลังของขุนนางศักดินาที่เติบโตขึ้น ดังนั้นองค์ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ขุนนางศักดินาของแต่ละเมืองทยอยกันไปเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง ท่านพ่อกับพี่ชายของข้าถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแรก จะออกเดินทางในเดือนเก้า ท่านแม่ของข้าบอกว่า ท่านพ่อของข้าคิดว่า กิจการการค้าของตระกูลเฉิงที่อยู่ที่จิงเฉิงนั้นค้าขายได้ใหญ่โตยิ่งนัก ท่านน้าของเจ้าย่อมต้องมีความสนิทสนมกับข้าราชบริพารน้อยใหญ่ในราชสำนักเป็นอย่างดี จึงอยากจะเชิญให้ท่านน้าของเจ้าออกเดินทางไปด้วยกัน…แต่ก็ไม่ได้ให้เขาต้องทำอะไร ขอเพียงให้เขาเมื่อพบเจอเรื่องอะไรก็ให้นำมารายงานท่านพ่อของข้า เพื่อที่ท่านพ่อของข้าได้เตรียมตัวเอาไว้สักหน่อย…”
นี่เกรงว่าคงจะไม่ดีกระมัง
สิ่งที่องค์ฮ่องเต้สั่งห้ามมากที่สุดคือการที่ข้าราชบริพารในราชสำนักผูกมิตรกับขุนนางศักดินา เช่นเดียวกันกับที่สั่งห้ามไม่ให้ขุนนางศักดินาผูกมิตรกับเจ้าหน้าทีข้าราชบริพารในพื้นที่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเฉิงนั้นมีทั้งคนที่รับใช้อยู่ในราชสำนัก และยังเป็นตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปีของจินหลิง…เป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบทั้งตระกูลในชาติก่อนนั้น จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย?
โจวเสาจิ่นกล่าว “กิจการการค้าของตระกูลเฉิงที่จิงเฉิงออกจะใหญ่โตปานนั้น น่าจะเป็นเพราะความทุ่มเทของท่านลุงใหญ่จิงมากกว่ากระมัง คงจะไม่เกี่ยวข้องกับท่านน้าฉือมากสักเท่าไหร่?”
อาจูชะงักงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
ราวกับว่านางพูดอะไรที่น่าขบขันเป็นอย่างมากก็ไม่ปาน
หัวเราะจนตัวบิดตัวงอ
คุณหนูสิบเจ็ดเองก็หัวเราะด้วย แต่ก็ยังดีกว่าอาจูเล็กน้อย โดยนางใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากเอาไว้ยามที่หัวเราะ