ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 490 คะนึงหา
เฉิงฉือคนที่โจวเสาจิ่นเฝ้าคะนึงหานั้นเวลานี้มาถึงทงโจวแล้ว
แต่เขามิได้เร่งกลับจิงเฉิงในคืนนั้นเลย ทว่าคลุมชุดคลุมหนังสัตว์สีดําตัวหนึ่ง แม้แต่ไหว ซานที่ปกติมักจะติดตามอยู่ข้างกายเขาตลอดก็มิได้พาไปด้วย เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมขนาดเล็กที่ อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่งเงียบๆ อย่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หลงจู๊เป็นชายชราอายุห้าสิบกว่าปีผู้หนึ่ง นั่งดีดลูกคิดอยู่ใต้ตะเกียงนํ้ามันถั่วเหลือง เมื่อ เห็นว่ามีคนเข้ามาเขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นขุ่นมัวไร้ชีวิตชีวา แต่ชั่วพริบตาที่มองคนมาเยือน อย่างชัดเจนแล้วนั้นกลับมีแววสุกใสสายหนึ่งพวยพุ่งออกมา จากนั้นก็รีบก้มหน้าลง กล่าวขึ้นว่า “ท่านจะเข้าพักโรงเตี๊ยมใช่หรือไม่ มีห้องหลักด้านหลังเพียงห้องเดียวแล้ว ห้าสิบเหวินต่อหนึ่งคืน ขอรับ”
เฉิงฉือมิได้กล่าวคําใด ควักเงินเหรียญทองแดงกําหนึ่งทิ้งไว้บนโต๊ะคิดเงิน
หลงจู๊ยื่นตะเกียงไฟส่งให้เขาดวงหนึ่ง
เฉิงฉือถือตะเกียงเดินไปด้านหลัง
ไม่นาน หลงจู๊ก็เดินออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน พึมพํากล่าวว่า “การค้าไม่ดีนัก” ไปด้วย พลางใช้บานประตูวางขวางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมไปด้วย
ภายในห้องหลักของโรงเตี๊ยม ฮั่วตงถิงสวมชุดผ้าฝ้ายทออย่างง่ายปะเป็นรอยหย่อมๆ ดู คล้ายซิ่วไฉสอบตกผู้หนึ่ง นั่งกอดอกอยู่หน้าโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องโถง ส่วนบุรุษที่ดวงหน้าดูจริงใจ และเปิดเผยอีกผู้หนึ่งสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีนํ้าตาล เผยให้เห็นผิวหยาบกร้านสีนํ้าผึ้งอ่อน ดู เหมือนชาวนาผู้หนึ่ง
เมื่อเห็นเฉิงฉือเข้ามา ทั้งสองคนก็รีบลุกขึ้นในทันใด
4555
เฉิงฉือเป่าดับตะเกียง วางตะเกียงลงบนโต๊ะของเตียงเตาขนาดใหญ่ข้างหน้าต่าง
มีคนกระโดดออกมาจากมุมห้อง ส่งหมัด พึ่บ ไปทางเฉิงฉือ “เฉิงจื่อชวนจอมวายร้ายผู้นี้ เจ้าอยากตายเจ้าก็ตายไปคนเดียว ลากตระกูลเซียวของพวกข้าไปทําเป็นของเล่นเป็นหนังหน้าไฟ …”
เฉิงฉือยืนตัวตรงนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น หางตาไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว บุรุษดวงหน้าดู จริงใจและเปิดเผยผู้นั้นก้าวออกมาสองสามก้าวยืนขวางอยู่ตรงหน้าเฉิงฉือ สกัดหมัดที่พุ่ง มายังเฉิงฉือเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ด้วยดวงตาเย้ยหยันว่า “เซียวเจิ้นไห่ นายท่านสี่ก็เพียงให้เจ้าออก หน้าไปช่วยดูแลพรรคเจ็ดดาราเท่านั้น เป็นเจ้าเองที่ไม่ยอมหยุดสืบเรื่องของนายท่านสี่ เป็น อย่างไร ตอนนี้รู้สึกกลัวแล้วใช่หรือไม่ แล้วตอนแรกทําอะไรลงไปเล่า”
เป็นคําพูดที่ทําเอาเซียวเจิ้นไห่หน้าแดงกํ่าไปหมด
เฉิงฉือไม่มองเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่งลงบนเตียงเตาตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง ถามฮั่วตงถิง ว่า “คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างวรกายองค์รัชทายาทล้วนเป็นขันทีและมามาที่มีประสบการณ์ทั้งสิ้น แล้วองค์รัชทายาททรงประชวรได้อย่างไร”
ฮั่วตงถิงกล่าวเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้าที่องค์รัชทายาทจะทรงประชวรหนึ่งวันนั้นฮู หยินผู้เฒ่าของเฉิงเอินโหววิ่งไปครํ่าครวญหน้าพระพักตร์องค์รัชทายาท ยังพูดด้วยว่าขุนนางใหญ่ ในกองทัพของราชสํานักรู้จักแต่เผิงเฉิงป๋ อผู้เดียว ไม่รู้ว่ายังมีเฉิงเอินโหวอยู่ด้วยอีกผู้หนึ่ง เผิงเฉิง ป๋ อผู้นั้นได้อยู่ดีกินดีทุกวัน ยังซื้อที่ดินที่ต้าซิ่งอีก ทว่าเฉิงเอินโหวกลับทําได้เพียงพึ่งพาเบี้ยราย เดือนใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น ต้องการให้องค์รัชทายาทช่วยให้ซื่อจื่อของเฉิงเอินโหวได้เข้าไปอยู่ที่ สํานักขนส่งกิจการทางนํ้า ยังกล่าวด้วยว่าซื่อจื่อของเผิงเฉิงป๋ อได้ไปดูแลต้นไม้ดอกไม้ที่ราช อุทยานหลวงซ่างหลินแล้ว ซื่อจื่อของเฉิงเอินโหวเป็นน้าร่วมสายเลือดขององค์รัชทายาท เหตุใด ถึงสู้น้าปลอมๆ หนึ่งไม่ได้…ต่อมายังกล่าวคําอวดดีอหังการอีกมากมาย องค์รัชทายาทพิโรธจนทํา
4556
จอกชาแตกคามือ แล้วสะบัดแขนฉลองพระองค์จากไป ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเอินโหวผู้นั้นไม่มีแววเลย สักนิด รีบก้าวออกไปอย่างรีบร้อนหมายจะดึงองค์รัชทายาทเอาไว้ ขันทีสองสามคนก้าวออก มาถึงได้ขวางนางเอาไว้ได้ องค์รัชทายาทประทับอยู่ในห้องทรงอักษรเพียงลําพังทรงพระอักษรไป กว่าครึ่งค่อนวัน และในคืนวันเดียวกันนั้นก็ทรงพระประชวร ที่สํานักหมอหลวงมีหมอหลวงผู้หนึ่ง นามว่าหวังโหย่วเต้าถูกเรียกตัวเข้าวังบูรพาในคืนนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่ถูกเรียกตัวเข้าไป ข้าง กายไม่มีแม้แต่คนช่วยถือกล่องยาสักคน เทียบยาก็มิได้เก็บรักษาไว้ที่สํานักหมอหลวง พวกข้าเอง ก็ยังสืบไม่ได้ว่าเก็บเทียบยาไว้ที่ไหน…
…คืนนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร แต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น องค์ฮ่องเต้ทรงเร่งมาที่วังบูรพา หลังทรงทอดพระเนตรองค์รัชทายาทเสร็จแล้วถึงทรงเสด็จไปที่ท้องพระโรง…
…ข้าเองก็ได้สืบเรื่องของหวังโหย่วเต้ามาแล้วขอรับ…
…เดิมทีแล้วเขาเป็นหมอเลื่องชื่อของเจียงหนาน ได้รับการแนะนําให้เข้าวังโดยอดีตราช บัณฑิตหลวงหูจั๋วหรานผู้ล่วงลับ ปีนั้นองค์รัชทายาทเพิ่งจะมีพระชนมายุเจ็ดเดือนเท่านั้น ต่อมา หวังโหย่วเต้าผู้นี้ก็กลายเป็นหมอหลวงของวังบูรพา ให้การรักษาองค์รัชทายาทโดยเฉพาะ นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว แม้แต่องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ไม่อาจสั่งการเขาได้ และนอกจาก องค์รัชทายาทแล้วเขาก็ไม่รักษาผู้ใดด้วยเช่นกัน เป็นเหตุให้พวกหมอหลวงในสํานักหมอหลวงไม่ พอใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะว่าองค์ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยเขามากเป็นพิเศษ ต่อให้ มีคนไปฟ้องร้องหวังโหย่วเต้า องค์ฮ่องเต้ก็ทรงเก็บเอาไว้ไม่ส่งเรื่องออกไป และหวังโหย่วเต้าผู้นั้น ก็เป็นเพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ ยศขั้นเจ็ดเท่านั้น หลายครั้งเข้า คนที่ชอบจับผิดเหล่านั้นก็ไม่ให้ ความสนใจเขาอีก…
…เพราะฉะนั้นข้าเดาว่าวันนั้นองค์รัชทายาทน่าจะประชวรจริงขอรับ”
4557
เขากล่าวถึงตรงนี้ ดวงหน้าเผยความละอายออกมาให้เห็น นํ้าเสียงยิ่งเบาลง “ตอนนั้นข้า ไม่ทันได้คิด พอตอนที่คิดได้ขึ้นมา ของที่วังบูรพาทิ้งไปล้วนถูกเก็บกวาดไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ อาจตรวจสอบได้แล้วขอรับ…”
เฉิงฉือไม่ได้กล่าวคําใด หลับตาลงนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแทน
เซียวเจิ้นไห่มองแล้วก็ทั้งร้อนใจและกรุ่นโกรธ กล่าวขึ้นว่า “เหวย เจ้าจะคิดบัญชีข้าเช่นนี้ ไม่ได้! ต่อให้เจ้าคิดจะให้ข้าไปตายแทนเจ้า เจ้าก็ต้องบอกอะไรข้าสักประโยค! จะลากข้ามาถึงที่นี่ โดยไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ไม่ได้ สืบเรื่องของราชวงศ์นั้นถือเป็นความผิดมหันต์ เป็นอาชญากรรม! นอกจากนี้ยังเป็นอาชญากรรมที่นําหายนะมาสู่วงศ์ตระกูลอีกด้วย…”
ขณะที่เขากล่าว ทันใดนั้นเฉิงฉือก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ดวงตาคู่นั้นดุจดวงดาราในคํ่าคืนอันหนาวเหน็บที่ทั้งสว่างสุกใสและเยือกเย็น กล่าวขึ้น ว่า “ที่แท้ตระกูลเซียวก็เป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดพิธีรีตองสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่นหรือนี่!”
เซียวเจิ้นไห่โกรธจนดวงหน้าแดงกํ่า
เดิมทีแล้วตระกูลเซียวเป็นกองโจรที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นหัวหน้ากองโจร กระทําการค้า ในความมืดโดยไม่ต้องลงทุน ยังจะกลัวเรื่องถูกยึดทรัพย์และสังหารทั้งตระกูลอะไรนั่นอีกหรือ!
เฉิงฉือเห็นแล้วก็เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลพวกข้าต้อง เลือกฝั่งยืน!”
เซียวเจิ้นไห่อ้าปากค้าง ครู่ใหญ่ถึงได้ชี้เขาพลางกล่าว “เจ้า เจ้า…”
ทว่ามือสั่นจนไม่รู้จะสั่นอย่างไรแล้ว!
เฉิงฉือไม่มองเขาแม้แต่ครั้งเดียว
4558
เซียวเจิ้นไห่ลูบหน้าแรงๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เฉิงจื่อชวน ยอมแล้ว! ข้ายอมทําตามเจ้า แล้ว! ไม่ว่าจะสําเร็จหรือตาย! เจ้านําพาพรรคเจ็ดดาราโลดแล่นอยู่ในยุทธภพจนผืนฟ้าพลิกผืน ดินควํ่าได้ ข้าติดตามเจ้าย่อมไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน! เจ้าบอกมาเถิดว่าต้องการให้ข้าทํา อะไร”
เฉิงฉือร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง หลับตาลง
ส่วนเซียวเจิ้นไห่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้น
เนิ่นนาน เฉิงฉือถึงลืมตาขึ้นมา
เซียวเจิ้นไห่ถูมืออย่างตื่นเต้น ได้ยินเฉิงฉือกล่าวกับตงถิงว่า “องค์รัชทายาทประทับอยู่ที่ วังบูรพา อยู่ใต้เพียงหนึ่งอยู่เหนือคนเป็นหมื่น การสืบเรื่องของเขาเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ ง่าย ให้คนทางโน้นยังไม่ต้องขยับเขยื้อน เจ้าจงกลับเมืองหลวงไป ดูว่าอาการประชวรขององค์รัช ทายาทช่วงสองวันนี้นั้น องค์ชายสี่มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่…”
เขาจําเป็นต้องรู้ว่าตกลงแล้วองค์ชายสี่ทรงรู้เรื่องอาการป่วยขององค์รัชทายาทหรือไม่!
ถ้าหากทรงทราบ เรื่องที่อยากปลงพระชนม์องค์รัชทายาทก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แล้ว!
เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้น เรื่องที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจค้นและยึดทรัพย์ก็จะยิ่งเข้าใกล้ทาง ตันมากขึ้น
เขารู้สึกมาตลอดว่า ด้วยชื่อเสียงของตระกูลเฉิงในหมู่บัณฑิตตอนนี้แล้ว นอกจาก เกี่ยวข้องกับแผนการก่อกบฏแล้ว องค์ฮ่องเต้ทรงไม่มีทางตรวจสอบตระกูลเฉิงอย่างลวกๆ เช่นนั้น เป็นแน่
4559
แต่ถ้าหากตระกูลเฉิงเป็นกบฏจริง ภายใต้สถานการณ์ที่คนตระกูลเฉิงไม่สนับสนุนองค์ ฮ่องเต้นั้น ตระกูลเฉิงร่วมมือกับองค์ชายพระองค์ใดกันแน่
เฉิงฉือนึกถึงโจวเสาจิ่น
ไม่รู้ว่าเด็กน้อยนอนหลับไปหรือยัง
ในห้วงความคิดของเขาปรากฏภาพท่าทางการนอนของโจวเสาจิ่นขึ้นมา
เส้นผมสีดําขลับดุจเส้นไหมแผ่สยายเต็มหมอนดอกบัวคู่สีแดงสด ดวงหน้าเล็กอมชมพู สุกใสเป็นประกาย สีหน้านิ่งสงบทั้งดูปลอดโปร่งและเย็นสบาย ทําให้คนมองแล้วรู้สึกเงียบสงบ ตามไปด้วย
ชั่วขณะนั้นเฉิงฉืออยากกลับไปยิ่งนัก
อยากกลับจิงเฉิงโดยไม่ต้องสนใจอะไร อยากเห็นเด็กน้อยผู้นั้น อยากให้เด็กน้อยผู้นั้นซุก ศีรษะเข้ากับอ้อมกอดของเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
โลหิตอุ่นร้อนพวยพุ่งลงไปยังเบื้องล่างของร่างกาย
เฉิงฉือยิ้มขื่น
ทั้งที่อยู่ในเวลาเช่นนี้และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังจะตื่นตัวเรียกร้องขึ้นมาอีก
เฉิงฉือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง ร่างกายถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา แต่ภายในใจกลับ ประหนึ่งถูกคว้านออกไปชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน รู้สึกว่างโหวง ทําให้เขาบังเกิดความรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
“เช่นนั้นก็เป็นอันตกลงกันตามนี้ก็แล้วกัน!” เขาลุกขึ้นมา มุ่งหน้าเดินไปข้างนอกไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “พวกเราไปพบกันที่จิงเฉิง ยังคงเป็นสถานที่และเวลาเดิม พวกเจ้าระวังตัว
4560
กันสักหน่อย อย่าให้ผู้อื่นจับหลักฐานอะไรได้ อย่าคิดว่าขุนนางที่จิงเฉิงจะเหมือนขุนนางที่อยู่ใน พื้นที่ห่างไกลเหล่านั้นเชียว!”
ตงถิงและบุรุษดวงหน้าดูจริงใจและเปิดเผยผู้นั้นประสานมือ ส่งเฉิงฉือออกประตูไปอย่าง นอบน้อม
และเฉิงฉือเองก็เลิกผ้าม่านขึ้นโดยไม่ลังเลสักนิดเดียวกําลังจะออกไป
“รอก่อนๆ” เซียวเจิ้นไห่ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองแม้แต่นิดเดียว เขาเพิ่งจะบอกไปว่าจะ ร่วมมือกับเฉิงจื่อชวน เพียงหมุนกายเฉิงจื่อชวนก็ทิ้งตนไว้ที่นี่แล้ว เขารู้สึกร้อนใจขึ้นมา กล่าวขึ้น ว่า “ข้าควรทําอย่างไร เจ้าต้องมอบหมายหน้าที่ให้ข้าสักอย่างนี่นา!”
เฉิงฉือกลับมิได้หยุดฝีเท้าลง ยังคงเดินหน้าต่อไปพลางกล่าว “ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าข้า มอบหมายให้เจ้าช่วยตงถิงเก็บกวาดเรื่องในยุทธภพหรอกหรือ”
“อะไรนะ!” เซียวเจิ้นไห่ถามขึ้นอย่างโง่งม “ก่อนหน้านี้เจ้าก็ให้ข้าทําแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว มิใช่หรือ”
“ใช่แล้ว!” เฉิงฉือเลิกผ้าม่านขึ้น พลางกล่าว “เจ้าทําต่อไปก็พอแล้ว!” กล่าวจบ ก็ออกจาก เรือนพักแขกไป
เซียวเจิ้นไห่เบื้อใบ้ไปครู่ใหญ่ เมื่อได้สติกลับมาก็ตามออกไป
“เฉิงจื่อชวนๆ” ด้านนอกห้ามมิให้ออกนอกเคหสถานแล้ว เขาไม่กล้าส่งเสียงดัง กรอบแก รบครู่หนึ่งแล้วก็กระโดดออกจากเรือนพักแขก กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจะหลอกข้าเช่นนี้ไม่ได้! ตอนนี้ข้า ช่วยสืบเรื่องของคนพวกนั้นให้เจ้าทุกวันและส่งต่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างที่เห็นและได้ยินให้ ตงถิงทั้งหมด…”
ไม่รู้ว่าด้านนอกมีหิมะตกหนักขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
4561
ท่ามกลางหิมะที่เต็มท้องฟ้า ก็ไม่เห็นร่องรอยเงาร่างของเฉิงฉือแล้ว
เซียวเจิ้นไห่กระทืบเท้าอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือรู้ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่หลบเจ้าหน้าที่ป้องกันเมืองเข้าเมืองไปได้ แต่เขาอยากเก็บ ทางนั้นไว้ใช้ในช่วงเวลาที่คับขันจริงๆ
เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างเรือนพักแขกที่จุดพักม้า ดูหิมะห่าใหญ่ค่อยๆ ย้อมผืนดินจนขาว โพลน มองคนเฝ้าเวรยามกลางคืนเดินผ่านจุดพักม้า มองภายในลานบ้านที่มีเสียงเคลื่อนไหวดัง ขึ้น คนเลี้ยงม้า คนกวาดหิมะ และคนก่อไฟทําอาหารค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น…เขาสั่งการไหวซานว่า “พวกเราเข้าเมืองกัน!”
ไหวซานเองก็ไม่ได้นอนทั้งคืน
เขากําลังงีบอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นมา ขานรับคําว่า “ขอรับ” นัยน์ตาก็ไม่มีแวว ง่วงงุนอีกเลย
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ ยังมิได้รับมื้อเช้าก็ขี่ม้าตรงกลับไปที่ประตูเฉาหยางเลย
เมื่อกลับถึงบ้าน ขอบฟ้าเพิ่งจะเผยลําแสงออกมาเพียงรําไร
ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเฉิงที่ประตูเฉาหยางปิดสนิท ทั้งลานบ้านเงียบเชียบ ยัง หลับใหลอยู่ในความมืดสลัวของคํ่าคืน
เฉิงฉือกลับไปที่ห้องนอนอย่างเบามือเบาเท้า
ชุนหว่านที่เฝ้าเวรยามนอนอยู่บนเตียงเตาในห้องรับแขก กําลังหลับอย่างเป็นสุข
เตียงสลักลายดอกไม้ลงนํ้ามันเคลือบเงานั้นปล่อยผ้าม่านลงมา โจวเสาจิ่นขมวดคิ้ว น้อยๆ ขดตัวอยู่ในผ้าห่มสีแดงสด หลับไม่เป็นสุขเท่าใดนัก
4562
เส้นผมสีดําเต็มศีรษะนั้นแผ่สยายอยู่บนหมอน เขาโน้มตัวลงมา ช่วยสางเส้นผมสีดําเหล่านั้นกลับไปด้านหลังให้นางทีละน้อยทีละน้อย ราวกับว่าในความฝันนั้นโจวเสาจิ่นสัมผัสได้ว่าภายในห้องมีคนอยู่ด้วย นางซุกตัวเข้าไป หลบอยู่ในผ้านวมอย่างไม่เป็นสุข เฉิงฉือถึงได้ค้นพบว่านางกอดอะไรบางอย่างไว้ในอ้อมแขน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ยกมุมผ้าห่มเปิดออกเบาๆ โจวเสาจิ่นกอดหมอนที่เขาหนุนยามอยู่บ้านใบนั้นเอาไว้ กอดเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น คล้ายกับเป็นสมบัติลํ้าค่าก็ไม่ปาน
เฉิงฉือพลันรู้สึกว่าการที่เขาเร่งเดินทางฝ่ าหิมะตกหนักเต็มท้องฟ้ากลับมานั้นเป็นเรื่อง น่ายินดีมากเรื่องหนึ่ง
เขาเรียกชื่อโจวเสาจิ่นเบาๆ ประทับจูบลงบนหน้าผากของโจวเสาจิ่น