ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 483 คารวะเยี่ ยมเยียน
ในบ้านที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้นกลับครึกครื้นยิ่งนัก
ทุกคนกําลังนั่งล้อมโต๊ะกันกินโจ๊กล่าปา
ยามกินไม่กล่าววาจายามนอนไม่เปล่งคํา
เมื่อหยวนซื่อกินโจ๊กล่าปาเสร็จและวางช้อนลงแล้วถึงได้กล่าวชมไม่ขาดปาก กล่าวยิ้มๆ
ว่า “ไม่แปลกที่ท่านแม่จะมีความสุขจนลืมกลับบ้าน โจ๊กล่าปาของน้องสะใภ้สี่นี้ช่างมีรสชาติดียิ่ง
นัก ไม่เพียงทั้งหวานและเหนียวนุ่มเท่านั้น ทว่ายังหวานแต่ไม่เลี่ยนอีกด้วย ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้สี่ทํา
อย่างไร วันไหนช่วยชี้แนะป้ารับใช้ประจําครัวที่ซอยซิ่งหลินทางด้านโน้นบ้างเถิด”
โจวเสาจิ่นเองก็วางถ้วยลงด้วยเช่นกัน กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “นี่ก็มิใช่เรื่องยากอะไร
พี่สะใภ้ใหญ่ให้ป้ารับใช้ผู้นั้นเข้ามาหาปี้อวี้ได้ทุกเมื่อ ตอนนี้ปี้อวี้เป็นคนดูแลเรื่องในครัวเจ้าค่ะ!”
นางมิใช่ป้ารับใช้ในครัวเสียหน่อย เหตุใดต้องข้องแวะกับป้ารับใช้ในครัวของซอยซิ่งหลิน
ด้วย
โจวเสาจิ่นตอกกลับไปอย่างไม่อ่อนและไม่แข็งกระด้างเกินไป
แววตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นประกายเล็กน้อย ไม่ได้กล่าวอะไร
ชิวซื่อก้มหน้าลงไม่กล่าวคําใด
หยวนซื่อลอบประหลาดใจ
นางคิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นที่ดูอ่อนแอบอบบางนั้น กลับเป็นเข็มที่ซ่อนอยู่ในเบาะนั่งเล่ม
หนึ่ง เดิมทีคิดจะกดข่มนางเอาไว้ สุดท้ายกลับถูกนางเอาคืนเสียได้
สุดท้ายแล้วเป็นเพราะเมื่อก่อนติดต่อข้องแวะด้วยน้อยไปสักหน่อย!
หยวนซื่อครุ่นคิด เก็บความคิดสบประมาทนั้นเสีย รู้ว่าคําพูดและการกระทําในวันนี้ของ
ตนตกที่นั่งลําบากแล้ว จึงกล่าวแก้สถานการณ์ยิ้มๆ ว่า “ช่างวิเศษยิ่ง ข้าจะให้ป้ารับใช้ประจําครัว
ที่ซอยซิ่งหลินมาหาปี้อวี้ มาขโมยสูตรของพวกเจ้าสักหน่อย จะได้ทํากับข้าวที่ท่านแม่ชื่นชอบสัก
สองสามอย่าง”
ขณะที่กล่าว สายตาก็เคลื่อนไปตกอยู่บนร่างของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวคําใด
นางรู้ว่าหยวนซื่อมาทําอะไร
ใกล้จะปีใหม่แล้ว นางมารับตนกลับไปที่ซอยซิ่งหลิน
ไม่อย่างนั้นถึงเวลาตอนที่ญาติสนิทมิตรสหายเหล่านั้นมาเยี่ยมเยียนในวันปีใหม่ นางจะ
เอาหน้าไปไว้ที่ใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกินโจ๊กอีกคําหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “อายุมากแล้วจึงไม่
อยากเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว อาหารที่ข้าชื่นชอบ ไปๆ มาๆ ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่จําเป็นต้อง
ลําบากถึงเพียงนี้”
ความหมายโดยนัยก็คือ เจ้าเป็นสะใภ้ใหญ่ แต่งเข้าตระกูลเฉิงมานานหลายปีขนาดนี้
แล้ว แม่สามีชอบกินอะไรก็ยังไม่รู้แจ้งอีก เจ้าแสดงความกตัญ�ูต่อแม่สามีอย่างไรกัน
ดวงหน้าของหยวนซื่อซีดเผือดลงเล็กน้อย
ชิวซื่อเห็นแล้วทนไม่ได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวแก้สถานการณ์ยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่
โจ๊กล่าปาของอาเซิงยังไม่ส่งมาให้อีกหรือเจ้าคะ เจ้าเด็กคนนี้ ทําเป็นแต่เย้าแหย่หลอกล่อผู้คน วัน
นั้นพูดว่าจะส่งโจ๊กล่าปาที่ทําด้วยตัวเองเข้ามาให้ ถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา…”
โจวเสาจิ่นไม่ชอบหยวนซื่อ ทว่าไม่อยากให้ชิวซื่อที่ใจดีกับนางมาโดยตลอดตั้งแต่ต้น
ลําบากใจ นางกล่าวรับคํายิ้มๆ ว่า “ข้าจะให้ชุนหว่านไปดูสักหน่อย ไม่แน่ว่าคนอาจมาถึงแล้ว
เพียงแต่ยังอยู่ที่หน้าประตูเท่านั้น”
คําพูดของนางยังไม่ทันจบลง ก็มีสาวใช้เด็กวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินสี่” ท่าทางนั่นของนาง ดูร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “มีกง
กงของวังหลวงมามอบพระบรมราชโองการ บอกว่าในวังหลวงจะพระราชทานโจ๊กล่าปามาให้ใน
ไม่ช้า บอกว่าองค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีรับสั่งมาว่าพระราชทานให้ฮูหยินผู้เฒ่า…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
บ้านที่เพิ่งเปิดเข้ามาอยู่ใหม่ๆ มักจะเป็นเช่นนี้ ข้ารับใช้ต่างล้วนไม่เคยได้พบเห็นโลก
กว้างมาก่อน เรื่องเพียงเล็กน้อยก็ตื่นตระหนกขึ้นมาได้แล้ว
โจวเสาจิ่นเองก็สัมผัสได้แล้วเช่นนั้น
นางไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยปากก็กล่าวเสียงเคร่งขึ้นก่อนว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและข้าล้วน
อยู่บ้าน พวกเจ้าจะตื่นตระหนกอะไรกัน ลุกขึ้นยืนดีๆ แล้วค่อยๆ พูด!”
สาวใช้ผู้นั้นเห็นคนที่นั่งอยู่ภายในห้องต่างนิ่งสงบ หัวใจที่แขวนอยู่ถึงได้วางลงมาได้ สูด
ลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้งด้วยนํ้าเสียงชัดเจน
ในใจของหยวนซื่อกระเพื่อมขึ้นลงเป็นคลื่นน่ากลัว
ทุกๆ เทศกาลล่าปา องค์ฮ่องเต้ล้วนทรงมอบหมายให้กงกงส่งโจ๊กล่าปามาให้ขุนนาง
ใหญ่คนสําคัญในราชสํานักอยู่เสมอ
เฉิงจิงของตระกูลเฉิงเป็นขุนนางใหญ่อยู่ในสภา อาศัยอยู่ที่ซอยซิ่งหลิน ดังนั้นจึงส่งโจ๊ก
ล่าปาไปที่ซอยซิ่งหลิน
ทว่าตอนนี้กลับมีพระบรมราชโองการลงมาจากพระราชวังชั้นใน พระราชทานโจ๊กล่าปา
มาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นการเฉพาะ…กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้รับเกียรติเป็นของ
ตัวเองนั่นเอง
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไปเข้าเฝ้าองค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงมาตั้งแต่เมื่อใด
หลายปีก่อนโน้นตอนที่นางแต่งเข้ามานั้นนอกจากงานเลี้ยงใหญ่ในวันที่หนึ่งแล้ว ฮูหยินผู้
เฒ่าก็ไม่เคยเข้าวังหลวงเลย ต่อให้เข้าวังหลวง ก็รีบไปรีบกลับ ไม่เคยแวะที่พระราชวังชั้นในเลย
เหตุใดตอนนี้… ไม่ได้เข้าเมืองหลวงมาสิบกว่าปี เข้าเมืองหลวงมาเพียงไม่กี่เดือนก็ทําให้องค์
ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงจดจําได้แล้ว…สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดก็คือ นางเป็นกังวลใจว่าฮูหยินผู้
เฒ่ากัวจะยิ่งใจร้ายกับนางเหตุเพราะได้รับเกียรติสูงสุดนี้ กระทั่งอาจจะมีอิทธิพลต่อเฉิงจิงและมี
อิทธิพลต่อตําแหน่งของนางที่อยู่ในใจของเฉิงจิงด้วย!
หยวนซื่อรู้สึกตื่นตระหนกและกระวนกระวายอยู่ในใจ ทว่ายืนขึ้นมาโดยที่ไม่แสดงออก
ทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ยิ้มพลางสั่งการสื่อมามาที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ว่า “รีบไปเตรียมโต๊ะบูชา
และซองแดงรับพระบรมราชโองการเถิด”
โต๊ะบูชาใช้ตอนรับพระบรมราชโองการ ส่วนซองแดงสําหรับมอบเป็นรางวัลให้บรรดาก
งกงที่มาส่งโจ๊กล่าปา
แต่ภายในห้องกลับไม่มีใครขยับเขยื้อนเลยสักคน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก้มหน้าก้มตาลง
พวกสาวใช้มองไปที่โจวเสาจิ่น
ชิวซื่อดึงแขนเสื้อของหยวนซื่ออย่างร้อนใจ
ที่นี่คือประตูเฉาหยาง มิใช่ซอยซิ่งหลิน
หยวนซื่อเพิ่งจะเข้าใจ
จากนั้นก็ถูกทําให้จมดิ่งเข้าสู่กระแสนํ้าแห่งความโกรธเกรี้ยว
นางเป็นสะใภ้ใหญ่ของครอบครัวนี้ เป็นสะใภ้เอกของตระกูลเฉิง แม้แต่เรื่องเช่นนี้นางก็ไม่
มีสิทธิ์
มีเสียงจะกล่าวอะไรเลยอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นผู้นั้นจะรู้เรื่องอะไร
นี่นางกําลังช่วยโจวเสาจิ่นอยู่นะ!
แม่สามีจะหาว่านางทําเกินอํานาจหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร!
ยิ่งคิดหยวนซื่อก็ยิ่งโมโห ปลายนิ้วมือเริ่มสั่นระริก
โจวเสาจิ่นไม่แม้แต่จะมองนางเลยสักครั้ง
ชาติก่อนนางก็รู้แล้วว่าหยวนซื่อยกตนข่มท่านและไร้เหตุผลมากแค่ไหน เรื่องอื่นนางยอม
ให้นางได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งก็คือบ้านที่เป็นของตัวเอง ทว่าเป็นความใฝ่ฝันทั้งสองชาติภพของนาง
นั้น จะไม่อนุญาตให้มีคนมาทําลายมันไปได้
นางสั่งการสาวใช้ผู้นั้นว่า “ไปบอกพ่อบ้านให้เตรียมโต๊ะบูชาและซองแดง”
นัยน์ตาของสาวใช้ผู้นั้นมีแววพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่าน
ซางมามาเคยบอกพวกนางเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เข้าเรือนมาใหม่ๆ แล้วว่า ทํางานอยู่ที่ประตู
เฉาหยาง รับเบี้ยรายเดือนของประตูเฉาหยาง ก็ต้องกระจ่างแจ้งด้วยว่าตกลงตนกําลังทํางานให้
ผู้ใด และใครที่เป็นคนจ่ายเบี้ยรายเดือนให้พวกนางกันแน่ด้วย นางมิได้วิ่งพล่านไปทั่วถือเป็นเรื่อง
ที่ถูกต้องแล้วจริงๆ
สาวใช้เด็กย่อเข่าทําความเคารพ แล้วรีบถอยออกไป
โจวเสาจิ่นจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านต้องเข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์สักหน่อยแล้วเจ้าค่ะ”
ชาติก่อน นางเองก็เคยเข้าวังหลวงและรับพระบรมราชโองการมาก่อนเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ ปล่อยให้โจวเสาจิ่นประคองเข้าไปในห้องชั้นใน กระซิบ
ถามโจวเสาจิ่นว่า “คราวก่อนที่ข้าบอกเจ้าเรื่องรับพระบรมราชโองการอย่างไรนั้น เจ้ายังจําได้
หรือไม่”
“จําได้เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกๆ พูดทวนสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกในตอนนั้นออกมา
ใหม่อีกรอบหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แต่งตัวเต็มยศ เดินนําโจวเสาจิ่น หยวนซื่อ และชิ
วซื่อมารออยู่ในห้องอุ่นที่หน้าประตูบ้าน
ไม่นาน เฉียนกงกงของพระราชวังฉือหนิงพากงกงน้อยผู้หนึ่งมาด้วยกัน
นอกจากพระบรมราชโองการแล้ว ยังมีโจ๊กล่าปาที่เย็นแล้วอีกหนึ่งหม้อ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ คุกเข่าลงฟังพระบรมราชโองการ ขอบคุณในพระมหา
กรุณาธิคุณ และรับพระบรมราชโองการมา
เฉียนกงกงที่เมื่อครู่ยังอ่านพระบรมราชโองการด้วยสีหน้าสุขุมเคร่งขรึมนั้นพลันราวกับ
เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลังค่อมลง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มๆ
อย่างกระตือรือร้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า พวกเราไม่ได้พบกันมานานหลายปีแล้วกระมัง เมื่อวานฮูหยิน
เผิงเฉิงเข้าวังไปเล่าว่าท่านมาอยู่จิงเฉิงแล้ว องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงถึงได้ทรงทราบเรื่อง ด้วย
เหตุนี้ วันนี้จึงทรงให้คนนําโจ๊กล่าปามาประทานให้ ยังคงเป็นท่านที่มีวาสนาดีเหลือเกิน หนึ่งบ้าน
มีจิ้นซื่อถึงสามคน ไม่สิ หนึ่งบ้านมีจิ้นซื่อถึงห้าคน นายท่านผู้เฒ่าเซ่าและนายท่านผู้เฒ่าซวินที่
จากไปแล้วก็เป็นจิ้นซื่อเช่นกัน ได้ยินว่าหลานชายเป็นเจี้ยหยวนของทางใต้เมื่อปีที่แล้ว ก่อนหน้า
นั้นก็เป็นอั้นโส่ว ไอหยา เหลียวมองให้ทั่วในรัชสมัยนี้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดวาสนาดีอย่างฮูหยินผู้เฒ่า
เช่นนี้เลยสักคน องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังทรงตรัสว่า ตอนเข้าวังให้ฮูหยินเผิงเฉิงเชิญท่านเข้า
วังไปด้วยกัน ให้องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงและฮูหยินเผิงเฉิงป๋ อได้พบท่านด้วย ตอนนี้ยิ่งอยู่เผิงเฉิง
ป๋ อซื่อจื่อก็ยิ่งควบคุมไม่ได้แล้ว แม้แต่องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ทรงไม่รู้จะทําอย่างไรดีอยู่
บ่อยครั้ง นี่ช่างเป็นปัญหาใหญ่หลวงยิ่งแล้ว!”
ฮูหยินเผิงเฉิงคือมารดาขององค์ฮองเฮาเหนียงเหนียง
ส่วนเผิงเฉิงป๋ อคือน้องชายร่วมอุทรขององค์ฮองเฮาเหนียงเหนียง นอกจากนี้ยังเป็น
น้องชายร่วมอุทรเพียงคนเดียวอีกด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “กงกงกล่าวหนักไปแล้ว เป็ นเพราะพวกเด็กๆ มี
ความสามารถกันเองทั้งนั้น กงกงกลับไปแล้วช่วยกล่าวขอบพระทัยในมหากรุณาธิคุณขององค์
ฮองเฮาเหนียงเหนียงแทนข้าด้วย บอกว่าฮูหยินชราผู้นี้จะต้องไปเข้าเฝ้าองค์ฮองเฮาเหนียงเหนียง
พร้อมกับฮูหยินเผิงเฉิงอย่างแน่นอน” จากนั้นมอบซองแดงซองใหญ่สองซองให้เฉียนกงกงด้วย
ตัวเอง
เฉียนกงกงเดินจากไปด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ซีดลงมา
หยวนซื่อเผยสีหน้าลังเลออกมา ถามขึ้นว่า “ท่านแม่ เหตุใดจู่ๆ องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียง
ถึงทรงนึกถึงท่านขึ้นมาอย่างกะทันหันได้เจ้าคะ”
“ก็ไม่อาจกล่าวว่านึกถึงขึ้นมาอย่างกะทันหัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “เมื่อก่อนตอนที่อา
รองของเจ้าสอนหนังสือองค์รัชทายาทนั้น องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงจึงทรงสนิทสนมกับอาสะใภ้
รองที่ป่วยจากไปของเจ้ายิ่งนัก กับข้าเองก็เคยพบหน้ากันหลายครั้ง ครั้งนี้อาจเป็นเพราะได้ยินว่า
พวกเราแยกตระกูลกันแล้ว จึงทรงอยากเรียกข้าเข้าไปสอบถามดูกระมัง! ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ทรง
นึกถึงข้าขึ้นมาหลังจากที่ฮูหยินเผิงเฉิงเข้าวังหรอก”
หยวนซื่อได้ยินแล้วอดตระหนกและหวาดกลัวไม่ได้ รีบถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ถึงเวลานั้นข้า
ไปพร้อมกับท่านดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ให้เสาจิ่นไปเป็นเพื่อนข้าก็พอ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าองค์
ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง!”
หยวนซื่ออยากจะกล่าวแต่ก็หยุดไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชําเลืองมองนางครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถอะ เรื่องแยกตระกูลนั้น
เป็นข้าที่เห็นด้วย หากองค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงถามถึงขึ้นมา ข้ารู้ว่าควรตอบอย่างไร”
“ท่านแม่!” หยวนซื่อทั้งอับอายทั้งรู้สึกผิด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาละๆ วันนี้เฉลิมฉลองเทศกาลล่าปากัน ทุกคนควร
จะมีความสุขกันถึงจะถูก เสาจิ่น เจ้านําโจ๊กล่าปาที่องค์ฮองเฮาเหนียงเหนียงพระราชทานมาให้
นั้นไปเก็บไว้ในครัว รอให้พวกเจ้าใหญ่มาถึงกันแล้วจะได้แบ่งกันกิน”
เฉิงจิงและเฉิงเว่ยล้วนอยู่ที่ที่ว่าการหยาเหมิน ส่วนเฉิงสวี่และเฉิงรั่งอยู่ที่สํานักศึกษา
พวกเขานั้นต้องรอให้ถึงยามโหย่วสือถึงจะเลิกงานและเลิกเรียนกัน
โจวเสาจิ่นขานรับคํายิ้มๆ
เฉิงเซิงให้คนส่งโจ๊กล่าปามาให้
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะตกรางวัลให้ ตักโจ๊กล่าปาที่ประตูเฉาหยางทํามาใส่หม้อเล็กๆ มอบเป็น
ของขวัญตอบแทนไปให้และส่งคนออกไป เฉิงเจิงก็ให้คนนําโจ๊กล่าปามาส่งให้…จวบจนเวลาเที่ยง
ในบ้านจัดวางโจ๊กล่าปาแต่ละอย่างแต่ละชนิดจนเต็มไปหมดแล้วนั้น ข่าวคราวของจี่หนิงทางด้าน
โน้นก็แพร่มาถึงประตูเฉาหยาง มาถึงหูของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบโต๊ะบนเตียงเตาเสียงดัง ปัง ฝ่ ามือหนึ่ง เอ่ยกับหยวนซื่อว่า “ในยาม
ปกติเจ้ามัวแต่ทําอะไรอยู่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้ยินข่าวลืออะไรมาเลยแม้แต่นิดเดียว
ปกติเวลาเจ้าไปตระกูลหยวน ตระกูลฟางนั้นไปทําอะไร เรื่องเล็กน้อยในบ้านนั้นผู้ใดทําไม่เป็น
บ้าง จะต้องการเจ้าไปทําไม ดวงตาของเจ้าเคลิบเคลิ้มลุ่มหลงไปกับความมั่งคั่งรํ่ารวยหมดแล้ว
หรือ หัวใจของเจ้ามืดบอดไปกับแผนการหมดแล้วหรือ วันๆ หนึ่งออกจากบ้านนี้ไปเยี่ยมเยียน
บ้านนั้น เรื่องที่ควรรู้เจ้าก็ไม่รู้สักเรื่อง เรื่องที่ไม่ควรรู้เจ้ากลับรู้ทุกอย่าง…”
ถูกแม่สามีตําหนิเช่นนี้ต่อหน้าน้องสะใภ้ทั้งสองคน ในจํานวนนั้นยังมีผู้หนึ่งที่นางดูแคลน
อย่างโจวเสาจิ่นอยู่ด้วยอีก…หยวนซื่อถึงขั้นรู้สึกถึงความพ่ายแพ้แล้ว
ชิวซื่อเองก็เป็นบุตรสะใภ้ ย่อมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของหยวนซื่อได้ นางคว้าตัวโจว
เสาจิ่นลากออกไปจากห้องรับแขก กระซิบกล่าวว่า “เวลานี้พวกเราหลบออกมาก่อนจะดีกว่า
พี่สะใภ้ใหญ่จะได้ไม่เสียหน้า”
นางอยากมีเกียรติประดับใบหน้า เหตุใดไม่ทําเรื่องดีๆ บ้างเล่า!
โจวเสาจิ่นวิพากษ์อยู่ในใจ ไปดื่มชาในห้องนํ้าชากับชิวซื่อ
เฉิงเจิงให้คนนําจดหมายมาส่งให้ บอกว่ากู้ซวี่มีสหายร่วมปีการสอบผู้หนึ่งดํารงตําแหน่ง
เป็นคณะพราหมณ์หลวง เขานัดพบกับอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว ถึงเวลาก็จะทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่
จี่หนิงแล้ว
หยวนซื่อได้ยินแล้วรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เฉิงเจิงเป็นบุตรสาวของนาง อุทิศแรงกายแรงใจให้เช่นนี้ ก็นับเป็นการชดเชยความผิด
ของนางได้บ้างแล้ว
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมิได้ซาบซึ้ง มองหยวนซื่ออย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “โชค
ดีที่ตอนนั้นไม่ยกอาเจิงให้เจ้าเป็นคนเลี้ยงดู!”