ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 480 กลับถึงเมืองหลวง
เฉิงฉือได้ยินคําพูดของโจวเสาจิ่นแล้วก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เล็กน้อย หยิกแก้ม ของนางเบาๆ อย่างรักใคร่ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดข้าฟังนํ้าเสียงของเจ้าแล้วถึงรู้สึกว่าเจ้ากําลัง คาดหวังให้ข้าถูกราชสํานักขับไล่กลับบ้านเร็วๆ เลยเล่า”
“ที่ไหนกันเจ้าคะ!” เนื่องจากเฉิงฉือชื่นชอบเรื่องการจัดการนํ้า นางย่อมต้องสนับสนุน ต่อ ให้ในใจของโจวเสาจิ่นคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปเช่นนี้ “ข้ากลัวว่าตัวเองจะเป็นอย่างที่ว่า ‘ครั้นเมื่อเห็นต้นหลิวข้างทางแล้ว จะเสียใจที่ปล่อยให้สามีไปประจําการ’ ต่างหากเจ้าค่ะ”
“กล่าวไปกล่าวมา ก็คืออยากให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้านั่นเอง!” เฉิงฉือหยอกล้อเล่นคํา กับโจวเสาจิ่น กระซิบที่ข้างหูของนางว่า “วางใจเถิด กลับไปแล้วจะจัดการเจ้าดีๆ อย่างแน่นอน ไม่ปล่อยให้เจ้ารู้สึก ‘โหยหาอยู่ในห้อง’ เป็นแน่”
คําพูดคลุมเครือแฝงความนัยที่ยั่วเย้านั่น ทําให้ใบหูของโจวเสาจิ่นแดงกํ่าไปหมด
นางไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว หนีออกมาอย่างยอมแพ้ “ข้า ข้าจะไปดูว่าอาหารแห้งที่ จัดเตรียมให้ท่านนั้นเตรียมเสร็จเรียบร้อยหรือยังเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่า
กระทั่งตอนที่โจวเสาจิ่นปรากฎตัวตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง อย่างห้ามใจไม่อยู่ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้ากลับไปเพียงลําพัง ข้าเขียน จดหมายไปให้ท่านแม่แล้ว หากเจ้ากลัวข้าจะให้ท่านแม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้า หากเจ้าอยากอยู่คน เดียว ก็ให้ซางมามาไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ซอยวี๋เฉียนสักระยะหนึ่ง หากเจ้าเบื่อไม่มีอะไรทําก็ไป เยี่ยมเยียนพี่สาว ทางด้านของท่านแม่นั้น ข้าจะบอกนางเอง บอกว่าข้าเป็นคนจัดการให้ ไม่ทําให้ ท่านแม่บังเกิดความไม่พอใจอะไรอย่างแน่นอน เจ้าวางใจได้!”
อีกประเดี๋ยวอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ก็จะหายไปแล้วใช่หรือไม่ นางต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว? เวลานี้เองโจวเสาจิ่นเพิ่งรู้สึกถึงความรู้สึกของการลาจาก นางรู้สึกว่านํ้าตาของตัวเองใกล้จะร่วงหล่นลงมาเต็มทีแล้ว
“ข้าอยากกลับไปอยู่บ้านที่ประตูเฉาหยางเจ้าค่ะ” ที่นั่นมีห้องของพวกเขา นางกลายเป็น ภรรยาของเขาตอนอยู่ที่นั่น นางอยากอยู่ที่นั่น เฝ้ารออยู่ที่นั่น “ท่านแม่และฮูหยินหยวนไม่ถูกกัน ให้นางพักอยู่กับพวกเราเถิดเจ้าค่ะ…”
ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวนั้น ก็รู้สึกเห็นใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าที่เด็ดเดี่ยว เก่งกาจและจิตใจดีมีเมตตาขนาดนั้น เมื่อแก่ชราลงแล้วกลับไม่มี ที่ของตัวเองให้ไปได้ ไม่อยากอยู่กับบุตรชายคนโตจึงจําต้องถ่อมตัวลงมาอยู่กับบุตรชายคนเล็ก
นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านแม่อยู่กับพวกเราไม่ได้หรือเจ้าคะ จะต้องกลับไปที่ซอยซิ่ง หลินเท่านั้นหรือ”
เฉิงจิงเป็นบุตรชายคนโต เป็นคนสืบทอดสมบัติของตระกูลและเป็นคนดูแลตระกูลต่อไป ถ้าหากว่าแยกบ้านกันแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาอยู่กับบุตรชายคนเล็ก จะมีคําครหาแพร่ออกไปได้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่พอใจบุตรชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อหน้าที่การงานของเฉิง จิง เมื่อถึงเวลาแยกบ้านกันจริงๆ ด้วยข้อนี้แล้ว เฉิงจิงและฮูหยินหยวนไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่อง แยกบ้านอย่างแน่นอน
เฉิงฉือชอบที่นางเรียกบ้านที่ประตูเฉาหยางว่า ‘บ้าน’ แล้วก็ชอบที่นางเรียกมารดาของตน ว่า ‘ท่านแม่’
“แล้วเจ้าอยากแยกบ้านหรือไม่” เฉิงฉือถามนาง โจวเสาจิ่นลังเลไม่กล่าวคําใด แน่นอนว่านางอยากแยกบ้าน แยกบ้านแล้วก็ไม่ต้องพบเจอทักทายเฉิงสวี่แล้ว
แต่นางก็ทราบหลักที่ว่า ‘บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ไม่แยกบ้าน’ นั้นดี ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ จวนหลักไม่เหมือนกับผู้อื่น พวกเขาเพิ่งจะแยกตระกูลกันมา นางไม่อาจเข้าไปชักจูงเรื่องใหญ่ ขนาดนี้เพียงเพราะความชอบของตัวเองได้ ทว่าไม่ได้สังเกตเลยว่า ตัวนางเองรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจ ว่าเฉิงฉืออาจจะทําเรื่องที่ผู้อื่นเห็นว่าขัดต่อศีลธรรมเหล่านั้นเพื่อนางได้
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ทั้งๆ ที่ข้ารู้ความคิดของเจ้าดี แต่เจ้ารู้ หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยังถามเจ้าอีก”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
เฉิงฉือทอดถอนใจกล่าวว่า “ข้าหวังให้เจ้ารู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักปกติมาก เพียงไร ขอเพียงเจ้าคิดก็ให้บอกข้าได้…”
เหมือนกับที่นางบอกว่าตัวเองย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ซื่อหลางก็เชื่อนาง ในทันทีแล้วเช่นนั้นใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นซุกศีรษะเข้ากับอ้อมกอดของเขา เฉิงฉือทําอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มอย่างเอาอกเอาใจอีกครั้ง ยังมีเวลาอีกมาก!
เขามีความอดทนมากพอที่จะเฝ้ารอจนกว่าจะถึงเวลาที่ดอกไม้ดอกนี้จะค่อยๆ เบ่งบาน เงียบๆ
เฉิงฉือไม่บีบคั้นนางอีก แต่กล่าวยิ้มๆ แฝงรอยหยอกเย้าเอาไว้หลายส่วนว่า “ข้าจะเสนอ ความคิดให้เจ้าอีกข้อหนึ่ง หากว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ยอมแยกบ้านเพราะเรื่องของท่านแม่ เจ้าก็ไปพูดกับพี่สะใภ้รองเป็นการส่วนตัว บอกว่าข้าไม่อยู่บ้าน เจ้าอยู่บ้านคนเดียวรู้สึกกลัว หาก ท่านแม่ไปอยู่กับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว เจ้าไปรับท่านแม่มาอยู่ที่ประตูเฉาหยางด้วยได้ หรือไม่ จากนั้นเมื่อถึงเทศกาลอย่างเทศกาลปีใหม่ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ ต้องกราบไหว้บรรพบุรุษเหล่านั้นท่านแม่ค่อยกลับไปที่ซอยซิ่งหลิน…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตีเฉิงฉือเบาๆ อย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างน่ารักว่า “ท่านมันวายร้าย! ให้ข้าใช้พี่สะใภ้รองเป็นอาวุธโจมตี”
“เหตุใดถึงเรียกข้าว่าวายร้ายกันเล่า” เฉิงฉือกล่าวอย่างหน้าไม่อาย “ต่อให้เจ้าคิดจะใช้ พี่สะใภ้รองเป็นอาวุธ แต่พี่สะใภ้รองเองก็ต้องมีใจเฝ้ารอวันให้ได้แยกบ้านเร็วๆ ด้วยถึงจะได้ผลนี่ นา!”
โจวเสาจิ่นกล่าว “นับวันรั่งเกอเอ๋อร์ก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ บ้านที่ซอยซิ่งหลินนั้นคับแคบ หลังจากที่พี่ชายใหญ่ได้เป็นมุขมนตรีในสภาแล้ว คนที่ไปมาหาสู่ด้วยก็มีมากขึ้น ได้ยินว่าแค่ห้อง หนังสือที่เรือนชั้นนอกก็ต้องขยับขยายแล้วถึงสองครั้ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเมื่อถึงตอนที่รั่งเกอ เอ๋อร์แต่งงานเกรงว่าแม้แต่เรือนหอก็ไม่รู้จะจัดให้อยู่ที่ไหนดีแล้ว เหตุใดพี่สะใภ้รองจะไม่อยาก แยกบ้านกันเจ้าคะ ต่อให้ตัวนางไม่ได้แยกบ้านออกไป แต่สร้างทรัพย์สินให้รั่งเกอเอ๋อร์สักหน่อย ได้ ตอนที่รั่งเกอเอ๋อร์แต่งงานอาจจะทนอยู่ที่ซอยซิ่งหลินไปก่อน แต่เมื่อคิดถึงว่าตนจะย้ายออกไป เมื่อไรก็ได้ขึ้นมาแล้ว หัวใจดวงนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ต่อให้มีปัญหาอะไรกันก็ไม่ถึงกับ ทะเลาะกันจนต่างคนต่างมีรอยร้าวได้ พี่สะใภ้รองจะไม่ยินยอมได้อย่างไร”
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้เจ้าก็เข้าใจทุกอย่างดีนี่นา!”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วก็ถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ามิใช่คนโง่สักหน่อย จะไม่รู้ได้ อย่างไรเจ้าคะ!”
เพียงแต่ว่ายามปกติไม่ถึงคราวให้นางต้องเป็นห่วง นางก็เลยไม่เก็บเรื่องนี้มาคิดมาก
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับโอบนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว เจ้ารู้ข้าก็จะได้ไปจี่หนิงอย่าง วางใจได้”
โจวเสาจิ่นกอดเขากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ อยากถามเขาว่า เมื่อไรท่านจะได้กลับมา คําพูดมารออยู่ที่ปากแล้ว แต่ก็กลัวว่าจะทําให้เฉิงฉือล่าช้าไปอีก รีบกลืนประโยคนั้นลงไปเสีย ทํา เพียงแนบตัวอยู่กับอกของเฉิงฉืออย่างไม่อยากลาจาก ฟังเสียงหัวใจเต้น ตึกตึกตึก นั่นจาก หน้าอกของเขาพร้อมกับหลับตาลงเบาๆ
เฉิงฉือเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่อยากลาจากเช่นกัน
เขาต้องห่างจากมารดา ห่างจากบ้านไปตั้งแต่ยังเล็ก มองจากมุมของเขาแล้ว ขอเพียง รู้สึกว่าสบายใจ ไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนเป็นบ้านได้ทั้งสิ้น เขาคิดไม่ถึงว่า เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน เขาก็ เริ่มรู้สึกอาลัยอาวรณ์เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของตนผู้นี้ขนาดนี้แล้ว คล้ายกับว่าวที่ถูกตรึงเชือก เอาไว้แล้วตัวหนึ่ง ถึงแม้คนจะโบยบินอยู่ข้างนอกอย่างมีอิสรเสรี แต่ปลายเชือกนั่น ก็ยังคง ย้อนกลับไปยังทิศทางที่ตัวเองอยากไปอยู่เสมอ
บางทีเขาอาจจะต้องคิดเรื่องจะกลับมาอยู่จิงเฉิงได้อย่างไรอย่างจริงจังเสียแล้ว!
ทั้งสองคนพึมพําพูดคุยเรื่องราวที่ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรบ้างไปมากมาย ตั้งแต่เรื่องที่ทุกเย็น หลังกินข้าวเย็นเสร็จแล้วต้องไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ไปจนถึงเรื่องที่ว่าสวนดอกไม้ใหญ่เกินไป ต้องหาบ่าวสักคนไปดูแลเสวี่ยฉิวด้วย และอื่นๆ อีกมากมาย จวบจนไหวซานเข้ามาเร่ง บอกว่า
เตรียมม้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากยังไม่ออกเดินทางอีก ก็จะพลาดการพักค้างคืนยังที่พักม้าแล้ว โจวเสาจิ่นถึงได้ส่งเฉิงฉือออกไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
ตกกลางคืนนางนอนอยู่บนเตียงเพียงลําพัง ทั้งที่จุดท่อทําความร้อนเอาไว้แต่ก็รู้สึกหนาว จนตัวสั่นไม่หยุด
ซื่อหลางเดินทางถึงไหนแล้วนะ
จะได้หยุดพักค้างคืนแล้วหรือยัง
ลมกลางคืนหนาวเย็นขนาดนี้ ไหวซานจะอุ่นเตาอุ่นมือให้เขาสักอันหรือไม่
ที่ผ่านมาเขาสั่งการผู้อื่นจนเคยตัว ไปจี่หนิงแล้ว ยามขุนนางฝ่ ายตรวจตราเหล่านั้น สอบสวนสิ่งใดเขาจะอดทนได้หรือไม่
ถ้าหากว่าถูกขับไล่ออกจากราชการด้วยเหตุนี้ เขาจะรู้สึกเสียหน้าจนรับไม่ได้หรือไม่
จะเป็นการทําลายความใฝ่ฝันด้านการจัดการนํ้าของเขาหรือไม่
โจวเสาจิ่นพลิกตัวกลับไปกลับมา จวบจนภายในลานบ้านมีความเคลื่อนไหวแล้วถึงได้รู้ ว่าฟ้าสว่างแล้ว
นางทอดถอนหายใจลุกขึ้นจากเตียง รับประทานมื้อเช้าไปอย่างลวกๆ กล่าวอําลาบิดา และหลี่ซื่อ
โจวเจิ้นและหลี่ซื่อเห็นนางมีสีหน้าไม่สู้ดี พากันปลอบโยนนางว่า “จื่อชวนมิใช่คนไร้ ประสบการณ์ประเภทนั้น ย่อมรู้จักเดินหน้ารู้จักถอยหลัง หากไม่ได้การจริงๆ ก็มีพี่ใหญ่ของเขา ช่วยประคับประคองอยู่ เขาลางานกลับมาแต่งงาน ได้แจ้งกรมโยธาเอาไว้แล้ว ฝ่ายตรวจตราย่อม ไม่ทําให้เขาลําบากอย่างแน่นอน”
นางทราบดี
นางเพียงแค่คิดถึงเขาเท่านั้น!
โจวเสาจิ่นฝืนยิ้ม ปรับอารมณ์มากล่าวอําลาบิดาและหลี่ซื่อ แล้วเดินทางกลับเมืองหลวง โดยมีฉินหยางคอยคุ้มกัน
ระหว่างทาง นางไม่ได้ชื่นชมความงามของทิวทัศน์ข้างทางอีก คิดเพียงแค่อยากจะเร่ง เดินทางกลับจิงเฉิงให้เร็วขึ้น อยากจะกลับให้ถึงบ้านของนางและเฉิงฉือให้เร็วขึ้นเท่านั้น ต้องค้าง แรมกลางป่าหลายต่อหลายครั้งเหตุเพราะนางอยากเร่งเดินทางต่อจนพลาดการพักค้างแรมที่จุด พักม้า โชคดีที่ทางหลวงจากเป่าติ้งไปยังจิงเฉิงนั้นมีขุนนางและคนใหญ่คนโตเดินทางผ่านไปมา เป็นจํานวนมาก จึงไม่มีโจรป่าอะไรเหล่านั้น อีกทั้งฉินหยางยังเคยติดตามเฉิงฉือเดินทางรอนแรม อยู่ในยุทธภพมาก่อน จึงมีประสบการณ์ค้างอ้างแรมกลางป่ าเป็นอย่างดี รู้ว่าโจวเสาจิ่นร้อนใจ อยากกลับบ้าน จึงจัดเตรียมการเดินทางตลอดทั้งทางได้อย่างเหมาะสมดีเยี่ยม เดิมทีที่ต้อง เดินทางถึงเจ็ดวันนั้น เพียงสี่วันก็มาถึงจิงเฉิงแล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เพียงพาหยวนซื่อมารับนางเท่านั้น ชิวซื่อและเฉิงเว่ยก็มา ด้วย
หยวนซื่อและชิวซื่อก็พอแล้ว แต่นี่แม้แต่เฉิงเว่ยก็มาด้วย กล่าวได้ว่าเป็นการให้เกียรติโจว เสาจิ่นอย่างเพียงพอแล้ว
นางรีบก้าวออกไปทําความเคารพ
หยวนซื่อและชิวซื่อทําความเคารพกลับ ส่วนเฉิงเว่ยเลี่ยงไปอยู่ข้างๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของนางเอาไว้พลางกล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ในจดหมายเจ้าสี่ ไม่ได้บอกชัดเจนนัก เหตุใดถึงเรียกตัวเจ้าสี่กลับไป ยังกลับไปอย่างรีบร้อนเพียงนี้อีก…”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวปลอบโยนแม่สามีว่า “ได้ยินว่าราชสํานักมอบหมายให้กรมตรวจตรา ไปดูความคืบหน้าของการสร้างเขื่อน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่สามีรับผิดชอบอยู่ สามีจึงเข้าใจดีที่สุด ดังนั้นใต้เท้าหยางถึงได้ให้คนไปตามที่เมืองเป่าติ้ง…นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสามีเจ้าค่ะ ท่านดูอย่างท่านพ่อของข้าบุตรสาวแต่งงานยังมาไม่ได้เลย นายท่านสี่ลางานกลับมาแต่งงานได้ ก็ เป็นความกรุณาของใต้เท้าหยาง ใต้เท้าซ่ง และของราชสํานักแล้ว เวลานี้จี่หนิงมีเรื่อง เขาจะ กอดอกดูอยู่เฉยๆ ปฏิเสธความรับผิดชอบได้อย่างไร ท่านก็อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ การสร้างเขื่อน เป็นประโยชน์ต่อมวลประชา เป็นงานใหญ่ที่จะคงอยู่ไปหลายพันปี ท่านเองก็คงหวังให้ซื่อหลาง ได้มีชื่อทิ้งไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เช่นกันกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะออกมา กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ข้าพูดไปเพียงหนึ่งประโยคเจ้ากลับ มีสิบประโยครอข้าเอาไว้แล้ว เจ้าคงคุ้นกับการมีเขาวุ่นวายอยู่ข้างๆ แล้วกระมัง ถึงเวลาอย่ามา ร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าข้าก็แล้วกัน!”
หากเป็นเมื่อก่อน โจวเสาจิ่นจะต้องพูดว่าตนไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอย่างมั่นอกมั่นใจและ บอกว่าตนจะสนับสนุนเฉิงฉือให้ได้ทําในสิ่งที่เขาชื่นชอบอย่างแน่นอน แต่การต้องแยกจากกันใน หลายวันมานี้ทําให้นางรู้สึกราวกับถูกกัดกินหัวใจไปแล้ว จึงไม่กล้ารับประกันว่าตนจะไม่แอบ ร้องไห้ ไหนเลยจะกล้าพูดคําว่า ‘ไม่มีทาง’ จําพวกนั้นกัน
นางยิ้มอย่างอับอาย
บุตรสะใภ้ยอมรับว่าคุ้นกับการมีบุตรชายอยู่ด้วย คนเป็นแม่สามีคนไหนจะไม่ดีใจกัน
ปากฮูหยินผู้เฒ่ากัวพรํ่าบ่นบุตรชายก็จริง แต่เมื่อได้ยินโจวเสาจิ่นตอบนางเช่นนี้แล้ว ใน ใจรู้สึกลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง นางจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าว “เด็กดี เหนื่อยมาตลอดทั้ง ทางแล้ว พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ เจ้าเองก็จะได้พักผ่อนดีๆ สักครู่หนึ่งด้วย”
โจวเสาจิ่นขานรับคําว่า “เจ้าค่ะ” อย่างเชื่อฟัง ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นรถม้าของฮูหยิน ผู้เฒ่ากัวไป
หยวนซื่อมองรถม้าของโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง เอ่ยกับชิวซื่ออย่างไม่เห็นด้วยว่า “พวกเราคน ใดที่มิใช่แต่งเข้ามาไม่กี่วันสามีก็ไม่อยู่บ้านแล้วบ้าง…”
ชิวซื่อรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้องสะใภ้สี่ยังเด็กนี่เจ้าคะ!” “ตอนนั้นพวกเราก็อายุมากกว่านางเพียงไม่กี่ปีหรอกกระมัง” หยวนซื่อเอ่ยอย่างเย็นชา เผยความไม่พอใจออกมาให้เห็นเล็กน้อย
ชิวซื่อไม่กล่าวอะไรอีก
หยวนซื่อแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ นางและชิวซื่อเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันมานานหลายปี แต่นางไม่เคยได้ยินคําพูดว่าใคร ไม่ดีออกมาจากปากของนางเลยแม้แต่ประโยคเดียว เห็นได้ชัดว่านางระแวดระวังตัวกับตนมากเพียงไร! น้องสะใภ้เช่นนี้ ไปมาหาสู่กันให้น้อยเข้าไว้จะดีกว่า! หยวนซื่อคิดพร้อมกับหมุนกายขึ้นรถม้าของตัวเองไป ชิวซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง ตัดสินใจว่ารีบย้ายออกไปให้เร็วจะดีกว่า
นี่น้องสะใภ้สี่เพิ่งแต่งเข้ามาเอง เกรงว่าต่อไปยังมีเวลาให้มีเรื่องวุ่นวายกันอีกมากเป็นแน่
แค่ตอนนี้นางก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว หากรอให้ถึงตอนนั้น นางจะต้องถูกบีบให้อยู่ตรง กลางระหว่างทั้งสองฝั่งจนมิใช่คนแล้วเป็นแน่