ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 479 เดินทางกลับ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อโจวเสาจิ่นลืมตาตื่นขึ้น ข้างหมอนก็ไม่มีร่องรอยของเฉิงฉือแล้ว
ร่างกายนางอบอุ่น ไม่อยากขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ชุนหว่านที่เฝ้าเวรยามอยู่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เดินเข้ามา ช่วยม้วนผ้าม่านเตียงให้นาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสางนายท่านสี่ก็ถูกนายท่านเรียกตัวไปแล้ว บอกว่าต้องการไปดู การไถนาที่หมู่บ้านนอกเมือง นายท่านสี่มิให้พวกข้าปลุกท่าน บอกว่าท่านตื่นเมื่อไร พวกข้าค่อย มาช่วยท่านล้างหน้าล้างตาเมื่อนั้นเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืน หน้าแดงเล็กน้อย ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มไปหลาย ครั้งถึงได้ลุกขึ้นมานั่ง ปล่อยให้ชุนหว่านและอีกสองสามคนช่วยนางเปลี่ยนอาภรณ์
สาวใช้ของหลี่ซื่อเข้ามาเชิญนางไปรับประทานอาหารเช้า กล่าวว่า “ฮูหยินเอาแต่รอ คุณหนูรองเจ้าค่ะ!”
พรุ่งนี้พวกเขาก็ต้องกลับจิงเฉิงแล้ว เกรงว่าฮูหยินคงมีเรื่องอะไรต้องการกําชับนางกระมัง
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ให้ชุนหว่านเกล้าผมให้นางอย่างง่ายๆ มวยหนึ่ง หาปิ่นดอกไม้ปะการัง สีแดงชิ้นหนึ่งจากหีบสมบัติมาสวมแล้วไปหาหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อมีเรื่องจะคุยกับนางตามคาดจริงๆ “…ท่านลุงตระกูลหลี่ของเจ้าส่งสุราเข้าไปในวัง หลวงหนึ่งชุด ไม่ถึงสองวันสํานักพระราชวังก็สรุปบัญชีมาให้เรียบร้อยแล้ว ยังสั่งจองสุราเพิ่มอีกสี่ ชุดในคราวเดียวอีกด้วย ท่านลุงตระกูลหลี่ของเจ้าบอกว่า ต่อให้เป็นการทําการค้ากับทางการก็ไม่ เคยรวดเร็วขนาดนี้ โดยมากคงเพราะเห็นแก่หน้าของบุตรเขยรอง แต่เรื่องนํ้าใจก็ส่วนนํ้าใจ การค้าก็ส่วนการค้า ผู้อื่นให้เกียรติไว้หน้า หากพวกเราไม่รู้จักแม้แต่คําขอบคุณ เวลาผ่านไปนาน วันเข้า นํ้าใจนี้ก็จืดจางลงได้ ความหมายของท่านลุงตระกูลหลี่ของเจ้าก็คือ เห็นว่าใกล้ปีใหม่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งของขวัญปีใหม่ไปให้คนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สํานักพระราชวังสักหน่อย ที่ สํานักอาหารและเครื่องดื่มนั้นยังดีหน่อย เขาออกหน้าเองก็ได้แล้ว แต่คนที่อยู่สูงกว่านั้น เกรงว่า คงต้องรบกวนบุตรเขยรองช่วยเหลือแล้ว” ขณะที่นางกล่าว ก็หยิบกล่องเล็กๆ หนึ่งออกมา “ในนี้มี เงินสองหมื่นเหลี่ยง เจ้าช่วยนําไปมอบให้บุตรเขยรองที หากว่าไม่พอ ขอให้บุตรเขยรองช่วยออก ให้ไปก่อน รอให้ท่านลุงตระกูลหลี่ของเจ้าได้เข้าเมืองหลวงแล้วค่อยเอาไปชดใช้ให้บุตรเขยรองอีก ที”
สองหมื่นเหลี่ยง? มอบให้เฉิงฉือ?
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่อาจรับเงินนี้ไว้ได้เจ้าค่ะ ท่านเก็บกลับไป เถิด! การช่วยเหลือกันระหว่างญาติพี่น้อง ไม่มีเหตุผลให้ต้องรับเงินทอง ท่านลุงตระกูลหลี่ทํา การค้ากับสํานักอาหารและเครื่องดื่มต่อไปได้ นั่นก็เพราะว่าสุราของท่านลุงตระกูลหลี่เป็นสุราดี นายท่านสี่ก็เป็นเพียงคนกลางเชื่อมสะพานให้ครั้งหนึ่งเท่านั้น”
หลี่ซื่อคิดว่านางไม่เข้าใจ จึงกล่าวขึ้นว่า “เด็กโง่ ให้เจ้าเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ ใต้โลกหล้านี้มี สุราชั้นดีมากมาย เหตุใดถึงเป็นสุราของท่านลุงตระกูลหลี่ของเจ้าที่ได้ส่งเข้าวังหลวงด้วยเล่า นอกจากนี้ต่อให้ไม่มีเงินจํานวนนี้ของพวกข้าบุตรเขยก็ต้องไปมาหาสู่กับคนเหล่านั้นอยู่ดี มีเงิน จํานวนนี้ของพวกข้ารวมเข้าไปด้วย บุตรเขยรองก็จะได้ใช้จ่ายเงินได้คล่องมือยิ่งขึ้น ล้วนเป็นผลดี ต่อทั้งสองฝ่ าย เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าใจเล่า! ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าเอาไปหารือกับบุตรเขยรองดูก่อนจะ ดีกว่า!”
กล่าวคือเมื่อพวกเขามีเงินจํานวนนี้ พวกเขาก็จะได้ประหยัดเงินสําหรับซื้อของขวัญให้คน ในสํานักพระราชวังเหล่านั้นได้
“เรื่องนี้ไม่ต้องหารือกับเขาหรอกเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นยืนกรานไม่รับ “นายท่านสี่ย่อมไม่รับ อย่างแน่นอน”
เดิมทีแล้วเป็นการช่วยเหลือกันในหมู่ญาติพี่น้อง หากรับเงินมาก็สลัดมือทิ้งไม่ได้แล้ว นางเชื่อว่าที่เฉิงฉือยอมช่วยเหลือตระกูลหลี่นั้นมิใช่เพราะเห็นแก่เงินจํานวนเล็กน้อยนี้อย่าง แน่นอน
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับเงินมา
หลี่ซื่อทําอะไรไม่ได้ จําต้องยอมแพ้ไปชั่วคราวก่อน ครุ่นคิดว่าค่อยหาโอกาสนําเงินไป มอบให้เฉิงฉือก็ยังไม่สาย
ด้านนอกมีสาวใช้เด็กวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา กล่าวว่า “ฮูหยิน กูไหน่ไนรอง ขุนนาง ใหญ่ซ่งที่จิงเฉิงส่งคนมาตามหาบุตรเขยรอง บอกว่าเป็นเรื่องด่วน ให้พวกเราเร่งไปตามบุตรเขย รองกลับมาเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อต่างมองหน้ากัน
หลี่ซื่อรีบกล่าวขึ้นว่า “รีบเข้า รีบไปเชิญผู้ช่วยของนายท่านเข้ามาให้รับการรับรองคนที่ขุน นางใหญ่ซ่งส่งมา แล้วก็ให้คนของที่ว่าการรีบไปเชิญตัวบุตรเขยรองกลับมาด้วย” แล้วก็สั่งการให้ สาวใช้คนสนิทไปปรนนิบัติให้การรับรองแขกที่ห้องโถง
หมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การดูแลของเมืองเป่าติ้งแห่งนี้มีมากมาย คนในเรือนชั้นในจึงไม่รู้ว่า พวกเขาไปที่ใดกันแน่!
สาวใช้ไปยังด้านหน้าของที่ว่าการอย่างรีบร้อน
“คนของขุนนางใหญ่ซ่งมาหาบุตรเขยรองมีเรื่องอันใดกัน” หลี่ซื่อพึมพํากล่าว
โจวเสาจิ่นกลับบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
เฉิงฉือกลับบ้านเดิมเป็นเพื่อนนาง ขุนนางใหญ่ซ่งทราบเรื่องดี มีเรื่องด่วนอะไรถึงกับต้อง ส่งคนมาตามถึงเมืองเป่าติ้งด้วย
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เมืองจี่หนิง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ควรจะเป็นเฉิงจิงที่ส่งคนมาตามตัวเฉิงฉือถึงจะถูก เหตุใดถึงเป็น ขุนนางใหญ่ซ่งที่ส่งคนมาตามหาเขาด้วย?
โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อนั่งรอข่าวคราวอยู่ตรงนั้นด้วยความร้อนใจ
ไม่นาน สาวใช้คนสนิทของหลี่ซื่อก็กลับมารายงาน นางกล่าว “ไม่ว่าท่านผู้ช่วยจะ สอบถามอย่างไร คนของขุนนางใหญ่ซ่งก็ไม่ยอมปริปาก บอกเพียงว่าต้องการพบบุตรเขยรอง รอ ให้ได้พบบุตรเขยรองแล้วจะเข้าใจเองเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อรีบถามขึ้นว่า “แล้วคนที่ส่งไปตามหาบุตรเขยรองมีข่าวคราวอะไรมาบ้างหรือยัง”
สาวใช้ผู้นั้นส่ายศีรษะ “เห็นบอกว่าใต้เท้ารองเจ้าเมืองพาคนไปตามหาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ …”
อาจเป็นเพราะคนที่มาตามหาเฉิงฉือเป็นคนที่ขุนนางใหญ่ซ่งส่งมากระมัง
โจวเสาจิ่นกําลังครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “ฮูหยินเจ้าคะฮูหยิน นายท่านและบุตรเขยรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทุกคนต่างพากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลี่ซื่อรีบสั่งการสาวใช้ผู้นั้นว่า “รีบยกนํ้าชาไปที่ห้องโถงเร็วเข้า!”
ความหมายก็คือให้สาวใช้ผู้นั้นไปฟังว่าขุนนางใหญ่ซ่งมีธุระอะไรกับเฉิงฉือนั่นเอง
สาวใช้รีบสาวเท้ายาวๆ ออกไปที่ห้องโถงอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อจึงนั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างกระวนกระวายอีกครั้งหนึ่ง
ไม่นาน สาวใช้ผู้นั้นก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วดุจควันสายหนึ่ง กล่าวว่า “คนของขุนนาง ใหญ่ซ่งขอใช้ห้องหนังสือของนายท่านเป็นสถานที่พูดคุยกับบุตรเขยรอง แม้แต่นายท่านก็ยังรออยู่ ด้านนอกห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นแลกเปลี่ยนสายตาหวาดกลัวกับหลี่ซื่อครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ โจวเสาจิ่นไหน เลยจะนั่งนิ่งๆ อยู่ได้อีก ลุกขึ้นมุ่งหน้าเดินออกไปด้านนอก “ข้าต้องไปดูสักหน่อยเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อและสาวใช้ผู้นั้นรีบตามไป
คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือ
หลี่ฉางกุ้ยคนติดตามของโจวเจิ้นเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ แล้วก็ ตกใจเป็นอย่างยิ่ง กําลังจะไปรายงานให้โจวเจิ้นทราบ ประตูห้องหนังสือก็เปิดออกเสียงดังเอี๊ยด
สายตาของหลายๆ คนต่างหันมองไปที่ประตูห้องหนังสืออย่างห้ามไม่อยู่
เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งและเฉิงฉือเดินเรียงหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งออกมาจากห้อง หนังสือ
สีหน้าของทั้งสองคนเคร่งขรึมยิ่งนัก บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่หันไปโค้งทําความ เคารพเฉิงฉือพลางกล่าว “พี่ชายจื่อชวน เช่นนั้นข้าจะไปรายงานขุนนางใหญ่ซ่งตามที่ท่านบอก มา”
เฉิงฉือพยักหน้า มิได้กล่าวคําใด
บุรุษผู้นั้นทําความเคารพโจวเจิ้นและผู้ช่วยของโจวเจิ้นที่รออยู่ด้านนอกครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้น ว่า “ข้ายังต้องเร่งเดินทางกลับทั้งคืน จึงไม่รบกวนใต้เท้าโจวแล้ว หากมีตรงไหนที่เสียมารยาท ขอ ใต้เท้าโจวได้โปรดอภัยให้ด้วย วันใดใต้เท้าโจวกลับไปส่งรายงานที่จิงเฉิง ข้าค่อยเชิญท่านไปรํ่า สุรานะขอรับ”
โจวเจิ้นหันไปประสานมือโค้งให้บุรุษผู้นั้น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอบคุณมากๆ! ในเมื่อเถียน เซียนเซิงมีธุระ ข้าก็จะไม่รั้งท่านเอาไว้แล้ว วันไหนมีเวลาว่างก็มาเที่ยวเมืองเป่าติ้งได้ แม้นเมือง เป่าติ้งจะเทียบกับจิงเฉิงไม่ได้ แต่ก็มีสถานที่ที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวหลายที่เลยทีเดียว”
“ไม่เลยขอรับๆ!”
ทั้งสองคนพูดคุยกันตามมารยาทครู่หนึ่ง จากนั้นเฉิงฉือส่งเถียนเซียนเซิงผู้นั้นออกจาก ประตูไป
โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อรีบหลบไปอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ กระทั่งเถียนเซียนเซิงผู้ นั้นจากไปแล้วถึงได้เดินออกมาจากหลังต้นไม้
เฉิงฉือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงหันกลับมาเห็นโจวเสาจิ่น
ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมของเขาพลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาก็เจือรอยยิ้ม เอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาได้อย่างไร เป็นเพราะได้ยินว่าใต้เท้าซ่งส่งคนมาตามหาข้าอย่างนั้น หรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เพียงแต่ไม่รอให้นางได้เอ่ยปากกล่าว เขาก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “มิใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร มี คนงานทะเลาะเบาะแว้งกัน ทําให้เกิดการปะทะขึ้นของคนสองหมู่บ้าน ถึงแม้จะไม่มีคนเสียชีวิต ทว่าไม่อาจซ่อมแซมเขื่อนกั้นนํ้าได้แล้ว มีใต้เท้าชราที่เกษียณอยู่บ้านผู้หนึ่งไปฟ้องร้องใต้เท้าห
ยางที่ศาลต้าหลี่ องค์ฮ่องเต้ทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง มอบหมายให้กรมตรวจตราเข้าไปตรวจสอบ ใต้ เท้าซ่งให้ข้ารีบออกเดินทางกลับไปที่จี่หนิง เพราะเกรงว่าเมื่อกรมตรวจตราไปถึงแล้วจะเรียกทุก คนไปสอบถามด้วยกันทั้งหมด”
ถึงแม้เฉิงฉือจะขอลาหยุดแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังทํางานอยู่ที่จวนข้าหลวงฝ่ายจัดการนํ้า อยู่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยอยู่ดี
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ร้อนใจขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านรีบกลับจี่หนิงไปเถิด! ข้า กลับจิงเฉิงคนเดียวได้ คราวก่อนมิใช่ว่าฉินหยางคุ้มกันมาส่งข้าถึงเป่าติ้งหรอกหรือ ครั้งนี้เขาย่อม ส่งข้ากลับจิงเฉิงไปได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ตอนที่เดินทางกลับบ้านเดิมนี้นางถึงได้รู้ว่า ฉินหยางคนที่คุ้มกันนางจากจินหลิงจนถึง เป่ าติ้งผู้นั้นความจริงแล้วเป็นคนของเฉิงฉือ หลังจากที่เฉิงฉือเข้าไปอยู่บ้านที่ประตูเฉาหยางแล้ว ฉินหยางก็กลายมาเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันของบ้านที่ประตูเฉาหยาง
เฉิงฉือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด กล่าวขึ้นว่า “ได้! เช่นนั้นก็ให้ ฉินหยางส่งเจ้ากลับไป ข้าจะออกเดินทางไปจี่หนิงเดี๋ยวนี้เลย”
โจวเจิ้นมองบุตรสาว อยากจะกล่าวอะไรแต่ก็หยุดไป
เฉิงฉือจึงหมุนกายกลับไป หันหลังให้โจวเสาจิ่นขณะที่หันไปส่งสายตาให้โจวเจิ้นครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับโจวเสาจิ่นที่ทิ้งความสนใจทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเขาทําให้นางไม่ทันได้สังเกตเห็น ความผิดปกติของโจวเจิ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ากลับไปเก็บเสื้อผ้าให้ข้าสักสองสามชุด หลังจากรับมื้อ เที่ยงเสร็จแล้วข้าจะออกเดินทางเลย”
เวลานี้ห่างจากเวลารับประทานมื้อเที่ยงไม่ถึงสองเค่อแล้ว ยังต้องเก็บหีบสัมภาระให้เฉิง ฉืออีก…
โจวเสาจิ่นร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง แล้วรีบร้อนกลับไปที่เรือน โจวเจิ้นกดเสียงลงตํ่า ถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เฉิงฉือหันไปมองรอบๆ เห็นหลี่ฉางกุ้ยและผู้ช่วยผู้นั้นล้วนยืนอยู่ไกลๆ ถึงได้กระซิบกล่าว เสียงเบาว่า “หยางโซ่วซานกดขี่ข้อเรียกร้องของแรงงาน อีกทั้งยังฉ้อฉลเรื่องอาหารและที่พักของ แรงงาน หลายวันก่อนมีหิมะตกหนัก ทําให้มีคนหนาวจนแข็งตาย เป็นเหตุให้เกิดการจลาจลขึ้น รองเจ้าเมืองเสียชีวิตไปหนึ่งคน ตอนนี้ทางราชสํานักยังไม่ทราบเรื่อง ขุนนางใหญ่ซ่งอยากจะปิด เรื่องนี้ไว้สักสองสามวัน ให้ข้าเร่งเดินทางไป คิดหาวิธีทําให้ฝูงชนสงบลง เมื่อข่าวคราวแพร่ไปถึง ราชสํานักแล้ว ก็จะได้มีคําอธิบายให้องค์ฮ่องเต้ได้สักข้อหนึ่ง”
โจวเจิ้นกลับสูดอากาศเย็นๆ เข้าไปลมหายใจหนึ่ง “รองเจ้าเมืองเสียชีวิตไปหนึ่งคนอย่าง นั้นหรือ”
รองเจ้าเมืองนั้นยศขั้นห้าบน ในกรมขุนนางก็ถือได้ว่าเป็นคนที่ตรวจรายชื่อคนมาประชุม เช้าได้แล้ว
ตอนนี้คนจากไปแล้ว เกรงว่าจะก่อให้เกิดการจลาจลใหญ่ขึ้นได้ เฉิงฉือเปล่งเสียง “อืม” เสียงหนึ่ง โจวเจิ้นถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าไปจะไม่เป็นไรหรือ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านวางใจเถิด เมื่อก่อนที่ข้าช่วยดูแลกิจการให้ตระกูลนั้นก็ต้อง คอยจัดการเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ตลอดทุกเมื่อเชื่อวันเช่นกัน” โจวเจิ้นเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
ขุนนางใหญ่ซ่งผู้นั้นถึงกับให้คนมาเชิญเฉิงฉือไปเมืองจี่หนิงเพื่อจัดการเรื่องนี้เป็นพิเศษ ต้องเป็นเพราะรู้สึกว่าเฉิงฉือจัดการได้ เป็นเขาเองที่เพลี่ยงพลํ้าวู่วามไปเสียแล้ว
“ข้าต้องขอใช้ห้องหนังสือของท่านสักครู่” เฉิงฉือกล่าว “ข้ากลับบ้านเดิมมาพร้อมเสาจิ่น ทว่ากลับปล่อยให้เส่าจิ่นกลับไปเพียงลําพัง หากตกไปอยู่ในสายตาของคนที่มีเจตนาร้าย เกรงว่า จะดูถูกดูแคลนนางได้ ข้าต้องเขียนจดหมายไปให้ท่านแม่ของข้าสักฉบับ ให้นางและพี่สะใภ้ใหญ่ ของข้าไปรับเสาจิ่นกลับบ้านด้วยกัน ยังต้องรบกวนขอใช้ที่ส่งจดหมายของที่ว่าการของท่านเร่งนํา จดหมายไปส่งให้ถึงมือของท่านแม่ของข้าก่อนที่เสาจิ่นจะถึงจิงเฉิงด้วย”
บุตรเขยพิจารณาได้รอบด้านยิ่งนัก
โจวเจิ้นพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ไปส่งเฉิงฉือที่ห้องหนังสือด้วยตัวเอง
เฉิงฉือเขียนจดหมายเสร็จแล้วก็รีบกลับไปที่เรือนรับรองแขกในทันที
ความจริงก็เตรียมตัวเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว ข้าวของต่างๆ จึงจัดเก็บไปได้มาก แล้ว โจวเสาจิ่นใช้เวลาไม่นานก็จัดเก็บข้าวของของเฉิงฉือเสร็จเรียบร้อย
เฉิงฉือไล่ข้ารับใช้ในห้องออกไป กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ในอ้อมแขน กล่าวอย่างรู้สึกผิดและ เสียใจว่า “เสาจิ่น คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองจี่หนิง…”
โจวเสาจิ่นไม่อยากให้เฉิงฉือกล่าวขอโทษนางด้วยเรื่องพวกนี้
ไม่รอให้เขาพูดจบ นางก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “ท่านไปทํางาน มิได้ไปเที่ยวเล่น ขอเพียง ท่านเดินทางอย่างระมัดระวัง หากว่าราชสํานักต้องการลงโทษก็ไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างมาก พวกเราก็แค่ไม่ต้องเป็นขุนนางก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”