ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 476 พบโดยบังเอิญ
แต่ต่อให้หยวนซื่อไม่ยินยอมแล้วจะทําอะไรได้
คําพูดของเฉิงจิงก็ได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่า ที่แม่สามีไม่ยอมแบ่งให้นางมากกว่า มิใช่ เพราะแม่สามีลําเอียง แต่เพราะนางไม่มีความสามารถ ไม่อาจทําให้แม่สามีโปรดปรานได้
นางโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม
เงินส่วนตัวของแม่สามี อยากแบ่งให้ผู้ใดก็แบ่งให้ผู้นั้น อยากแบ่งให้ผู้ใดเท่าไรก็แบ่งให้ เท่านั้น แม้นนางจะรู้สึกอิจฉาบ้างเล็กน้อย ทว่าก็มิได้รู้สึกว่าที่แม่สามีทําเช่นนั้นมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่นางสนใจคือวิธีการของแม่สามีต่างหาก บุตรสะใภ้ทั้งสามคน ทั้งที่นางเป็นสะใภ้ใหญ่ อีก ทั้งเป็นสะใภ้เอกของตระกูล จะแยกบ้านแต่ไม่เรียกนางไปปรึกษาหารือ กลับเรียกชิวซื่อน้องสะใภ้ รองไปหารือก่อน แม้แต่คนที่มิได้มีสถานะสูงส่งอย่างโจวเสาจิ่น ก็ถูกเรียกตัวไปถามไถ่ด้วยเช่นกัน รอให้ถึงตอนที่แม่สามีเอ่ยถึงเรื่องแยกบ้านอย่างเป็นทางการขึ้นมา ชิวซื่อและโจวเสาจิ่นต่างได้รับ ในสิ่งที่พวกนางอยากได้กันไปหมดแล้ว แน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียวอยู่ แล้ว สองต่อหนึ่ง ถึงเวลาจะแยกบ้านกันอย่างไรนั้น ก็ต้องแล้วแต่ความเห็นของแม่สามีแล้ว
สามีอุตส่าห์กล่าวอย่างมั่นใจว่าแม่สามีมีนิสัยยุติธรรม มิใช่คนที่ชอบคิดบัญชีผู้อื่นลับ หลังประเภทนั้น นี่มิใช่การคิดบัญชีอีกหรือ
หากจะกล่าวโทษ คงต้องโทษที่แม่สามีเสแสร้งเก่งเกินไป ภาพลักษณ์ที่เรียกว่ายุติธรรม และตรงไปตรงมาช่างฝังแน่นอยู่ในใจผู้คนยิ่งนัก แม้แต่บุตรชายของนางเองก็เชื่อสนิทใจ
หยวนซื่อไม่กล่าวอะไรไปกว่าครู่ใหญ่
เฉิงจิงเองก็มิได้พูดเรื่องนี้ต่อ หากพูดเรื่องนี้ต่อไป พวกเขามีแต่จะทะเลาะกันเท่านั้น
4425
เขาลอบถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “วันนี้เจ้าสี่เขากลับไปเยี่ยมบ้าน เดิม เจ้าได้ไปส่งพวกเขาหรือไม่”
หยวนซื่อลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ในใจของนางนั้น โจวเสาจิ่นก็เป็นเพียงเด็กน่าสงสารที่จากบ้านมาอยู่ที่ตระกูลเฉิงของ พวกเขา เด็กสาวไร้เดียงสาที่ยามไม่มีอะไรทําก็จมจ่อมอยู่กับความเสียใจกับการจากไปของฤดู ใบไม้ผลิและการมาถึงของฤดูใบไม้ร่วง ฝันกลางวันโดยไม่รู้จักขอบเขตผู้หนึ่งเท่านั้น ต่อให้นางจะ โชคดีบังเอิญได้แต่งงานกับเฉิงฉือ ก็ยังไม่ได้ดีพอจะเอามาอวดอ้างเป็นหน้าเป็นตาได้ นางจะเอา โจวเสาจิ่นมาอยู่ในสายตาได้อย่างไร และจะเก็บเอาเรื่องของนางมาใส่ใจได้อย่างไร
แค่มองเฉิงจิงก็รู้ว่านางลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
สีหน้าของเขาพลันดูไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าต้นไม้จะกลายเป็น ผืนป่าได้ เมื่อก่อนเจ้าจะโวยวายอย่างไร นั่นก็ทําเพื่อจวนหลัก เพื่อเจียซ่าน ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่าง ยิ่ง แต่ตอนนี้พวกเรากับจวนรองแยกตระกูลกันแล้ว ตระกูลเฉิงที่จิงเฉิงก็คือครอบครัวเดียวกัน บางเรื่องเจ้าก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วน หากไม่มีตระกูลเฉิง ตระกูลหยวนก็ดีหรือตระกูลฟางก็ดี เกรงว่าก็ คงจะไม่เกรงใจพวกเราขนาดนั้น ผู้ใดคือญาติสนิทผู้ใดคือคนเหินห่าง ผู้ใดใกล้ผู้ใดไกล ในใจเจ้า ควรจะมีตาชั่งอยู่แล้วถึงจะถูก”
หยวนซื่อสีหน้าเปลี่ยน เอ่ยขึ้นว่า “นี่ท่านหมายความอย่างไร” ด้วยนํ้าเสียงแหลมสูง
เฉิงจิงขมวดคิ้วมุ่น พลางกล่าว “เจ้าฉลาดเพียงนั้น ไม่น่าจะไม่รู้ว่าข้ากําลังพูดอะไรอยู่”
บิดาสอนเขามาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ แล้วว่า ไม่ควรใส่ไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกันถึงจะ ปลอดภัย
4426
ไม่ว่าเฉิงจิงจะชอบหรือไม่ชอบที่เฉิงฉือใกล้ชิดกับซ่งจิ่งหรานมากเกินไปก็ตาม แต่ถ้าหาก ว่าเฉิงฉือได้รับความโปรดปรานจากซ่งจิ่งหรานได้จริงๆ เขาก็จะมีอํานาจต่อรองกับตระกูลหยวน มากยิ่งขึ้น สําหรับเขาแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี
บางครั้งหยวนซื่อก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้!
เขาถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าก็ไปที่ประตูเฉาหยาง สักครั้ง ไปอธิบายกับท่านแม่สักหน่อย ท่านแม่จะได้ไม่คิดว่าเจ้านิ่งดูดายน้องสะใภ้สาม อีกสอง วันบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมขุนนางหวังเจี่ยนจะแต่งงาน พวกข้าหลายคนปรึกษากันว่าจะไป กล่าวแสดงความยินดีแก่เขาสักครั้งหนึ่ง เย็นวันนี้จึงไม่กลับมารับประทานมื้อเย็นแล้ว”
หยวนซื่อเม้มปากแน่นไปส่งเฉิงจิงที่ประตู
เมื่อกลับมาแม่นมของหยวนซื่อจึงเกลี้ยกล่อมนางว่า “หลายปีมานี้นายท่านเองก็ไม่ง่าย เลย ข้างกายไม่มีคนคอยปรนนิบัติเลยสักคน ฮูหยินเจ้าคะบางครั้งเวลาที่ควรอ่อนโยนก็ควรจะ อ่อนโยน รอให้บุตรสะใภ้แต่งเข้ามาแล้ว นายท่านให้เกียรติท่าน ท่านเองก็มีหน้ามีตามิใช่หรือ นึก ถึงตอนแรกๆ นายท่านผู้เฒ่าให้เกียรติฮูหยินผู้เฒ่ามากมายเพียงไร!”
เพราะฉะนั้นพวกเขาที่เป็นบุตรชายและบุตรสะใภ้เหล่านี้จึงไม่มีใครกล้าละเลยฮูหยินผู้ เฒ่ากัวเลยสักคน
หยวนซื่อทอดถอนหายใจ ยิ้มขื่นพลางกล่าว “ทําไมข้าจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าห้ามอารมณ์ที่ อยู่ในใจนี้ไม่ได้” ขณะที่นางกล่าวก็หยุดฝีเท้าลงคล้ายกับนึกบางอย่างได้ กล่าวขึ้นว่า “ไปกัน พวก เราไปเยี่ยมน้องสะใภ้รองกันสักหน่อยเถอะ”
แม่นมของหยวนซื่ออยากจะห้ามปรามหยวนซื่อ แต่หยวนซื่อเดินไปยังลานด้านหลังแล้ว นางได้แต่กลืนคําห้ามปรามเหล่านั้นลงไป
4427
สาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ภายในเรือนของชิวซื่อกลับกล่าวว่า “ฮูหยินรองไปประตูเฉาหยาง ทางด้านโน้น บอกว่านายท่านสี่และฮูหยินสี่กลับบ้านเดิมกันวันนี้เจ้าค่ะ”
หยวนซื่อถาม “ตอนนี้ยังไม่กลับมาอีกหรือ” สาวใช้เด็กส่ายศีรษะ
ตกเย็น หยวนซื่อให้คนไปสอบถามอีกครั้ง คนที่กลับมารายงานว่า “ฮูหยินรองให้คนนํา จดหมายกลับมาแจ้งว่าทั้งนายท่านสี่และฮูหยินสี่ล้วนไม่อยู่บ้าน กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่มีคน คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ฮูหยินรองจึงพาคุณชายรองรั่งไปอยู่ที่โน่นสักสองสามวัน รอให้นาย ท่านสี่และฮูหยินสี่กลับมาแล้วนางค่อยกลับบ้านเจ้าค่ะ” นัยน์ตาของหยวนซื่อปรากฏความดูแคลนออกมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสัญญาอะไรกับนางเอาไว้บ้าง ถึงได้เกาะเอาไว้แน่นเสียจริง!
นางสั่งพวกบ่าวไพร่ไปจุดตะเกียงอย่างดูแคลน ให้ในครัวเก็บอาหารมื้อดึกเอาไว้รอเฉิงจิ งกลับมา
เมื่อก่อนโจวเสาจิ่นกลัวการเดินทางออกจากบ้านเป็นที่สุด รถม้ากระแทกกระทั้นจน กระดูกจวนจะแตกหักหมดแล้ว
ทว่าการเดินทางออกจากบ้านในครั้งนี้รถม้ากลับวิ่งอย่างราบเรียบยิ่ง นางอดร้อง “เอ๋” เสียงหนึ่งไม่ได้ แอบเลิกผ้าม่านขึ้นมองออกไป เฉิงฉือกําลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ทว่าราวกับบนหน้าผากมีดวงตาอีกดวงงอกขึ้นมาก็ไม่ ปาน เพียงนางขยับตัวเขาก็รู้แล้ว ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยก็ยื่นมือออกไปคว้าตัวนางเข้ามาอยู่ในอ้อม
4428
กอด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องดูแล้ว คนขับรถม้าคือไหวซาน เขาเป็นคนเป่ยเจียง ยังเดินไม่ได้ก็เรียน ขี่ม้าเป็นก่อนแล้ว” โจวเสาจิ่นคล้ายกับกลิ้งเข้าไปอยู่ในก้อนสําลี ทั้งนุ่มและอุ่น ยังเจือลมหายใจสะอาดของ เฉิงฉือเอาไว้อีกด้วย นางซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างคนโลภมากเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เป็น เช่นนั้น เขาก็ต้องเป็นหนึ่งในคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเป็นแน่” เฉิงฉือหัวเราะร่า กล่าวว่า “คํากล่าวของเจ้านี้นับว่าไม่ผิด” ไหวซานที่ขับรถม้าอยู่เผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา เฉิงฉือจึงหยิบเม็ดหมากที่ติดกับกระดานหมากได้ออกมาถามนางว่า “เจ้าอยากเล่น หมากกับข้าสักสองสามกระดานหรือไม่” “ไม่อยากเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย” บางคนเมาเรือ บางคนเมารถม้า กระทั่งมีบางคนที่เมาเกี้ยว เฉิงฉือจึงปิดตาของนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “หลับตาลงพักผ่อนครู่หนึ่ง ถึงจุดพักม้าแล้วข้า ค่อยเรียกเจ้า” ตลอดการเดินทางครั้งนี้พวกเขาล้วนพักที่จุดพักม้าทั้งสิ้น ซึ่งสะดวกกว่า โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ปรากฏว่าหลับไปอย่างโงนเงนจริงๆ เฉิงฉือหลุดยิ้มออกมา จูบหน้าผากนางเบาๆ
วันนั้นอย่างไรนางก็อยากให้เขารักนาง เจ็บจนหน้าซีดเผือด เหงื่อชุ่มไปทั้งศีรษะก็ไม่ปริ ปากร้องสักคํา เขาเองก็รู้เจตนาของนางดี ดังนั้นถึงได้กวนนางไม่หยุดเช่นนี้ ด้วยหวังว่านางจะไม่
4429
ต้องคิดมากเกี่ยวความทรงจําอันเลวร้ายของชาติก่อนเหล่านั้นอีก ให้ร่องรอยของเขาฝังแน่นอยู่ใน ความทรงจําของนางแทน แต่เขาก็เห็นความเหน็ดเหนื่อยและความยากลําบากของนางช่วงหลาย วันมานี้เช่นกัน จึงใช้โอกาสตอนเดินทางนี้ให้นางได้พักผ่อนดีๆ หวังว่าหลังจากที่กลับจิงเฉิงแล้ว นางจะลืมความเจ็บปวดเหล่านั้นในชาติก่อนไปได้
นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เฉิงฉือก็จูบหน้าผากของโจวเสาจิ่นเบาๆ อีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าการนอนหลับครั้งนี้ช่างสบายยิ่ง กระทั่งนางลืมตาขึ้น ตอนที่เห็น ผ้าม่านเตียงสีขาวที่ถึงแม้จะเรียบง่ายธรรมดาทว่าก็สะอาดสะอ้านและเรียบร้อยนั้น กว่าครู่ใหญ่ ถึงจะได้สติคืนกลับมา
“นายท่านสี่ไปไหนแล้ว” นางถามชุนหว่านที่นั่งถักเงื่อนมงคลเฝ้าอยู่ตรงหัวเตียง
ชุนหว่านถึงได้พบว่าโจวเสาจิ่นตื่นแล้ว
นางรีบวางเงื่อนมงคลในมือลง ยิ้มพร้อมกับเดินไปยกชาร้อนมายื่นส่งให้จนถึงมือของ นาง กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่บังเอิญพบกับใต้เท้าท่านหนึ่งที่เมื่อก่อนเคยรู้จักกันตอนที่อยู่ไหวอัน ทั้งสองคนกําลังสนทนากันอยู่ในลานบ้านเจ้าค่ะ” ถามเสียงอ่อนโยนอีกว่า “ฮูหยิน หิวหรือยังเจ้า คะ นายท่านสี่ให้คนไปตุ๋นแม่ไก่ให้ท่านตัวหนึ่ง ฝานมามากําลังเฝ้าดูเตาอยู่ในครัว ข้าจะไปยกมา ให้ท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง รู้สึกเกียจคร้านไม่อยากลุกขึ้น กอดอาภรณ์แล้วเอนกาย พิงอยู่กับหัวเตียง
ชุนหว่านไปที่ห้องครัว เฉิงฉือที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแล้วก็กล่าวตัดบทส่งอีกฝ่ายออกไป แล้วเดินเข้ามา
4430
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงจุดพักม้าแล้วเหตุใดท่านถึงไม่เรียกข้าตื่นเจ้าคะ ท่านรับมื้อ เย็นหรือยัง อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ท่านเองก็ดื่มนํ้าแกงไก่อุ่นคอสักคําดีหรือไม่”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากินมื้อเย็นแล้ว แต่จะดื่มนํ้าแกงเป็นเพื่อนเจ้าสักถ้วยก็แล้วกัน!” โจวเสาจิ่นขานรับอย่างดีใจว่า “เจ้าค่ะ” แต่กลับพบว่าเฉิงฉือดูมีท่าทางใจลอยเล็กน้อย นางถามเขาเสียงอบอุ่นว่า “เป็นอะไรไปเจ้าคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!” เฉิงฉือถอดรองเท้า เอนตัวเบียดกับโจวเสาจิ่น พึมพํากล่าวว่า “คนที่ได้พบเมื่อครู่ผู้นั้น ก่อนนี้เป็นนายอําเภอของเมืองไหวอัน ปัจจุบันดํารงตําแหน่งเป็นเจ้าเมือง ของเมืองอู่ชัง กลับเมืองหลวงไปรับทราบหน้าที่ จากที่เขากล่าวมา เฉิงสือให้พี่ชายร่วมนํ้านมของ เขาเป็นพ่อบ้านใหญ่ของซอยจิ่วหรู ช่วยเขาดูแลกิจการของครอบครัว หลายวันก่อน พี่ชายร่วม นํ้านมของเฉิงสือไปไหวอันครั้งหนึ่ง ไปหว่านเงินวงหนึ่ง คิดจะยื่นมือเข้าไปทําการค้ากับกองทัพ ทั้งเก้า…”
กองทัพทั้งเก้าคือต้าถง จี้โจว เซวียนโจว ไท่หยวนและเมืองยุทธศาสตร์ทางทหารสําคัญ อื่นๆ ทั้งเก้าแห่ง เพื่อแก้ปัญหาเสบียงของทหารแล้ว ราชสํานักจึงกระตุ้นและส่งเสริมให้พ่อค้าใน เจียงหนานส่งเสบียงไปให้โดยแลกเปลี่ยนกับใบอนุญาตค้าเกลือ จากนั้นนําไปเบิกเกลือที่แหล่ง ผลิตเกลือแต่ละที่นําไปค้าขายแลกเปลี่ยนต่อได้ ถือเป็นการค้าขายแลกเปลี่ยนที่ทํากําไรได้มากโข อันหนึ่ง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ “มิใช่ว่ามอบเงินหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงให้พวกเขาแล้วหรอก หรือ ยังมีร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่อีก…เหตุใดพวกเขายังต้องยื่นมือไปทําการค้าเกลืออีกด้วยเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มบางๆ มุมปากแฝงความเย็นชาสายหนึ่งเอาไว้ “ธุรกิจร้านตั๋วแลกเงินทําง่าย ขนาดนั้นเชียวหรือ ปีนั้นนอกจากใช้ชื่อเสียงของซอยจิ่วหรูแล้วข้ายังต้องขอการสนับสนุนจากร้าน
4431
ตั๋วแลกเงิน ‘เว่ยจื่อเฮ่า’ ของตระกูลหลี่ที่เซ่อเซี่ยนถึงจะก่อร่างสร้างร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ขึ้นมาได้ เมื่อไม่มีร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่า และไม่มีข้าแล้ว จํานวนคนที่มาเปลี่ยนตั๋วเงินเป็นเงินเหล่านั้นก็ มากพอจะทําให้จวนรองลําบากได้แล้ว เขาคิดว่าข้าเป็นคนที่เล่นงานได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย กล่าวขึ้นว่า “กล่าวคือ เพราะท่านมิได้เป็น หุ้นส่วนใหญ่ของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่แล้ว ตระกูลหลี่ที่เซ่อเซี่ยนก็ถอนทุนออกไปด้วย ดังนั้นคนที่ ทําการค้ากับร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เหล่านั้นต่างล้วนไม่เชื่อมั่นในตัวจวนรองที่มารับช่วงร้านตั๋วแลก เงินอวี้ไท่ต่อ จึงไม่ให้ความสนใจจะทําการค้ากับร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่อีกใช่หรือไม่เจ้าคะ!”
“ไม่ผิด!” เฉิงฉือกล่าวเนือยๆ “เดิมทีแล้วในคลังเก็บเงินที่ธนาคารของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ ไท่มีเงินอยู่สองแสนเหลี่ยง แต่บนหน้าบัญชีจริงๆ มีเงินอยู่ห้าแสนเหลี่ยง เงินอีกสามแสนเหลี่ยง เก็บเอาไว้ในธนาคารที่อื่นๆ ใช้สําหรับจ่ายตั๋วเงินให้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ สาเหตุที่จวนหลักเจรจา ลดเงินชดเชยกับจวนรองเป็นหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงในตอนนั้นได้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ มอบเงินประมาณสี่แสนเหลี่ยงที่เหลืออยู่ของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ให้พวกเขาไป แต่ตอนนี้คนที่ ฝากเงินไว้กับร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เหล่านั้นต่างนําเอาใบนําฝากมาแลกเป็นเงินสด แต่เงินที่ฝากไว้ กับธนาคารแต่ละแห่งเพื่อจ่ายตั๋วเงินให้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่นั้นกลับเอากลับมาไม่ได้ เพราะ ธนาคารเหล่านั้นไม่มีวันยอมเอาเงินของตัวเองไปแลกเป็นเงินสดให้กับตั๋วเงินที่ออกโดยร้านอวี้ไท่ แต่ร้านอวี้ไท่ก็ไม่อาจเปิดสาขาไปทั่วทุกที่ได้ ครั้นตั๋วเงินที่ออกโดยร้านอวี้ไท่แลกเป็นเงินสดไม่ได้ ธุรกิจของร้านอวี้ไท่ก็คงไปต่อไม่ได้แล้ว”
“ดังนั้น หากอยากเปิดร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ต่อไป” โจวเสาจิ่นกล่าวด้วยดวงตาเป็น ประกายระยิบระยับ “จวนรองก็ต้องเอาเงินสามแสนเหลี่ยงไปให้คนเหล่านั้นแลกเป็นเงินสดไป ก่อน จวนรองเห็นว่า เพิ่งจะได้เงินจํานวนหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงมามือยังไม่ทันอุ่น ผลปรากฏว่า ต้องเอาสามแสนเหลี่ยงออกไปถมงบในบัญชีแล้ว จึงตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน คิดว่าหากยังนั่ง กินจนภูเขาว่างเปล่าเช่นนี้ต่อไป เงินหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงก็คงจะเหลือไม่เท่าไร…” แล้วพรรค
4432
เจ็ดดาราก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากการลักลอบขนส่งเกลือ พวกเขาจึงมีความคิดอยากได้ ใบอนุญาตค้าเกลือขึ้นมา ขณะที่นางกล่าวก็โยกตัวเฉิงฉือเบาๆ กล่าวว่า “คนที่ไปเอาเงินออกมา เหล่านั้นเป็นคนของท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ”