ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 474 ปฏิกิริยา
คําตอบของโจวเสาจิ่นนั้นเป็นไปตามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคาดเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่เมื่อ ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยังคงรู้สึกดีใจมากอยู่ดี
นางตบมือของโจวเสาจิ่นเบาๆ พลางกล่าว “เด็กดี ผู้อื่นเห็นข้าซื้อบ้านหลังใหญ่โตให้พวก เจ้า ก็มองแค่ว่าพวกเจ้าได้รับสิ่งของจากข้ามากมายเพียงใดเท่านั้น ลําบากพวกเจ้าแล้ว แต่เด็ก ทั้งสามคนนี้ เจ้าสี่เก่งเรื่องการจัดการที่สุด ต่อให้มือเปล่าเขาก็สร้างครอบครัวขึ้นมาได้ พี่ชายใหญ่ และพี่ชายรองของเจ้ากลับมิได้มีความสามารถนี้ เจ้าคงคิดว่าข้ามีจิตใจเอนเอียงไปให้พวกเขา สองคนแล้ว”
โจวเสาจิ่นคาดเดาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงไม่คิดว่านางจะรู้เรื่องพรรคเจ็ดดาราแล้ว
แรกเริ่มที่จวนรองเรียกร้องมากขนาดนั้นตอนแยกตระกูลกับจวนหลักนั้น ก็มิใช่เพราะว่า พรรคเจ็ดดาราอยู่ในมือของเฉิงฉือหรอกหรือ
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะแยกบ้าน มองผิวเผินแล้วดูเหมือนกับว่าเฉิงจิงและเฉิงเว่ยจะได้ ผลประโยชน์มากกว่า แต่ความจริงแล้วขอเพียงพรรคเจ็ดดารายังอยู่ในมือของเฉิงฉือ ประตูเฉาห ยางทางด้านนี้ก็จะทําเงินได้อีกมากมายมหาศาลแล้ว
นางรีบกล่าว “ท่านแม่ พวกข้าไม่ลําบากเลยเจ้าค่ะ หลายปีที่ซื่อหลางทําการค้ามานี้ ก็ ได้รับการดูแลจากพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองมาไม่น้อย แบ่งเช่นนี้ถือว่าเที่ยงธรรมแล้วเจ้าค่ะ”
แม้นโจวเสาจิ่นจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องภายนอก แต่นางก็รู้ว่า การที่เฉิงฉือเปิดร้านตั๋วแลก เงินและได้ทํากิจการขนส่งเสบียงให้กองทัพทั้งเก้าได้อย่างราบรื่นในหลายปีก่อนนั้น พี่ชายที่เป็น ขุนนางอยู่ในราชสํานักทั้งสองคนก็ให้ความช่วยเหลือไม่น้อยเช่นกัน
นางกล่าวอย่างจริงใจเป็นที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางเชื่อฟังและรู้ความ ก็พยักหน้าไม่ หยุด พลางกล่าว “หีบสมบัติส่วนใหญ่ของข้าล้วนอยู่ที่นี่ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ในหนึ่งปีสี่ฤดูล้วน ต้องตกแต่งบ้านตามฤดูกาล หากขาดเหลืออะไร เจ้าเพียงไปบอกสื่อมามา ไปเปิดหีบของข้าเอา ออกมาใช้ได้เลย”
นี่คือการชดเชยให้พวกเขาอย่างลับๆ แล้ว
โจวเสาจิ่นขานรับคําอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แต่มิได้คิดจะไปแตะต้องของของฮูหยินผู้ เฒ่ากัวแม้แต่น้อย
จวบจนเฉิงฉือกลับมาถึงบ้าน ตอนที่นางปรนนิบัติเฉิงฉือเปลี่ยนอาภรณ์นั้นก็ได้เล่าเรื่องนี้ ให้เขาฟัง กล่าวอีกว่า “เช่นนั้นต่อไปพรรคเจ็ดดาราก็จะเป็นของท่านเพียงผู้เดียวแล้วใช่หรือไม่เจ้า คะ”
เฉิงฉือและโจวเสาจิ่นยังเป็นคู่แต่งงานใหม่ โจวเสาจิ่นปรนนิบัติเฉิงฉือเปลี่ยนอาภรณ์ ด้วยตัวเอง พวกสาวใช้ย่อมเดินห่างออกไปอยู่ไกลๆ ห้องชั้นในขนาดใหญ่หนึ่งห้องจึงเงียบเชียบมี เพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
หลังจากที่เฉิงฉือเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ดึงโจวเสาจิ่นมากอด และหอมหนึ่งฟอด พลางกล่าว “หากพี่ใหญ่และพี่รองเห็นด้วยกับการแยกบ้าน พรรคเจ็ดดารานั่น ก็จะเป็นของบ้านพวกเราแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่” กล่าวจบ เห็นแก้มขาวของนางอมชมพูดเป็นดอก ท้อ จึงหอมอีกฟอดหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
โจวเสาจิ่นมีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ อีกทั้งพวกเขาสองคนก็เคยทําเรื่องแนบชิดยิ่งกว่านี้ มาแล้ว ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องโวยวาย ปล่อยให้เขาหอมแก้มไป พึมพํากล่าวขึ้นว่า “ข้า ข้ากําลังคิดว่า ในเมื่อเป็นของบ้านพวกเราแล้ว เลิกล้มมันไปหรือไม่ก็ไม่เอามันแล้วได้หรือไม่เจ้า คะ…”
เฉิงฉือตะลึงงัน
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ท่านดูสิเจ้าคะ ท่านมอบของให้ข้ามาตั้งมากมาย ล้วนเป็นสิน เจ้าสาวของข้าทั้งสิ้น ข้ามาคิดคํานวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว น่าจะมีสองถึงสามหมื่นเหลี่ยงได้ หนึ่งปีก็ มีกําไรถึงสองพันกว่าเหลี่ยง ตอนที่ท่านแม่ยังอยู่กับพวกเรานั้น พวกเราไม่เพียงไม่ต้องใช้เงิน แม้แต่แดงเดียว ยังมีเหลือเก็บอีกด้วย นอกจากบ้านใหญ่หลังนี้แล้ว พวกเราก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอย่าง อื่นแล้ว ท่านทําการค้าเป็น ข้าเอาสินเจ้าสาวออกมาให้ท่านเป็นเงินลงทุน พวกเราก็ทําการค้า เล็กๆ น้อยๆ ให้มีชีวิตผ่านพ้นไปได้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ ใต้หล้านี้ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ ทําเงินได้ มากมาย แต่ท่านก็ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลก ข้า ข้ากลัวเจ้าค่ะ…ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน …ท่านอย่าดูแลพรรคเจ็ดดาราอีกเลยได้หรือไม่ แม้นจะบอกว่านั่นเป็นของที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ให้ แต่ในเมื่อนํ้าอุ้มชูเรือได้มันก็จมเรือได้เช่นกัน พวกเราใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างปกติสุขกันดีหรือไม่เจ้า คะ”
ขณะที่นางกล่าว สายตาที่มองเขานั้นเผยแววขอร้องอ้อนวอนออกมาให้เห็นเล็กน้อย อย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือมิได้กล่าวคําใด มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด
โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทางของเขาที่มือถือธนูคันใหญ่ไล่สังหารเซียวเจิ้นไห่ในวันนั้นขึ้นมา… บุรุษล้วนเสียดายมรดกตกทอดเช่นนี้กระมัง
แต่นั่นคือการเอาชีวิตไปต่อสู้ให้ได้มา
นางอยากให้เขาปลอดภัย มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างปกติสุข นางไม่อยากได้เสื้อผ้าอัญ มณี ไม่อยากได้ของที่เขาต้องเอาชีวิตไปแลกมาพวกนั้น
ขอบตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นขึ้นมา
นางกล่าวเสียงเบาว่า “ซื่อหลาง ข้าต้องการเพียงท่านก็พอ ท่านจะได้เป็นขุนนางหรือไม่ จะมีเงินหรือไม่มีก็ได้ทั้งนั้น ไปอยู่ในเรือกสวนไร่นาข้าก็อยู่ได้ ขอเพียงท่านอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยง อันตรายอีก ข้าย่อมจะเป็นห่วงท่าน ข้าต้องไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขทุกคืนวันเป็นแน่…”
รอยยิ้มค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเฉิงฉือ
เขาเป็นคนรูปร่างสูง อีกทั้งยังมีเรี่ยวแรงมาก แค่หมับเดียวก็อุ้มโจวเสาจิ่นขึ้นไปนั่งบนตั่ง ของเตียงเตาได้แล้ว
โจวเสาจิ่นร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เฉิงฉือก้มหน้าลงมา เอาหน้าผากแตะเข้ากับหน้าผากของนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเป็นคน พูดเองนะว่าไม่ต้องการเงินทองต้องการเพียงข้าเท่านั้น ถึงเวลาตอนที่เห็นบุตรของบ้านอื่น แต่งงานแล้วซื้อบ้านให้บ้าง ซื้อที่ดินให้บ้าง เจ้าอย่าได้รู้สึกไม่สบายใจเชียว”
“ไม่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างตั้งใจจริง “ข้ามาจากครอบครัวขนาดเล็ก ใช้เป็นแต่ชีวิตที่เรียบง่ายเท่านั้น การใช้เงินเหมือนสะบัดฝุ่ นเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ” จากนั้นกล่าวอีกว่า “ข้า ข้าจะตั้งใจเรียนรู้การดูแลบ้านเรือนกับท่านแม่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินที่จัดการดูแลบ้านเรือนได้ดีนั้น ปีปีหนึ่งก็ประหยัดเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ต่อไปนางและเฉิงฉือจะต้องพยายามสู้ไปด้วยกัน
เมื่อความคิดวาบผ่าน ในใจของนางก็คล้ายกับเรือที่กางใบเรือขึ้น รู้สึกว่าอนาคตช่าง สดใสยิ่ง
เฉิงฉือหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ได้ ข้าจะคอยดู!”
โจวเสาจิ่นชูกําปั้น กล่าวว่า “ข้าต้องทําได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
4410
อาจเป็นเพราะว่าหาสิ่งที่ตัวเองอยากทําเจอแล้ว โจวเสาจิ่นจึงดูเต็มไปด้วยแรงฮึกเหิม ดวงหน้าเล็กแดงปลั่ง ดวงตาเป็นประกายสุกใส เมื่อเปรียบเทียบกับยามปกติแล้วทั้งร่างดูมี ชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย ให้นางหาอะไรทําสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน! เฉิงฉือขยี้ผมของนาง “ไอ้โหยว!” โจวเสาจิ่นกล่าว “หัวข้ายุ่งหมดแล้วเจ้าค่ะ” “ยุ่งก็เกล้าใหม่ได้!” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ยี่หระ โจวเสาจิ่นหน้าแดง
พวกบ่าวรับใช้เหล่านั้นจะต้องคิดว่านางและเขาทําอะไรกันอีกแล้วเป็นแน่… นางอยากกระโดดลงจากตั่ง ทว่าเท้ากลับกวัดแกว่งอยู่กลางอากาศ ไม่รู้จะทําอย่างไรดี
เฉิงฉือหัวเราะดังลั่น รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นที่เป็นเช่นนี้ช่างน่ารักน่าสนใจยิ่ง จึงยืนอยู่หน้าตั่ง ยกแขนทั้งสองข้างของนางคล้องคอของตนเอาไว้ แล้วก็ยืนคุยกับนางเช่นนั้น “เมื่อก่อนมักจะพรํ่า บ่นว่าพรรคเจ็ดดาราเป็นความยุ่งยากน่ารําคาญอันหนึ่ง ตอนนี้มาคิดๆ ดูอย่างละเอียดแล้ว พวก เขาเองก็เป็นมนุษย์ที่มีบิดามารดาเลี้ยงดูมา เป็นคนที่มีบุตรชายหญิงเหมือนกัน พรรคเจ็ดดารา สร้างรากฐานอยู่ในยุทธภพมานาน หากเลิกไปหรือให้ผู้อื่นเข้ามารับช่วงต่ออย่างกะทันหัน เกรง ว่าจะมีคนต้านทานความเย้ายวนใจไม่ไหว รวมตัวกันขึ้นมาใหม่และก่ออาชญากรรมขึ้นมาได้ ไม่ เพียงไม่อาจบรรลุผลเรื่องล้มเลิกพรรคเจ็ดดารา ยังอาจปลุกเร้าความไม่พอใจของทุกคน เป็นเหตุ ให้เกิดความยุ่งยากมากมายได้ ข้าดูแล้วแทนที่จะวางมือไม่สนใจไปเลย มิสู้ใช้โอกาสที่พวกเรา ต้องการกําลังคนไปตรวจสอบเรื่องขององค์ชายสี่ในครั้งนี้ เหลือทางเดินที่ถูกต้องให้คนที่ยินดีล้าง
4411
ตัวให้ขาวสะอาดได้เดินสักทางหนึ่ง ส่วนคนที่อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยมือจากพรรคเจ็ดดาราได้ เหล่านั้น ก็ให้หาหนทางกันเอาเอง”
“เช่นนั้นก็ดียิ่งเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นอดปรบมือให้เฉิงฉือไม่ได้ พลางกล่าว “เนื่องจากเป็น ศิษย์ของจื้อกง ทําอะไรอย่างตลอดรอดฝั่งเช่นนี้ ถึงจะเป็นวิถีของบัณฑิตเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือจึงหัวเราะพร้อมกับถูกจมูกของนางเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้คงดีใจแล้วกระมัง!” “ดีใจเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นยิ้มจนตาหยี ปล่อยให้เฉิงฉือถูจมูกของนางไป เฉิงฉือหัวเราะดังลั่น
โจวเสาจิ่นเผยสีหน้าลังเลออกมา เฉิงฉือถามยิ้มๆ ว่า “เจ้ายังมีอะไรที่ไม่กล้าพูดกับข้าอีกหรือ” โจวเสาจิ่นขัดเขิน กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเองก็อยากเป็นภรรยาที่ดีคนหนึ่งนี่เจ้าคะ”
“อ้อ!” เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “ไหนลองบอกมาสิว่าภรรยาแบบไหนในสายตาของเจ้า ถึงจะเรียกว่าเป็นภรรยาที่ดี”
“แน่นอนว่าต้องเหมือนกับท่านแม่อยู่แล้ว!” โจวเสาจิ่นตอบโดยไม่ต้องคิด “แล้วก็ยังมีที่ เหมือนกับพี่สาวเช่นนั้นด้วยเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าดูแล้วท่านแม่ของข้าและพี่สาวของเจ้าล้วนมิใช่คนขี้กลัวที่ ข้างหน้าก็กลัวหมาป่าข้างหลังก็กลัวเสือประเภทนั้นเลย!”
โจวเสาจิ่นยู่ปาก พลางกล่าว “แต่อะไรที่ขัดต่อหลักก็ไม่ควรดู คําพูดที่ขัดต่อคุณธรรมก็ไม่ ควรพูด…ข้าเองก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในกฎในระเบียบด้วยถึงจะถูก”
4412
เฉิงฉือจึงมองไปรอบๆ กล่าวขึ้นว่า “ไหนเล่า เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามีช่วงเวลาที่ไม่ดู สิ่งที่ขัดต่อหลัก ไม่พูดคําพูดที่ขัดต่อคุณธรรมเลยเล่า”
โจวเสาจิ่นถูกเย้าหยอกจนหัวเราะร่า ตัวอ่อนยวบอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ทั้งสองคนจูบกันแนบแน่น
เนิ่นนาน จนกระทั่งโจวเสาจิ่นหายใจไม่ออก จึงผลักเฉิงฉือออก เฉิงฉือถึงได้ผละจากริม ฝีปากของนางอย่างอ้อยอิ่ง ให้โอกาสนางได้สูดหายใจ
“เจ้าอยากกล่าวอะไรหรือ” เขาลูบแก้มแดงเรื่อของนาง จูบดวงตากระจ่างใสชุ่มชื้นดุจถูก ชะล้างด้วยนํ้าในฤดูใบไม้ร่วงของนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็จะไม่มีร้านค้านี้อีก แล้วนะ…”
เขาเพียงอยากจะอุ้มนางไปที่เตียงแล้วรักนางอย่างหนักๆ สักครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อคิดถึงร่างกายของนางในตอนนี้แล้ว…เขาก็อดทนเอาไว้
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากถามท่านว่าสือควนมาหาท่านทําไม หรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ายังจําที่ข้าเคยบอกว่าสือควนมีน้องชายร่วมอุทรผู้หนึ่งที่เขาแอบ เอาไปฝากเลี้ยงเอาไว้กับครอบครัวแซ่เจิ้งที่ซอยอีเฉียนนั่นได้หรือไม่ ครอบครัวแซ่เจิ้งนั่นเปิดร้าน ขายข้าวสาร ข้าให้พ่อบ้านเซี่ยงไปมาหาสู่กับครอบครัวแซ่เจิ้งนั่นบ่อยๆ ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีก็ ตาม ถือได้ว่าทั้งสองคนได้สร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว หลายวันก่อนตอนที่น้องชายร่วม อุทรของสือควนช่วยพ่ออุปถัมภ์ดูร้านนั้นมีเรื่องวิวาทกับกลุ่มอันธพาลที่ตลาด ถูกคนเหล่านั้นทุบ ตี สือควนรับใช้อยู่ในตําหนักขององค์ชายสี่ออกมาไม่ได้ แต่ต่อให้เขาออกมาได้ก็ไม่กล้าออกหน้า ช่วยตระกูลเจิ้งอย่างเปิดเผย ตระกูลเจิ้งรู้ว่าพ่อบ้านเซี่ยงเป็นคนของพวกเรา จึงมาขอความ
4413
ช่วยเหลือที่พ่อบ้านเซี่ยง พ่อบ้านเซี่ยงจึงนําป้ายชื่อของพี่รองไปที่ที่ว่าการหยาเหมิน…พอสือควน ทราบเรื่อง จึงมาขอบคุณข้าด้วยเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เฉิงฉือเข้าหาสือควนได้อย่างเป็นทางการแล้ว โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าจําได้ว่าหลังจากที่องค์ชายสี่ทรง เถลิงราชย์แล้ว พระราชพิธีหมื่นพรรษาตรงกับวันที่ยี่สิบเดือนสี่สอง…” ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้พวกเรายังไม่จําเป็นต้องติดต่อกับองค์ชายสี่ บางเรื่องต้อง ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากันอีกที” จากนั้นเขาถามถึงเรื่องกลับบ้านเดิมขึ้นมา “…จัดเตรียม เรียบร้อยหรือยัง”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง เอ่ยขึ้นว่า “ฝานมามากําลังเตรียมการอยู่ ยังไม่ได้สอบถามเลยเจ้า ค่ะ”
เมื่อครู่นางเพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าอยากจะเป็นภรรยาที่ดีผู้หนึ่ง เฉิงฉือกลับยิ้มอย่างอบอุ่น กล่าวขึ้นว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปเตรียมของขวัญให้ท่าน พ่อตาด้วยกัน” อุ้มโจวเสาจิ่นลงมาจากตั่ง
ด้านซอยซิ่งหลิน ชิวซื่อกําลังคุยกับเฉิงเว่ยเป็นการส่วนตัวว่า “…ท่านว่าท่านแม่กําลัง ทดสอบพวกเราอยู่หรือว่าคิดจะให้พวกเราแยกบ้านกันจริงๆ เจ้าคะ จวบจนตอนนี้หัวใจของข้าก็ ยังคงเต้นตึกตักไม่หยุด ตกใจจวนจะแย่อยู่แล้วเจ้าค่ะ!”
4414
เฉิงเว่ยนึกถึงพรรคเจ็ดดาราขึ้นมา
ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นบ่อทองบ่อหนึ่ง แต่ก็เป็นหายนะร้ายอันหนึ่งเช่นกัน
ด้วยสถานะของตระกูลเฉิงในตอนนี้ ในมือยังกุมอํานาจยุทธภพไว้อีกสายหนึ่ง หากมีข่าว ลือแพร่งพรายออกไปแม้แต่นิดเดียว ตระกูลเฉิงก็คงถึงคราวดับสิ้นแล้ว
หรือว่ามารดาคิดจะปล่อยพรรคเจ็ดดาราทิ้งไป?
แต่ตอนนี้จื่อชวนเข้ารับราชการแล้ว ก็ควรจะตั้งใจเป็นขุนนางให้ดีถึงจะถูก ไปยั่วยุให้เกิด ปัญหาเหล่านั้นขึ้นมาอีกมิใช่เรื่องที่ฉลาดนัก!
เขาไม่เอ่ยคําใดเป็นเวลาเนิ่นนาน
ชิวซื่อสะกิดเขาอย่างไม่สบายใจ กล่าวขึ้นว่า “ท่านพูดอะไรสักประโยคเถิด! หากท่านแม่ เรียกข้าไปคุยด้วยอีก ข้าควรจะตอบอย่างไรดีเจ้าคะ!”
นางเติบโตมากับการอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ และ ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ เป็นหญิง สาวจากตระกูลบัณฑิตที่เชื่อฟังอยู่ในกฎระเบียบ ไม่เคยแสดงความคิดเห็นที่อกตัญ�ูหรือต่อปาก ต่อคํากับผู้อาวุโสมาก่อน
เฉิงเว่ยหลอกนางว่า “ข้าก็แค่กลัวว่าท่านแม่จะมิได้มีเงินมากมายขนาดนั้นอยู่ในมือ ถึง เวลาพอซื้อบ้านให้พวกเราแล้ว จะหาเงินอีกหนึ่งแสนเหลี่ยงออกมาให้ไม่ได้”