ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 473 แยกบ้าน
น้อยครั้งนักที่เฉิงฉือจะรั้งให้ผู้อื่นพักอยู่ที่บ้านอย่างกระตือรือร้นและจริงใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการที่เฉิงเจียตั้งครรภ์นั้น เขาเองก็ดีใจแทนหลี่จิ้งด้วยเช่นกัน โจวเสาจิ่นดูจมจ่อมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ทว่าหลี่จิ้งกลับรู้สึกว่าพักอยู่ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก มิใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถย้ายมา มาและสาวใช้ที่มีประสบการณ์จากลั่วหยางมาดูแลเฉิงเจียที่นี่ สุดท้ายจึงยังคงปฏิเสธไปอย่าง สุภาพ
โจวเสาจิ่นและเฉิงฉือส่งหลี่จิ้งและเฉิงเจียออกจากประตูไปอย่างระมัดระวัง เฉิงเจียกลับ เบะปากจะรํ่าไห้พร้อมกับจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ อีกสองสามวันอยากให้โจวเสาจิ่นไปเยี่ยม นาง
จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ยังมีแก่ใจจะเล่นสนุกมากขนาดนี้อยู่อีก
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ รับปากว่าอีกไม่กี่วันตนจะไปเยี่ยมนางอย่าง แน่นอน นางถึงได้ปล่อยผ้าม่านเกี้ยวลงอย่างพึงพอใจ
แขกเหรื่อในบ้านต่างพูดคุยถึงเรื่องนี้ ล้วนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง พากันคาดเดา ว่าโจวเสาจิ่นเองก็จะตั้งครรภ์ตามไปด้วยหรือไม่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า นึกถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างบุตรชายและบุตรสะใภ้ช่วงนี้ แล้ว ในใจก็บังเกิดความคาดหวังขึ้นมาด้วยเช่นกัน
แต่วันต่อมาระดูของโจวเสาจิ่นก็มา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวผิดหวังเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
4398
แม้แต่โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน
เฉิงฉือกลับมีเป้าหมายของตัวเอง ถูจมูกของนางพลางกล่าวปลอบโยนนางยิ้มๆ ว่า “เจ้า อายุยังน้อย รออีกสองสามปีจะดีกว่า”
โจวเสาจิ่นอับอายจนหน้าแดง
พูดราวกับว่ามีแต่นางที่อยากมีลูก…เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้ถึงได้ปล่อยให้เขากระทํา การอย่างเชื่อฟัง ให้นางทําท่วงท่าอย่างไรนางก็ทําท่วงท่าอย่างนั้น ให้นางร้องครางนางก็ร้องคราง …ทั้งๆ ที่เป็นเขาที่ชื่นชอบมากมิใช่หรือ
นางอดยู่ปากไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “หากท่านแม่คิดว่าข้าคลอดบุตรไม่ได้จะทําอย่างไรเจ้า คะ”
“พูดจาเหลวไหล!” เฉิงฉือตําหนิเสียงเบา แล้วก็บีบจมูกนางอีกครั้ง “พี่สะใภ้ใหญ่แต่งเข้า มากว่าหลายปีถึงจะมีเจิงเจี่ยเอ๋อร์ ทายาทชายของพี่สะใภ้รองก็มียากยิ่ง ท่านแม่จะมาเรียกร้อง เอากับเจ้าได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกสงบใจลงได้เล็กน้อย
เฉิงฉือตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้เป็นเพื่อนนางเพื่อผ่อนคลายจิตใจ นางจะ ได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทําให้ตัวเองเครียดเอง
เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งพูดออกไป หลั่งเย่ว์กลับเดินเข้ามา กล่าวเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ สือก งกงเชิญท่านไปดื่มสุราที่ร้านสุรา บอกว่าจะรอจนกว่าจะได้พบขอรับ”
เฉิงฉืออดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
สือควนผู้นี้ต้องการพบเขาเพื่ออะไรกัน
4399
จากความทรงจําของเขา ช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นตําหนักบูรพาหรือว่าตําหนักขององค์ชายสี่ ล้วนสงบเรียบร้อย ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น…
โจวเสาจิ่นเข้าใจว่าทางด้านของสือควนเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “นาย ท่านสี่ ท่านรีบไปจัดการธุระของท่านเถิด เรื่องในบ้านมีข้าอยู่! หากไม่ได้การจริงๆ ก็ยังมีท่านแม่ อยู่ด้วย ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ”
ในบ้านยังมีญาติพี่น้องที่มาร่วมงานแต่งของพวกเขาบางส่วนที่ยังไม่ได้กลับไป
เฉิงฉือพยักหน้า กระซิบยํ้ากําชับนางหลายประโยคทํานองว่า “หากรู้สึกเบื่อก็ไปเล่นไพ่ ใบไม้เป็นเพื่อนท่านแม่” จากนั้นเปลี่ยนอาภรณ์แล้วออกจากบ้านไป
ส่วนโจวเสาจิ่นคิดจะมุ่งหน้าไปที่ลานทิงเซียง
ฝานหลิวซื่อนึกถึงเมื่อคืนที่โจวเสาจิ่นปวดท้องกว่าครึ่งค่อนคืนขึ้นมา ตอนที่นางเข้ามา ปรนนิบัติจึงลอบมองสภาพภายในห้อง
เนื่องจากนายท่านสี่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่าบนเตียงจะจัดเก็บอย่างลวกๆ ไปแล้ว แต่คน ที่มีประสบการณ์มาก่อนมองแค่ปราดเดียวก็มองออกแล้วว่าก่อนหน้านี้พวกเขากําลังทําอะไรกัน อยู่ เขาไม่รู้จักพอทุกคืนวันเช่นนี้ นางยังคิดว่าโจวเสาจิ่นจะได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นว่า ระดูของนางมาแล้วถึงได้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
นางอดเกลี้ยกล่อมโจวเสาจิ่นไม่ได้ว่า “นายท่านสี่ไม่อยู่ นานๆ ทีท่านจะได้มีเวลาว่าง มิสู้ นอนพักอีกสักตื่นก่อนแล้วค่อยไปปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่สาย”
โจวเสาจิ่นใบหูแดงกํ่า
ฝานหลิวซื่อเป็นคนมีประสบการณ์มาก่อน ย่อมต้องรู้เรื่องของนางและเฉิงฉือ
นางกล่าวเสียงเบาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าดีขึ้นแล้ว…นายท่านสี่ไม่อยู่บ้าน ข้าควรจะไปอยู่ เป็นเพื่อนท่านแม่ถึงจะใช้ได้ นางจะได้ไม่เหงา”
ชาติก่อนตอนที่นางอยู่บ้านสวนเพียงลําพังนั้น ไม่ว่าจะมีบ่าวรับใช้อยู่เป็นเพื่อนมากมาย เพียงใด ก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยว ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่พี่สาวมาเยี่ยมนาง นางจะมีความสุขมากเป็น พิเศษ มักจะส่งพี่สาวออกจากบ้านสวนไปด้วยความอาลัยอาวรณ์แล้วถึงจะกลับเข้าไป
นี่เป็นเรื่องของความกตัญ�ู ฝานหลิวซื่อไม่กล้าและไม่อาจพูดอะไรได้ นางได้แต่คอย กํากับสาวใช้ให้ช่วยเกล้าผมและแต่งตัวไปด้วย กระซิบยํ้าเตือนนางไปด้วยว่า “เช่นนั้นช่วงบ่ายก็ กลับมาเร็วสักหน่อย รับประทานอาหารแล้วก็พักผ่อนสักครู่หนึ่ง ท่านเองก็ต้องเตรียมตัวเรื่องกลับ บ้านเดิมแล้วเจ้าค่ะ”
เนื่องจากบ้านเดิมของโจวเสาจิ่นอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง ตามหลักแล้ว หากนางจะกลับบ้านเดิม ก็ต้องไปที่เป่ าติ้ง จึงมิได้สะดวกสบายเหมือนกับคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันเช่นนั้น อีกทั้งยัง ใกล้ถึงปีใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงกําหนดว่าจะกลับบ้านเดิมในวันที่เก้าหลังงานแต่ง พักอยู่ที่บ้าน เดิมห้าวันแล้วค่อยกลับมา
โจวเสาจิ่นจากจินหลิงไปเป่าติ้ง จากเป่าติ้งมาถึงจิงเฉิง แล้วก็จากซอยอวี๋ซู่ไปอยู่ซอยอวี๋ เฉียน จึงค่อนข้างมีประสบการณ์กับการเดินทางแล้ว ไม่ได้มึนๆ งงๆ เหมือนช่วงเริ่มแรก เวลาออก จากบ้านควรจะทําอะไรบ้างนั้นจึงค่อนข้างมีคําตอบในใจบ้างแล้ว ก็เลยไม่กลัวว่าเมื่อถึงเวลาออก เดินทางจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ฉะนั้นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร พวกเราไปอยู่แค่ห้าวันเท่านั้น เมืองเป่ าติ้งก็มิใช่เมืองห่างไกลอะไร หากมีสิ่งของอะไรที่ลืมเอาไปด้วย ถึงเวลาค่อยซื้อใหม่ก็ได้ แล้ว”
ฝานหลิวซื่อเห็นนางไม่เข้าใจความหมายของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจกล่าวอะไรมากอีก บอก ให้ชุนหว่านไปส่งโจวเสาจิ่นที่ลานทิงเซียง
โจวเสาจิ่นจึงนึกเรื่องงานแต่งของชุนหว่านขึ้นมาได้
ตนแต่งงานแล้ว อย่างมากอีกสองปี ชุนหว่านก็ควรจะออกเรือนแล้วเช่นกัน
เสียดายที่คนข้างกายของเฉิงฉือไม่มีคนที่เหมาะสมสักคน เห็นทีว่าเรื่องนี้คงต้องรบกวน ปี้อวี้แล้ว
เมื่อมาถึงหน้าประตูเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางได้พบกับปี้อวี้พอดี
ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะย้ายเข้ามาอยู่นั้น บ่าวรับใช้ทางด้านนี้ล้วนเป็นคนที่เพิ่งเข้ามา ใหม่ทั้งสิ้น ปี้อวี้รับผิดชอบดูแลเรือนชั้นใน จึงถือได้ว่าเป็นคนมีความสามารถและมีหน้ามีตาผู้ หนึ่ง แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวย้ายเข้ามาอยู่แล้ว หลี่ว์มามาเอย หรือสื่อมามาเอย มีผู้ใดบ้างที่ ประสบการณ์น้อยไปกว่านาง เรื่องในเรือนชั้นในจึงตกไปอยู่ในความดูแลของหลี่ว์มามาไปโดย ปริยาย ส่วนนางคอยช่วยเป็ นลูกมืออยู่ข้างๆ ไม่ได้มีอํานาจมากเท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่ ภาระหน้าที่กลับมีเพิ่มมากขึ้น
โชคดีที่ปี้อวี้เป็นคนรู้จักวางตัวผู้หนึ่ง รู้ว่าเฉิงฉือให้ความสําคัญนาง หลี่ว์มามาและคน อื่นๆ นั้นไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือเชาวน์ปัญญาในการจัดการบ้านเรือนล้วนมิใช่สิ่งที่นางจะ ไปเปรียบเทียบด้วยได้ จึงสงบใจลงมาเรียนรู้เรื่องต่างๆ ทําตัวเสมือนเป็นผู้ฝึกงานที่ดี
โจวเสาจิ่นถามนางยิ้มๆ ว่า “นี่เจ้ามาทําอะไรหรือ”
เวลานี้นางควรจะอยู่ในครัวคอยดูพวกพ่อครัวแม่ครัวในห้องครัวเตรียมมื้อเที่ยงมากกว่า
ปี้อวี้ยิ้มพลางยื่นใบรายการอาหารในมือให้นางดู กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าอีกสอง สามวันจะเชิญฮูหยินของขุนนางใหญ่หยวนมารับประทานอาหารด้วย ให้ข้าร่างรายการอาหารให้ นางสักใบหนึ่ง ข้าจึงนําใบรายการอาหารมาให้นางดูเจ้าค่ะ” ขณะที่กล่าว ก็ลดเสียงลงตํ่าพลาง กล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกฮูหยินรองมาคุยด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินรองหรือก็คือชิวซื่อภรรยาของเฉิงเว่ยนั่นเอง โจวเสาจิ่นหันไปพยักหน้าให้นางพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เป็นการขอบคุณ ปี้อวี้หัวเราะ ย่อเข่าทําความเคารพแล้วออกจากลานทิงเซียงไป
หลี่ว์มามาออกมาเลิกผ้าม่านให้โจวเสาจิ่น ทว่าไม่ได้พานางเข้าไปข้างใน แต่หาข้ออ้าง หนึ่งพานางไปที่ห้องนํ้าชาแทน
โจวเสาจิ่นแสร้งทําเป็นไม่รู้เรื่อง นั่งดื่มนํ้าชา กินขนมและพูดคุยอยู่ในห้องนํ้าชา
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่อยู่ในเรือนหลักกลับกําลังเอ่ยกับชิวซื่อว่า “…ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าต่างคิด ว่าข้าลําเอียง รักเจ้าสี่มากกว่า แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าสี่เคยเผชิญกับความยากลําบากอะไรมาก่อน ข้าบอกเจ้าเพียงเท่านี้ เมื่อก่อนตอนที่จวนรองดูแลกิจการของตระกูลนั้น กองกลางมีเงินจํานวน เท่าไรนั้นล้วนเป็นพวกเขาที่เป็นคนคํานวณ ในบ้านมีทรัพย์สมบัติเท่าไรนั้นจวนหลักไม่เคยรู้เลย การที่จวนหลักนําเงินจํานวนหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงออกมาทําเรื่องแยกตระกูลกับจวนรองได้นั้น เงินเหล่านั้นล้วนเป็นเงินที่เจ้าสี่หามาได้ทั้งสิ้น พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าบอกว่าจะเอา เขาก็เอาออกมาให้ จะกลางฝ่ามือหรือหลังฝ่ามือก็ล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสิ้น บางเรื่องหากข้า ไม่พูดออกมา มีแต่จะทําให้พวกเจ้าเกิดความห่างเหิน บังเกิดความหมางใจกันระหว่างพี่น้อง…
…ก็เหมือนกับเรื่องนี้ ข้าจะหารือแต่กับพวกบุตรชายก็ย่อมได้ แต่ข้ายังคงเรียกเจ้ามาพูด เรื่องนี้ด้วย นั่นก็เพราะเจ้าเป็นบุตรสะใภ้ของข้า ก็เหมือนกับเป็นบุตรสาวของข้าเช่นกัน ข้าไม่ อยากให้ระหว่างพวกเจ้าสามีภรรยามีปัญหากัน!”
“ท่านแม่!” ชิวซื่อไม่ทราบวัตถุประสงค์ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ลุกขึ้นมาอย่างไม่สบายใจ พลางกล่าว “ท่านเองก็ทราบ ข้าเป็นคนเขลาคนหนึ่ง ท่านว่าอย่างไรข้าก็จะเชื่อฟังอย่างนั้น สามี ว่าอย่างไรข้าก็จะทําอย่างนั้น ท่านคิดจะทําอะไรหรือเจ้าคะ ขอเพียงสั่งการลงมา”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ข้าอยากถือโอกาสตอนที่ข้ายังมิได้สติเลอะเลือนนี้แยกบ้านกันเสีย ให้เรียบร้อย!”
ชิวซื่อตกใจจนหน้าซีดเผือด ร้องเสียงหนึ่งอย่างร้อนใจว่า “ท่านแม่” กล่าวอีกว่า “นี่ นี่จะ เป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเราเพิ่งจะแยกตระกูลกับจวนรอง เป็นช่วงเวลาที่คนทั้งครอบครัวควร จะสามัคคีปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน จะแยกบ้านได้อย่างไร” ขณะที่นางกล่าว ก็สะดุดใจขึ้นมา หรือว่าสามีจะไม่เห็นด้วย แม่สามีก็เลยจะให้นางไปหว่านล้อมสามี? นางอดไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ สามีทราบเรื่องหรือไม่เจ้าค่ะ เขาว่าอย่างไร ข้าล้วนเชื่อฟังเขาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป! เรื่องนี้ข้ายังมิได้คุยกับเจ้ารอง เพียงแต่อยากจะบอกเจ้าเอาไว้ก่อนเท่านั้น บ้านที่ซอยซิ่งหลินนั้นเป็นบ้านเก่าของตระกูล เจ้า ใหญ่เป็นบุตรชายคนโต ย่อมต้องเก็บเอาไว้ให้พวกเขา จากนั้นเจียซ่านแต่งงานข้าออกเงินให้สอง หมื่นเหลี่ยง และจะเพิ่มให้พวกเขาอีกห้าหมื่นเหลี่ยง บ้านที่ประตูเฉาหยางทางด้านนี้ ตอนเจ้าสี่ แต่งงานข้าได้พูดกับตระกูลฝั่งสะใภ้เอาไว้แล้ว จึงต้องเก็บเอาไว้ให้เขา บ้านของเขาหลังใหญ่ที่สุด ข้าจึงไม่เก็บของอะไรอย่างอื่นมอบให้เขาอีกแล้ว พวกเขาผู้หนึ่งเป็นบุตรชายคนโต อีกผู้หนึ่งเป็น บุตรชายคนเล็ก จะว่าไปแล้ว พวกเจ้าเสียเปรียบที่สุด แต่เมื่อถึงคราวต้องแยกบ้านกัน ย่อมไม่ อาจให้เจ้าต้องเสียเปรียบอีกต่อไป ข้าคิดดูแล้ว พวกเจ้าลองไปหารือกันและมองหาบ้านสักหลัง ไม่ว่าราคาเท่าไร ก็ให้เป็นความรับผิดชอบของข้า จากนั้นค่อยมอบเงินให้พวกเจ้าอีกหนึ่งแสนเหลี่ ยง ค่าใช้จ่ายงานแต่งงานของรั่งเกอเอ๋อร์ก็ให้เป็นความรับผิดชอบของข้าด้วยเช่นกัน ให้สองหมื่น เหลี่ยงเท่าๆ กันกับของเจียซ่าน ภาพโบราณและเครื่องประดับเงินทองของข้านั้นตอนที่ข้ายังมี ชีวิตอยู่จะยังไม่แบ่งให้ หลังจากข้าจากไปแล้วให้พวกเจ้าสามครอบครัวแบ่งเท่าๆ กัน ข้านําเงิน ส่วนตัวของข้าแบ่งออกไปหมดแล้ว รายได้จากที่ดินของตระกูลทั้งหมดให้ตกเป็นของข้า ถือเป็น ค่าใช้จ่ายทั่วไปของข้า รอให้ข้าจากไปแล้ว ให้ตกเป็นของครอบครัวของพี่ชายใหญ่ของเจ้า เจ้า คิดเห็นว่าอย่างไร”
บ้านที่จิงเฉิงหนึ่งหลัง เงินจํานวนหนึ่งแสนเหลี่ยง นอกจากนี้พวกเขายังเลือกบ้านได้ ตามใจชอบ รอให้ถึงตอนที่รั่งเกอเอ๋อร์แต่งงาน ก็ยังจะมอบเงินต่างหากให้อีกสองหมื่นเหลี่ยง สําหรับจัดเตรียมงานแต่ง…แม้ชิวซื่อจะเป็นคนเจียมตนพึงพอใจกับสถานะของตัวเองและชื่นชอบ ความสงบสุขผู้หนึ่ง ก็คล้ายกับถูกกระแทกจนหน้ามืดตาลายไปหมดอย่างช่วยไม่ได้ กว่าครู่ใหญ่ก็ ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็มิได้ต้องการให้นางตอบตนในเวลานี้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก็รู้ดี เจ้า เคารพและให้เกียรติเจ้ารองมาโดยตลอด หากเจ้าตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นก็กลับไปปรึกษาหารือกับ เจ้ารองดูก่อน หากรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ก็บอกข้าตรงๆ ได้ ข้าเพียงอยากให้บ้านหลังนี้อยู่กันอย่าง สงบสุข ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายอะไรเท่านั้น”
ชิวซื่อหน้าแดงกํ่า
นางรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวหมายถึงหยวนซื่อ
แต่นางที่เป็นน้องสะใภ้ผู้นี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่สะใภ้คิดอย่างไรทว่ากลับไม่กล้าไปกล่าวแนะนํา นาง ก็เท่ากับมิได้ทําหน้าที่ของบุตรสะใภ้ให้ดีนั่นเอง อย่างไรก็หนีความผิดไม่พ้น!
นางพึมพําขานรับคํา เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงรีบลุกขึ้นกล่าว อําลา แล้วไปหาเฉิงเว่ย
กระทั่งโจวเสาจิ่นเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็มิได้ปิดบังนาง เล่าแผนการของตัวเองให้โจว เสาจิ่นฟัง
ประสบการณ์ที่ผ่านมาของโจวเสาจิ่นทําให้ความต้องการของนางที่มีต่อสิ่งของค่อนข้าง น้อยกว่าผู้อื่น บ้านหลังใหญ่ก็อยู่ได้ บ้านหลังเล็กก็ไม่ปริปากบ่นว่าคับแคบ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มี เฉิงฉืออยู่ด้วยแล้ว นางก็ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วจริงๆ
“ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้” นางกล่าว “ให้นายท่านสี่เป็นคนตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ! ข้าล้วนเชื่อฟังท่านและนายท่านสี่”