ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 464 พิธีปักปิ่น
โจวเสาจิ่นที่อยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนในเวลานี้ก็นอนกลางวันอย่างไม่เป็นสุขเช่นกัน
นางถามซางมามาว่า “เดือนสามของปีหน้านายท่านสี่ถึงจะกลับไปที่จี่หนิงจริงๆ หรือ”
ซางมามาช่วยจัดมุมผ้าห่มให้นางไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “นายท่านสี่บอกเช่นนั้น คาดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง แล้วหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
ได้ยินว่าที่เมืองจี่หนิงนั้นยากลำบากมาก ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือจะคล้ำขึ้นหรือผอมลงบ้างหรือไม่
นางอยากไปหาท่านน้าฉือเหลือเกิน
แต่ท่านน้าฉือก็บอกเอาไว้แล้วว่า พวกท่านยายต่างพักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนด้วย เขาจึงไม่สะดวกจะมาหานาง ให้นางตั้งใจกินให้อิ่มนอนหลับให้สบาย ยามว่างก็คอยกำกับให้พวกสาวใช้ช่วยทำงานเย็บปักให้นาง ตั้งใจรอให้เขามารับตัวนางอย่างเดียวก็พอ
โจวเสาจิ่นยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่
มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก ยังมีเสียงของเฉิงเจียผสมปนเปมาด้วยว่า “…นางช่างสบายใจจริงๆ ยังหลับลงได้อย่างไร ตอนที่ข้าจะออกเรือนนั้น หลับตาไม่ลงไปกว่าหลายวัน ก็ไม่รู้ว่านางโตมาขนาดนี้ได้อย่างไร เกรงว่าวันใดวันหนึ่งจะถูกคนขายทิ้งแล้วก็ยังไปช่วยเขานับเงินอีกเข้าสักวันเป็นแน่!”
ไม่รู้ว่าเฉิงเจียไปพานพบกับเรื่องอะไรมาอีก
โจวเสาจิ่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เรียกจี๋เสียงที่เฝ้าเวรยามอยู่ในห้องมาช่วยนางเปลี่ยนอาภรณ์
นางเพิ่งจะสวมเสื้อเสร็จ เฉิงเจียก็ผลุนผลันเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้าและกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้นัดกันว่าพรุ่งนี้จะไปจุดธูปที่วัดหงหลัวด้วยกัน เจ้าอยากจะแอบไปกับพวกข้าด้วยหรือไม่”
เฉิงเจียไปสืบมาแล้วว่าวัดหงหลัวนั้นขอบุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมากจริงๆ
โจวเสาจิ่นกลับไม่คิดจะทำตัวบ้าบิ่นไปกับพวกนางด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าไปกันเถิด ข้าจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่านยาย”
เฉิงเจียรู้สึกน่าเบื่อหน่ายเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “โชคดีที่มีกูที่สิบเจ็ดอยู่เป็นเพื่อนข้าด้วย ไม่เช่นนั้นคงน่าเบื่อแย่แน่!”
โจวเสาจิ่นแสร้งกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ตกลงเจ้ามาเที่ยวเล่นหรือมาส่งข้าออกเรือนกันแน่ เหตุใดถึงไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ก็ถือตะกร้าใบหนึ่งเข้ามา ในนั้นบรรจุรองเท้าเอาไว้เจ็ดถึงแปดคู่
นี่เป็นของที่โจวชูจิ่นมอบหมายให้ร้านเย็บปักที่มีชื่อเสียงที่สุดของจิงเฉิงทำมา ให้โจวเสาจิ่นใช้ยามไปพบปะทำความรู้จักญาติในวันแขวนผ้ามงคลแดงของบ่าวสาว
นางกล่าวเย้าเฉิงเจียกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยของนางอีกหรือ ขอเพียงมีอะไรให้เที่ยวเล่น นางก็ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นแล้ว!”
โจวเสาจิ่นรีบถามขึ้นว่า “รองเท้าถุงเท้าล้วนทำเสร็จหมดแล้วหรือ”
“ทำเสร็จแล้ว!” ขณะที่กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กล่าว จี๋เสียงก็รีบสาวเท้าเข้ามารับตะกร้าในมือกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ไปและกล่าวขอบคุณเบาๆ
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็เพียงถือติดมือมาด้วยเท่านั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้”
โจวเสาจิ่นและเฉิงเจียจึงพลิกดูรองเท้าถุงเท้าที่ร้านเย็นปักทำมา
ของสตรีเป็นรองเท้าสีถั่วเขียว ใช้เส้นด้ายไหมสีทองปักเป็นลายข้าวหลามตัดคู่ ส่วนของบุรุษเป็นรองเท้าสีน้ำเงินคราม ใช้เส้นด้ายไหมสีเงินปักลายว่านน้ำ ไม่เพียงฝีมือประณีตเท่านั้น สีที่ใช้ก็สดใหม่และดูภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงเจียอดไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นงานฝีมือของร้านใดหรือ เย็บปักออกมาได้ดีจริงๆ ข้าต้องหาเวลาว่างไปสั่งทำที่ร้านของพวกเขาสักสองสามคู่เสียแล้ว”
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว เจ้าลองไปถามต้ากูไหน่ไนดูดีหรือไม่”
เฉิงเจียจึงให้ชุ่ยหวนไปสอบถาม
ส่วนจี๋เสียงถือตะกร้าไปเก็บยังห้องเก็บของที่วางสินเจ้าสาวและของอื่นๆ เอาไว้ ณ เรือนด้านหลัง
โจวเสาจิ่นเอ่ยถึงเรื่องไปจุดธูปขึ้นมา “มีเพียงพวกเจ้าสองคนที่ไปหรือ เหตุใดถึงไม่รอให้ข้าออกเรือนก่อนแล้วพวกเราค่อยไปด้วยกันเล่า ได้ยินว่าอาหารเจที่วัดหงหลัวรสชาติดียิ่ง พวกเจ้าไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ จะได้เที่ยวดีๆ หรือ”
“ยังมีกูไหน่ไนที่สามไปด้วย” กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กล่าวยิ้มๆ “พวกข้าตั้งใจไปจุดธูปเป็นหลัก บ่ายๆ ก็กลับมาแล้ว”
เฉิงเจียกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราไม่ไปช่วงเวลานี้จะให้ไปช่วงเวลาไหน อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่น จากนั้นก็ออกเรือนแล้ว ข้ายังต้องไปดื่มสุรามงคลที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้นอีก…ข้าคำนวณดูแล้ว นอกจากสองวันนี้ก็ไม่มีเวลาว่างอื่นแล้วจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าต้องไปดื่มสุรามงคลที่ประตูเฉาหยางด้วยหรือ”
หรือว่าจะมีคนจากจวนสามมาร่วมดื่มสุรามงคลด้วย?
หยวนซื่อยอมญาติดีกับจวนสามตั้งแต่เมื่อใดกัน
เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อนเล่า
เฉิงเจียกล่าวอย่างไม่ชอบใจว่า “ข้าอยากจะอยู่ดื่มสุรามงคลที่ซอยอวี๋เฉียน ทว่าหลี่จิ้งกลับบอกว่าข้าแซ่เฉิง เขาเป็นบุตรเขยของตระกูลเฉิง ไม่มีเหตุผลที่ท่านอาตระกูลเฉิงแต่งงานแต่พวกเรากลับอยู่ดื่มสุรามงคลที่นี่แทน ให้ข้ามาเล่นอยู่ที่นี่สักสองสามวันจากนั้นให้ไปมอบของขวัญแสดงความยินดีให้ตระกูลเฉิงพร้อมกับเขา…”
ทว่ากูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้นั้นเป็นคนเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง ได้ยินเช่นนั้นก็ทราบเจตนาของหลี่จิ้งในทันที
นางรู้สึกว่าการที่เฉิงเจียไปดื่มสุรามงคลที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้นให้ผลลัพธ์ที่ใหญ่กว่าอยู่ดื่มสุรามงคลที่ซอยอวี๋เฉียนมาก
ไม่รอให้เฉิงเจียบ่นต่อ นางก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน สู่ขอสะใภ้ครึกครื้นกว่าแต่งบุตรสาวมากนัก ที่ซอยอวี๋เฉียนทางด้านนี้มีท่านแม่และข้าอยู่ แต่ว่าที่ประตูเฉาหยางกลับมีเพียงกูไหน่ไนใหญ่และคนอื่นๆ ไม่กี่คน แต่เนื่องจากกูไหน่ไนใหญ่นั้นอายุมากกว่ามาก มีเรื่องอะไรก็ไม่อาจเรียกใช้นางได้ เจ้าไปแล้วก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนเสาจิ่นด้วยพอดี”
เฉิงเจียได้ยินแล้วถึงได้รู้สึกเบิกบานขึ้นมา พูดถึงเรื่องไปจุดธูปที่วัดหงหลัวกับกูที่สิบเจ็ดขึ้นมา
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจเจตนาของหลี่จิ้ง
นางยิ้มน้อยๆ พร้อมกับมองไปที่เฉิงเจียอย่างอดไม่อยู่
มีหลี่จิ้งอยู่ข้างๆ เฉิงเจีย ต่อให้มีเรื่องไม่สมควรอะไรเกิดขึ้น เฉิงเจียก็คงจะไม่ต้องล้มลงไปอยู่ในจุดที่ต้องเสียใจและสิ้นหวังเหมือนกับชาติก่อนแล้วกระมัง!
นางได้ย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ ช่างเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งจริงๆ
วันรุ่งขึ้น โจวเสาจิ่นส่งทั้งสองคนออกจากประตูไปอย่างยิ้มแย้ม
ตกเย็นกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้และเฉิงเจียกลับมาพร้อมกัน เล่าให้ฟังว่าที่วัดหงหลัวน่าเที่ยวอย่างไรบ้างด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เห็นกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้มีชีวิตชีวาเช่นนี้มาระยะหนึ่งแล้ว จึงโบกมือครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราก็อยู่จิงเฉิงต่ออีกสักสองสามวัน รอให้ข้ามปีแล้วค่อยกลับไปกัน”
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างดีใจอย่างลิงโลด
วันที่สี่เดือนสิบเอ็ด โจวเสาจิ่นเข้าพิธีปักปิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งปิ่นมาให้
เป็นปิ่นทองคำแท้ฝังทับทิมสีแดง สลักเป็นรูปดอกทับทิมคู่สองดอก สื่อความหมายถึงให้มากบุตรและมากความสุข
คนที่ปักปิ่นให้นางคือโจวชูจิ่น
สตรีที่เป็นทั้งมารดาและพี่สาวของนางมาทั้งสองชาติภพ
คนที่ช่วยขานเรียกปิ่นให้นางคือเฉิงเจีย พี่สาวที่แสนดีของนาง
แม้นจะมิได้จัดงานอย่างใหญ่โต ทว่าล้วนมีแต่คนใกล้ชิดของนางทั้งสิ้น
น้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เวลานี้ในชาติก่อน นางยังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในห้วงเหวแห่งความทุกข์ทรมานอยู่เลย
โชคดีที่ชีวิตนี้ได้พบกับท่านน้าฉือ
โชคดีที่นางตัดสินใจว่าจะตั้งใจตอบแทนตระกูลเฉิงดีๆ สักครั้ง
โจวชูจิ่นเองก็ร้องไห้ออกมาด้วยเช่นกัน
จวบจนกระทั่งวันนี้ ในที่สุดนางก็ไม่ต้องกระวนกระวายใจต่อคำฝากฝังของมารดาเลี้ยงอย่างจวงซื่ออีกแล้ว นางดูแลน้องสาวจนเติบโตมาได้อย่างราบรื่นจนถึงเวลาที่จะได้แต่งงานแล้ว
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนึกถึงตอนที่โจวเสาจิ่นเพิ่งมาถึงตระกูลเฉิงในวันนั้น ทารกน้อยผอมบางและอ่อนแอประหนึ่งลูกแมวในห่อผ้าสีแดงสด นางยังกังวลใจอยู่เลยว่าจะเลี้ยงไม่โต ทว่าวันนี้กลับแบบบางและงามสง่า กลายเป็นสตรีเต็มตัวแล้ว กระบอกตาของนางก็รื้นชื้นตามขึ้นมาด้วยอีกคน
ส่วนเฉิงเจียนั้นกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้วก็ร้องไห้ออกมา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าแต่งให้ท่านอาฉือเลย เมื่อก่อนพวกเราตกลงกันไว้แล้วมิใช่หรือว่าจะแต่งไปอยู่ที่เดียวกัน เจ้าตามข้ากลับไปที่หลั่วหยางดีหรือไม่ ลั่วหยางเป็นเมืองหลวงเก่า มีตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมากว่าร้อยปีมากมาย…”
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้คว้าหมับดึงตัวเฉิงเจียออกมา กล่าวตำหนินางว่า “กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอะไรอีกแล้ว ระวังเถิดหากท่านอาฉือรู้เรื่องแล้วจะไม่ให้เจ้าเหยียบเข้าประตูบ้านของตระกูลเฉิงอีก” กล่าวไปด้วย ก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นส่งให้โจวเสาจิ่นเช็ดน้ำตาไปด้วย กล่าวอีกว่า “ปักปิ่นเสร็จแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดี รีบหยุดร้องเถิด ท่านย่ายังรอให้เจ้าไปคารวะนางอยู่นะ!”
เฉิงเจียยู่ปาก
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา
ได้ส่งเสียงดังอย่างครึกครื้น ทุกคนต่างอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างมีความสุข
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดึงตัวโจวเสาจิ่นไปนั่งข้างๆ จับมือของนางเอาไว้กล่าวอย่างปลาบปลื้มใจว่า “เพียงพริบตาเดียวเสาจิ่นก็โตเป็นสาวแล้ว ต่อไปจะเป็นคนขลาดกลัว เจอเรื่องอะไรก็เอาแต่หลบซ่อนตัวอย่างเมื่อตอนเป็นเด็กไม่ได้อีกแล้ว แต่งงานแล้วก็เท่ากับเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องกตัญญูต่อผู้ใหญ่ ดูแลสามี อบรมเลี้ยงดูบุตร ผูกมิตรกับญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน กระทำการใดก็ต้องมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว…”
นางพูดถึงหลักธรรมของการเป็นภรรยาและบุตรสะใภ้ไปคำรบหนึ่ง โจวเสาจิ่นฟังแล้วพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด นอกจากมอบจี้หยกเป็นของขวัญวันเกิดให้โจวเสาจิ่นแล้ว ยังมอบปิ่นปักผมปะการังสีแดงให้นางชุดหนึ่งอีกด้วย
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลงอย่างประหลาดใจ
นี่มันของที่ท่านน้าฉือซื้อให้นางตอนแวะตลาดฟู่หยวนระหว่างทางที่เดินทางไปเขาผู่ถัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อคราวก่อน แล้วนางมอบให้ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ไปมิใช่หรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มร่า พลางกล่าว “รู้ว่าเจ้ากตัญญู เพียงแต่ว่าข้าและป้าใหญ่ของเจ้าอายุมากแล้ว มิใช่วัยสวมใส่ของพวกนี้แล้ว วันเกิดของเจ้าครานี้ พวกข้าจึงขอยืมดอกไม้นี้มาถวายพระ มอบเป็นของขวัญให้เจ้าแล้ว!”
เสียงพูดของนางเพิ่งจะสิ้นสุดลง โจวเสาจิ่นก็รู้สึกเย็นๆ ที่มือ เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเป็นสร้อยลูกประคำปะการังสีแดงสิบแปดเม็ดเส้นนั้น
ไม่รู้ว่าพี่สาวไปเอาออกมาสวมใส่ให้นางตั้งแต่เมื่อไร
“ข้าเห็นสายตาของเจ้าตอนนั้นก็รู้แล้วว่าเจ้าชอบสร้อยลูกประคำเส้นนี้” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าเก็บเอาไว้ก็เพราะตั้งใจจะมอบให้เจ้า นี่ก็ครบชุดพอดีเลย”
โจวเสาจิ่นกอดแขนพี่สาวเอาไว้ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มอย่างพึงพอใจ กล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะๆ รีบไปนั่งที่เถิด! รอให้ถึงวันเกิดของเสาจิ่นอีกครั้งในปีหน้าก็กลายเป็นคนของตระกูลเฉิงไปแล้ว!”
ทุกคนต่างหัวเราะฮ่า
โจวเสาจิ่นขัดเขินจนดวงหน้าแดงก่ำ
กระทั่งตกเย็นเมื่อนางส่งเฉิงเจียกลับไปแล้ว ก็ถอดเครื่องประดับปะการังแดงชุดนั้นออก เก็บลงไปในกล่องอย่างระมัดระวัง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเดินเข้ามาหา
นางไล่บ่าวรับใช้ข้างกายโจวเสาจิ่นออกไป ยิ้มพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา กระซิบบอกนางเสียงเบาว่า “เจ้าใกล้จะออกเรือนแล้ว ความจริงตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาพูดเรื่องนี้กับเจ้าในคืนพรุ่งนี้ แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าและพี่สาวของเจ้าจะไปส่งสินเจ้าสาวให้เจ้าที่ประตูเฉาหยาง ข้าจึงมาพูดเรื่องคืนเข้าหอกับเจ้าในวันนี้แทนก็แล้วกัน ถึงเวลาเจ้าจะได้ไม่ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก...”
ขณะที่กล่าวก็ยัดหนังสือเข้าไปในอ้อมแขนของโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “เจ้าลองเปิดดู!”
โจวเสาจิ่นยังมีความทรงจำของชาติก่อนหลงเหลืออยู่ เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่านี่คืออะไร
นางตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม หนังสือตกลงไปบนพื้น เผยภาพกามสูตรออกมาให้เห็น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นกลับซีดเผือดลงเล็กน้อย
นางเอาแต่คิดว่าอยากจะรีบแต่งงานกับท่านน้าฉือให้เร็วสักหน่อย แต่กลับลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่หยุดแค่ที่อ้อมกอดอบอุ่นและจุมพิตที่เร่าร้อนเท่านั้น ยังมี…เรื่องการสมสู่กันระหว่างสามีภรรยาอีกด้วย…
นางรู้สึกว่าปวดกระดูกไปทั่วทั้งร่าง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่รู้ว่านางเคยพานพบกับอะไรมาบ้าง จึงเข้าใจว่าเรื่องนี้ทำให้นางตกใจกลัว จึงกอดนางเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน กล่าวเสียงเบายิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว หญิงสาวทุกคนล้วนต้องประสบกับเรื่องเช่นนี้…เจ้าเพียงจำเอาไว้ว่าให้เชื่อฟังบุตรเขยก็พอ…อย่าตกใจกลัวจนเรียกบ่าวไพร่ข้างกายเข้ามา ทำให้บุตรเขยต้องเสียหน้า…”
เฉิงฉืออายุขนาดนี้แล้ว อีกทั้งยังไปทำการค้าอยู่ด้านนอกบ่อยๆ น่าจะมีประสบการณ์ถึงจะถูก
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนครุ่นคิดพิจารณา พลางเลือกภาพวาดชุดนั้นขึ้นมา เปิดหนังสือไปด้วย และกระซิบกล่าวเรื่องนี้กับนางไปด้วย
โจวเสาจิ่นอดทนอดกลั้นเอาไว้ถึงได้ไม่ผลักฮูหยินใหญ่เหมี่ยนออกไป
กระทั่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวจบ นางก็เหงื่อท่วมไปทั้งร่าง สภาพคล้ายกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำเย็นก็ไม่ปาน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนบังเกิดความสงสัยในใจ
หญิงสาวบ้านอื่นล้วนขัดเขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เหตุใดเสาจิ่น...กลับดูเหมือนกับหวาดกลัวจนแทบจะทนไม่ไหวเช่นนี้เล่า!
……………………………………………………………………………