ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 463 วิตกกังวล
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่จวนหลักและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้วผู้ใดเป็นฝ่ายผิดนั้น ก็คงจะมีการถกเถียงกันขึ้นมาสักครั้งหนึ่งแล้ว
เฉิงฉือรู้ความคับแค้นใจของมารดาดี หากได้สั่งสอนเฉิงซวี่ของจวนรองบ้างล้วนไม่เคยเป็นปัญหา นอกจากนี้มารดาอายุขนาดนี้แล้วก็ถือเป็นเพียงงานอดิเรกเล็กน้อยเท่านั้น ย่อมไม่อาจยื่นมือเข้าไปสอดแทรกอย่างโจ่งแจ้งได้อยู่แล้ว เขาจึงขานรับคำยิ้มๆ ว่า “ขอรับ” แล้วเล่าเรื่องที่เฉิงเวิ่นอยากเปิดร้านขายใบชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วก็หัวเราะออกมา พลางถามขึ้นว่า “เจ้าคิดจะช่วยจวนห้าตั้งหลักที่จิงเฉิงหรือ”
เฉิงฉือยิ้ม กล่าวขึ้นอย่างมีนัยแฝงว่า “นั่นก็ต้องดูว่าพวกเขาจะก่อร่างสร้างตัวที่จิงเฉิงได้หรือไม่แล้วขอรับ”
เมื่อก่อนที่ล่อลวงให้พวกเขาร่วมลงขันร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ด้วยเพราะอยากให้พวกเขารับผลกำไรกับจวนหลักและดึงพวกเขามาอยู่ฝั่งเดียวกับจวนหลัก จะได้ต่อกรกับจวนรองได้ง่ายขึ้น วันนี้แม้นจวนหลักจะแยกตระกูลออกมาแล้ว ทว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับจวนสี่และจวนห้ามาก่อน ต่างก็ยังเป็นญาติพี่น้องกันอยู่ อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็ควรจะช่วยสักครั้ง แต่ถ้าหากว่าเข็นขึ้นกำแพงไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็คงไม่อาจจะเข้าไปรับผิดชอบทุกอย่างแทนพวกเขาเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว
เพราะเหตุใดตระกูลเฉิงถึงถูกตรวจสอบ
เขายังมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ต้องทำอีก!
แม้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่ทราบเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบ แต่คำพูดที่บอกว่าพวกเขาไม่อาจช่วยเหลือจวนสี่และจวนห้าได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนั้นช่างพูดได้ตรงใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งนัก
โดยเฉพาะจวนสี่ เนื่องด้วยโจวเสาจิ่นเป็นเหตุ ทำให้สถานการณ์หมุนเปลี่ยนไปหนึ่งรอบใหญ่ จวนสี่และจวนหลักแยกตระกูลกันแล้วทว่ากลับกลายมาเป็นญาติเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกันแทน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้คำชี้แนะจวนสี่บ้าง แต่จวนห้านั้นที่ผ่านมาเป็นเพียงคนที่ไม่ได้เข้ามามีส่วนในความขัดแย้งระหว่างจวนหลัก จวนรองและจวนสามเท่านั้น ก็ให้คบหากันเหมือนญาติทั่วๆ ไปก็พอแล้ว
สำหรับเรื่องนี้แล้ว สองแม่ลูกต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เอ่ยถึงเรื่องสุสานของตระกูลขึ้นมา “ข้ากำลังคิดไตร่ตรองอยู่ว่า ควรจะซื้อที่ผืนเล็กๆ สักผืนที่จิงเฉิงเอาไว้ดีหรือไม่ หรือว่าพอข้าอายุร้อยปีตายจากไปแล้ว พวกเจ้ายังจะเดินทางไกลกว่าพันหลี่ไปกราบไหว้ข้าที่เมืองจินหลิงอีกอย่างนั้นหรือ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าจะเอาไปหารือกับพี่ใหญ่และพี่รองดูขอรับ”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พี่ใหญ่ของเขาต่างหากที่เป็นบุตรชายคนโตของจวนหลัก เรื่องจัดตั้งสกุลกำหนดสุสานของตระกูลพวกนี้ย่อมต้องไปหารือกับพวกเขา
จากนั้นสองแม่ลูกก็พูดคุยถึงเรื่องที่สำนักข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำที่จี่หนิงเหล่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเฉิงฉือมีสีหน้าเหนื่อยล้า จึงรีบกล่าวเร่งให้เขากลับไปพักผ่อนด้วยความเห็นใจว่า “เมื่อคืนก็เร่งเดินทางกลับมาตั้งแต่กลางดึก วันนี้ยังต้องออกไปเจอคนอีก รีบไปพักผ่อนเถิด บ่ายวันพรุ่งนี้พวกลุงๆ น้าๆ ตระกูลกัวของเจ้าก็จะมากันแล้ว ตอนเย็นเจ้ายังต้องมาดื่มเป็นเพื่อนพวกเขาสักสองสามจอกอีก”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกท่านลุงและท่านน้าตระกูลกัวก็มาด้วยหรือขอรับ ท่านคงต้องคิดเรื่องสมทบค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางมาที่นี่ให้พวกเขาด้วยแล้วขอรับ”
“นี่ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ! พวกเขาไม่มา ข้ายังไม่เตรียมเรื่องเงินสมทบให้พวกเขาก็ได้ แต่พวกเขามาแล้ว หากข้าไม่สมทบค่าใช้จ่ายให้พวกเขา หัวใจดวงนี้คงปล่อยผ่านไปไม่ได้แน่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “มิใช่แค่พวกลุงและน้าของเจ้าเท่านั้น นายท่านผู้เฒ่าและนายท่านอีกหลายคนรวมถึงฮูหยินและพวกสะใภ้ทั้งหลายของตระกูลกู้ก็มาด้วยเช่นกัน ยังมีคนจากตระกูลเซิน ตระกูลจูของเหลียงกั๋วกง ทุกคนที่ได้รับเทียบเชิญล้วนมากันหมด ข้าและพ่อบ้านใหญ่ฉินเพิ่งไปเดินรอบๆ บ้านมาครั้งหนึ่ง ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะย้ายเข้าไปอยู่ที่ลานทิงเซียงที่ตั้งอยู่ด้านหลังของเรือนหลักถนนฝั่งตะวันออกหลังนั้น แล้วใช้บ้านที่ถนนตะวันออกหลังนี้เป็นเรือนรับรองแขกทั้งหลัง ไม่อย่างนั้นเกรงว่าในบ้านคงไม่พอรองรับทุกคนเป็นแน่”
เฉิงฉือก็เพียงส่งเทียบเชิญไปให้ญาติสนิทมิตรสหายที่จินหลิงเหล่านั้นตามมารยาทเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเมื่อได้รับเทียบเชิญแล้วทุกคนจะมากันทั้งหมดเช่นนี้
เขาตะลึงงัน กล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้าวาสนาดีหรือเป็นเพราะว่าตำแหน่งของพี่ใหญ่ใหญ่โตกันแน่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร คนมาได้ก็ดีแล้ว”
สองแม่ลูกจึงพูดถึงเรื่องย้ายบ้านขึ้นมา
ลานทิงเซียงตั้งอยู่ทางด้านหลังของเรือนหลักถนนฝั่งตะวันออก เดินข้ามประตูเล็กๆ บานหนึ่งก็ข้ามเข้าไปหากันได้แล้ว เมื่อข้ามไปแล้วจะเป็นทางเดินคดเคี้ยวลดเลี้ยวไปมาซึ่งเดินนำไปสู่ศาลาริมน้ำ สร้างตามโครงสร้างและแบบบ้านของเจียงหนาน หลังเล็ก ประณีต วิจิตรบรรจงและงดงาม เฉิงฉือนึกถึงว่าโจวเสาจิ่นนั้นไม่ชอบออกไปไหน จึงตั้งใจสร้างสถานที่หนึ่งให้นางได้นั่งคัดอักษร เล่นพิณและพักผ่อนหย่อนใจ ให้นางได้มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ทว่าด้วยเหตุนี้เรือนหลักและเรือนปีกล้วนตกแต่งให้โปร่งและโล่งสบาย ให้ดูขึงขังน้อยลงหลายส่วน และก็ไม่เหมาะสำหรับเข้าพักระยะยาวในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมีอายุเยอะอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ใส่ใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็เพียงไปอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ในเรือนหลักก็ติดตั้งท่อทำความร้อนเอาไว้แล้ว เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
เฉิงฉือคิดว่าเนื่องจากทุกคนที่มาร่วมงานแต่งล้วนมาจากเมืองจินหลิง บรรดาฮูหยินและสะใภ้เหล่านั้นอย่างไรก็ต้องมาคารวะเยี่ยมเยียนมารดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว จะปล่อยให้มารดาพักอยู่ที่ลานทิงเซียงนี้ได้อย่างไร จึงเรียกฉินจื่อจี๋มา ให้เขาปรับปรุงเรือนหลักใหม่อีกครั้งก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเข้าไปพักอาศัย ส่วนสถานที่อื่นๆ นั้นไม่เหมาะจะปรับเปลี่ยน และเขาเองก็รู้สึกเสียดายที่จะเปลี่ยนใหม่ด้วย แต่เรือนหลักนั้นจะต้องปรับแต่งใหม่ให้ดูเป็นทางการ วิจิตรบรรจง โอ่อ่าและงดงาม
***
ทางด้านซอยซิ่งหลินนั้นหลังจากที่ได้รับรายชื่อแขกที่มาร่วมงานแล้ว หยวนซื่อก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งเมื่อเฉิงจิงกลับมาถึงบ้าน นางก็สะอื้นไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ครั้งนี้ท่านแม่ทำเกินไปแล้ว น้องสี่แต่งงาน ท่านแม่ถึงกับส่งเทียบเชิญไปให้บรรดาญาติพี่น้องและสหายเก่าแก่ที่เมืองจินหลิงทุกคน พวกเขาต่างจะมาร่วมงานแต่งของน้องสี่ด้วยตัวเองแปดถึงเก้าในสิบส่วน รอให้ถึงตอนที่เจียซ่านของพวกเราแต่งงาน คนที่เมืองจินหลิงคงจะมีแต่ของขวัญส่งมาให้เท่านั้นคงไม่มีคนมาร่วมแล้ว แรกเริ่มตอนที่ท่านแม่กำหนดวันแต่งของน้องสี่ให้อยู่ก่อนวันงานแต่งของเจียซ่านนั้น ข้าก็รู้สึกกังวลใจอยู่รางๆ เล็กน้อยแล้ว แต่คิดว่าคนที่น้องสี่แต่งงานด้วยคือหลานสาวของจวนสี่ น่าจะไม่เปิดเผยอย่างเอิกเกริกถึงจะถูก ในใจจึงยังปล่อยวางได้ ถึงได้ไม่ว่ากล่าวอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าในใจของท่านแม่นั้นกลับไม่เคยมีเจียซ่านอยู่เลย…”
ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางจากจินหลิงมาถึงจิงเฉิงนั้นเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย อีกทั้งงานแต่งของเฉิงฉือและของเฉิงสวี่ก็ไม่ห่างกันมากนัก คนที่ร่วมงานเหล่านั้นอาจจะมีทั้งคนที่จะพักอยู่ที่ประตูเฉาหยางเพื่อรอจนกว่าจะร่วมงานเลี้ยงฉลองของเฉิงสวี่แล้วค่อยกลับไปและคนที่ร่วมงานแต่งของเฉิงฉือเสร็จก็กลับทันทีเลย แต่คนที่กลับเลยเหล่านั้นคงไม่อาจเดินทางเข้าเมืองหลวงถึงสองครั้งในระยะเวลาอันสั้นได้ และคนที่จะรั้งอยู่รอจนถึงวันงานแต่งของเฉิงสวี่ได้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีที่ไม่มีอะไรทำทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดถึงบุรุษ แม้แต่คนที่เป็นภรรยาเอกต้องดูแลบ้านเหล่านั้นก็ไม่อาจจากบ้านไปเป็นเวลานานได้ ถึงเวลานั้นต่อให้จะมีคนจากทุกตระกูลที่เมืองจินหลิงมาร่วมงานแต่งของเฉิงสวี่ได้ แต่คนที่มาร่วมงานก็ไม่เหมือนกัน ความสำคัญของงานแต่งในครั้งนี้ก็ไม่เท่ากันแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นทางด้านประตูเฉาหยางยังเชิญซ่งจิ่งหรานและจางฮุ่ยไปเป็นเถ้าแก่ และเชิญสะใภ้สามของตระกูลอู๋ไปเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการอีกด้วย…ถึงเวลานั้นงานแต่งของเฉิงสวี่จะทำอย่างไร
นางยังจะลงทุนลงแรงมากไปเพื่ออะไร!
ตอนที่เฉิงสวี่อายุได้สามขวบ หยวนซื่อก็อุ้มลูกกลับบ้านเกิดไปปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้เป็นหม้ายแล้ว
เฉิงจิงกับนางไม่ได้อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปีแล้ว
บ้างก็เป็นเขาที่นานๆ ทีจะได้กลับบ้านเกิดไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักครั้งหนึ่ง บ้างก็เป็นหยวนซื่อที่นานๆ ทีจะได้มาเยี่ยมเขาที่จิงเฉิง เรื่องที่ทั้งสองพูดคุยกันล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านที่ทำให้ทั้งสองต่างมีความสุขเหล่านั้นทั้งสิ้น แม้แต่ตอนที่เฉิงสวี่มาเรียนหนังสืออยู่ที่จิงเฉิงสองปีนั้น หยวนซื่อก็อบอุ่นอ่อนโยน เอื้ออารีมีจิตใจกว้างขวาง น้อยครั้งที่จะพูดถึงปัญหาจุกจิกเล็กน้อยภายในบ้าน
ตอนนี้จวนหลักย้ายมาตั้งรกรากที่จิงเฉิงทั้งหมดแล้ว ยิ่งอยู่คำพร่ำบ่นของหยวนซื่อก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น กระทั่งบางคำพูดยังลามปามไปถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย
เฉิงจิงเห็นแก่ที่นางให้กำเนิดและเลี้ยงบุตรชายหญิงให้เขา รวมถึงกตัญญูต่อผู้อาวุโสแทนเขามาหลายปีนั้นล้วนมิใช่เรื่องง่าย คำพร่ำบ่นบางอย่างก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ส่วนใหญ่เขาจึงเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยให้อย่างระมัดระวัง ใจกว้างและพยายามรับฟังให้ได้มากที่สุด
แต่คำพูดในวันนี้ออกจะเกินไปสักหน่อยแล้ว!
ใบหน้าเจือรอยยิ้มของเขาก่อนหน้านี้ค่อยๆ เย็นชาขึ้นมา
หยวนซื่อพลันรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็นึกถึงเฉิงจิงในวัยหนุ่มขึ้นมา จะว่าอะไรเกี่ยวกับตัวเขาก็ได้ทั้งนั้น เขายอมจำนนได้ทุกอย่าง แต่ไม่อาจว่ากล่าวมารดาและพวกน้องๆ ของเขาได้ ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนจะต้องทะเลาะกัน และเฉิงจิงจะไม่มีวันก้มศีรษะยอมรับผิดให้ตนด้วยเรื่องเช่นนี้เป็นอันขาด
นางพลันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา
เฉิงจิงเห็นนางหยุดหัวข้อสนทนาลงได้อย่างทันท่วงที สีหน้าสงบขึ้นเล็กน้อย กล่าวเสียงเคร่งว่า “คำพูดเช่นนี้เจ้าพูดต่อหน้าข้าก็พอ แต่ไม่อาจไปพูดต่อหน้าคนข้างนอกเป็นอันขาด ต่อให้เป็นญาติพี่น้องที่บ้านเดิมของเจ้าก็ตาม เจ้าสี่ยอมตกลงแต่งงานถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงท่านแม่ที่ดีใจ พวกเราที่เป็นพี่ชาย พี่สะใภ้ หลานชายและหลานสาวก็ควรจะดีใจด้วย…
…เขาเป็นอาของเจียซ่าน เดิมทีก็ควรจะต้องแต่งงานก่อนเจียซ่านอยู่แล้ว เรื่องวันที่นี้ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม…
…ส่วนเรื่องที่ว่าจัดงานเอิกเกริกใหญ่โตนั้น งานแต่งของเจ้าสี่นี้เป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องแรกหลังจากที่จวนหลักของพวกเราแยกตระกูลออกมา ย่อมต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ เชิญญาติสนิทมิตรสหายที่มีทั้งหมดมาร่วมงาน ไม่ต้องพูดถึงท่านแม่ ต่อให้เปลี่ยนเป็นข้าก็จะกระทำเช่นเดียวกัน…
…หากอยากจะกล่าวโทษ คงได้แต่ต้องกล่าวโทษที่วาสนาของเจียซ่านไม่ดี ที่งานแต่งตรงกับที่เจ้าสี่ก็จะแต่งงานพอดี…
…ยังมีน้องสะใภ้สามทางด้านโน้นอีก ไม่ว่าเมื่อก่อนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้นางเป็นน้องสะใภ้ของเจ้าแล้ว คำพูดบางคำพูดและเรื่องบางเรื่องจึงไม่สมควรออกมาจากปากของเจ้า…
…เรื่องพวกนี้เจ้าต้องจดจำเอาไว้…
…แล้วก็เรื่องอาการป่วยของเจ้าอีก...
…อีกไม่กี่วันก็น่าจะมีพวกญาติๆ ทยอยกันมาถึงแล้ว ลูกเจิงและลูกเซียวต่างไปช่วยงานที่ประตูเฉาหยางกันหมด เจ้าที่เป็นภรรยาเอกกลับไม่เห็นแม้แต่เงา ต่อให้เจ้าต้องฝืนใจก็ต้องโผล่หน้าออกไปบ้าง หลักการข้อนี้คงไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าก็น่าจะเข้าใจกระมัง”
หยวนซื่อรู้สึกคล้ายกับตนตกลงไปในหลุมน้ำแข็งชั่วขณะหนึ่งก็ไม่ปาน รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
“ท่าน...” นางเบิกดวงตาโตมองสามีด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เฉิงจิงอดใจอ่อนไม่ได้ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าควรจะทำตามอย่างน้องสะใภ้รองถึงจะถูก! นางสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ทว่ากลับไปคารวะเยี่ยมเยียนท่านแม่ทุกสามถึงห้าวัน เจ้าสี่จะแต่งงาน นางยิ่งแล้วใหญ่ถึงกับเข้าไปพักอยู่ที่ประตูเฉาหยาง…อาหลิน แข็งเกินไปนั้นย่อมหักง่าย หลักการข้อนี้เจ้าน่าจะเข้าใจดีถึงจะถูก”
น้ำตาของหยวนซื่อไหลลงมาเป็นสาย
เฉิงจิงถอนหายใจ โอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “เอาละๆ ข้าเองก็ไม่ได้กล่าวโทษเจ้า เจ้าก็รู้จักนิสัยของท่านแม่ดี ก้มศีรษะให้ท่านแม่สักครั้งจะเป็นไรไป อีกสองวันข้าจะได้หยุดพัก พวกเราไปดูที่ประตูเฉาหยางพร้อมกันก็แล้วกัน”
หาทางออกที่นุ่มนวลให้หยวนซื่ออีกครั้งหนึ่ง
หยวนซื่อพยักหน้า ทว่าในใจกลับคิดคำนวณว่าตระกูลหยวนมีครอบครัวของหยวนเหวยชางอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงทั้งครอบครัว งานแต่งของเฉิงฉือ พวกเขาจะต้องมาร่วมงานอย่างแน่นอน ส่วนตระกูลเดิมของนางเพียงส่งคนมาทักทายสักคำก็พอแล้ว รอให้ถึงตอนที่เฉิงสวี่แต่งงานค่อยเดินทางมากันทั้งหมดก็แล้วกัน ส่วนญาติๆ พวกนั้น…
พอนางนึกถึงฮูหยินรองฟางขึ้นมาก็รู้สึกปวดศีรษะตามขึ้นมาด้วย
ใบหน้าเย็นชาที่เย็นจนแช่แข็งคนได้ใบหน้านั้นของฮูหยินรองฟางทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยทุกครั้งที่นึกถึงขึ้นมา
ดูทีแล้วบัญชีแค้นในครั้งนี้ฮูหยินรองฟางคงจะหมายหัวนางเอาไว้แล้ว
ถึงแม้นางจะไม่กลัว แต่เพียงคิดว่ามีคนผู้หนึ่งเคียดแค้นตนอยู่เช่นนี้ ผู้ใดจะมีความสุขได้
หยวนซื่อพิงอยู่บนไหล่ของเฉิงจิงอย่างอ่อนล้าเล็กน้อย
ส่วนเฉิงฉือที่ถนนตะวันตกนั้นกลับนอนไม่ค่อยหลับ
นึกถึงเด็กน้อยผู้นั้นที่เวลานี้อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับเขา ที่นั่งรถม้าเพียงไม่กี่เค่อก็ไปถึงแล้ว ในใจของเขารู้สึกหอมหวานประหนึ่งดื่มน้ำผึ้งเข้าไปก็ไม่ปาน มีความรู้สึกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรพลุ่งพล่านอยู่กลางหน้าอก คล้ายกับน้ำที่กำลังเดือดพล่านไม่หยุด
ควรจะไปดูนางสักหน่อยหรือไม่นะ
จะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นเดือนแล้ว
เขาให้คนนำจดหมายไปบอกว่าเขากลับมาแล้ว
ไม่รู้ว่าเด็กน้อยผู้นั้นจะคิดถึงเขาบ้างหรือไม่
อีกยี่สิบกว่าวัน นางก็จะได้เดินเข้ามาในบ้านที่เขาสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่กำบังลมและที่หลบฝนให้นาง ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ใต้ปีกของเขาแล้ว…
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้เฉิงฉือจึงนอนไม่ค่อยหลับเล็กน้อย
เขาลุกขึ้นมาแล้วก็นอนลงไปใหม่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยิ้มขื่นเอนตัวนอนอยู่บนเตียง
ช่างสมกับที่กล่าวว่าบ้านที่มีความอบอุ่นของสตรีอันเป็นที่รักทำให้วีรบุรุษลืมการต่อสู้และถึงแก่ความตายได้นั่นจริงๆ
นี่เขายังไม่ทันได้แต่งงานก็เริ่มละล้าละลังห่วงหน้าพะวงหลังเสียแล้ว…
……………………………………………………………