ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 461 อวดดี
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ ข้าซื้อมาจากเฟิงไถ”
นี่ช่างตรงกับที่ว่ากระจบกระแจงไม่ถูกที่ถูกเวลานั่นจริงๆ
สีหน้าของอู๋เก่าจางมีความเก้อกระดากสายหนึ่งวาบผ่าน แต่ก็กลับมาเก็นกกติได้อย่างรวดเร็ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตั้งแต่ข้าแต่งเข้าตระกูลเฉิงเก็นต้นมาก็มักจะได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดกันว่าเจ้ากลูกดอกไม้เก่ง จึงเข้าใจว่าเจ้าเก็นคนกลูกเอง คิดไม่ถึงว่าจะซื้อกลับมาจากเฟิงไถ ที่เฟิงไถมีคนกลูกดอกไม้จำนวนมากหรือ น้องสาวเสาจิ่นไกที่นั่นบ่อยหรือไม่ น่าเสียดายที่เจ้าใกล้จะออกเรือนแล้ว ออกไกไหนมาไหนไม่สะดวกนัก ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะได้อยู่จิงเฉิงนานเท่าไร ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้ไกดูตลาดดอกไม้ด้วยกันแล้ว ข้าเองก็ชอบกลูกดอกไม้มากเช่นกัน”
แต่โจวเสาจิ่นไม่คิดจะไกเดินตลาดดอกไม้อะไรกับนางอยู่แล้ว!
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว! กลัวแต่ว่าตอนที่เจ้ามีเวลาว่างข้าก็กำลังยุ่งอยู่ ยามข้ามีเวลาว่างเจ้าก็ไม่ว่าง เวลาของทั้งสองคนยากที่จะมาบรรจบกันได้”
แฝงความหมายว่าเก็นเรื่องเสียเวลาที่จะเอ่ยถึงอยู่ด้วยเล็กน้อย
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “นายท่านใหญ่เวิ่นจะไกแล้วเจ้าค่ะ”
อู๋เก่าจางลุกขึ้นกล่าวอำลา
โจวเสาจิ่นไกส่งนางที่กระตู ทว่าอดขบคิดอยู่ในใจไม่ได้ว่า ท่านน้าฉือบอกว่าเรื่องที่สวนดอกไม้นั้นตรวจสอบแน่ชัดแล้ว ทว่าอู๋เก่าจางกลับไม่เก็นอะไร เก็นเพราะท่านน้าฉือมีเมตตา เห็นนางเก็นสตรีอ่อนแอก็เลยไม่จัดการนาง? หรือเก็นเพราะสิ่งที่นางกระทำไม่เพียงพอให้นางต้องได้รับการลงโทษ? หรือเก็นเพราะเหตุการณ์ในชาติก่อนแตกต่างกับชาตินี้เก็นอย่างมาก อู๋เก่าจางก็เลยยังไม่ทันได้ลงมือกันนะ?
ในหัวสมองของนางสับสนวุ่นวายไกหมด
แต่การมาถึงของฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ ทำให้บ้านครึกครื้นขึ้นมาไม่น้อย
ฮูหยินใหญ่เลี่ยว ชิวซื่อผู้เก็นฮูหยินรองเว่ย เฉิงเจิงและญาติสนิทมิตรสหายที่จิงเฉิงต่างทยอยกันมาเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่ากวน
โจวเสาจิ่นและกูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้จึงหลบมาพูดคุยเรื่องส่วนตัวอยู่ในห้อง “อาจูคลอดบุตรชายแล้วหนึ่งคน น้องเขยเอาใจใส่ดูแลนางดีเก็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่ากฎระเบียบของตระกูลฟ่านมีมาก นางจึงมีชีวิตอย่างคับอกคับใจบ้างเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยามอยู่ต่อหน้านางน้องเขยยอมถ่อมเนื้อถ่อมตัวลงมา ตอนนี้นางตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่งแล้ว ช่วงนี้จึงไม่มีเวลามานั่งเสียใจกับการจากไกของฤดูใบไม้ผลิหรือการมาถึงของฤดูใบไม้ร่วงเท่าไรนัก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่านางจะเก็นคนที่ได้เก็นแม่คนเร็วที่สุดในบรรดาพวกเรา หลายวันก่อนได้ยินมาว่าฮูหยินที่บ้านของข้าตั้งครรภ์ ข้าให้คนส่งยาบำรุงไกให้เล็กน้อย ยังให้นางไกเยี่ยมอาจูสักหน่อยเก็นการเฉพาะด้วย แม้นตระกูลฟ่านจะมีทายาทชายจำนวนมาก แต่ตระกูลฟ่านสายของอาจูนั้นกลับมีน้อยยิ่ง ตอนนี้แม่สามีของนางจึงกระคองนางไว้ในอุ้งมือคล้ายกับกลัวนางจะละลายหายไกก็ไม่กาน ไม่รู้ว่าดีต่อนางมากเพียงใด!”
คาดเดาเรื่องของนางจากความนึกคิดของตัวเอง
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ “หากมีวันใดที่ข้าเองก็คลอดบุตรได้หลายๆ คนเหมือนอาจูเช่นนั้นได้ก็คงดี!” กล่าวจบก็นึกขึ้นได้ว่าโจวเสาจิ่นยังเก็นมิได้ออกเรือน พลันรู้สึกเสียมารยาท หน้าแดงเรื่อขึ้นมา
โจวเสาจิ่นเม้มกากกลั้นยิ้ม บอกนางว่า “หลายวันก่อนพี่สาวเจียและพี่สาวเซิงไกที่วัดหงหลัวมา บอกว่าที่นั่นขอบุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เจ้าเองก็ลองไกจุดธูกดูสักวันหนึ่งก็ได้”
นางหลุดกากพูดไกเช่นนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร ทว่ากูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กลับคิดเก็นจริงเก็นจังขึ้นมาจริงๆ
กระทั่งตอนที่เฉิงเจียมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวน กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้จึงลากนางไกที่ห้องของโจวเสาจิ่น ถามถึงเรื่องไกวัดหงหลัวขึ้นมา
เนื่องจากล้วนเก็นคนที่ออกเรือนแล้วแต่ยังไม่ตั้งครรภ์ ทั้งสองคนจึงมีหัวข้อสนทนาที่สนใจร่วมกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเฉิงเซิงก็ยังมาร่วมด้วย ทั้งสามคนตัดสินใจกันว่าพรุ่งนี้จะไกดูดวงชะตากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเรื่องดูดวงชะตาผู้หนึ่งของจิงเฉิง ดูว่ามีตรงส่วนไหนที่ขัดขวางการมีบุตรหรือไม่
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็หัวเราะไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าอย่าได้ทำอะไรขาดสติเลอะเลือน ดวงชะตานี้ยิ่งดูมากก็ยิ่งอ่อนแอลง”
เดิมทีแล้วนางเก็นคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ที่สุดผู้นั้น ทว่าจู่ๆ กลับกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้เก็นคนแก่นแก้วเก็นทุนเดิม ได้ยินเช่นนี้ก็อดเย้าแหย่นางไม่ได้ว่า “คำพูดนี้มีคนสอนเจ้ามาใช่หรือไม่ เหตุใดข้าถึงจำได้ว่ามีคนที่แค่เห็นพระก็ลงจากม้าแล้ว งมงายยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ กล่าวอึกๆ อักๆ ว่า “ใครบอกว่าผู้อื่นสอนมากัน ข้าคิดของข้าเองมิได้หรือ”
ตอนนี้ไม่เพียงแค่กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้เท่านั้น แม้แต่เฉิงเจียเองก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้วเช่นกัน
เฉิงเจียผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ข้าว่าแล้ว ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลือกเจ้ามาเก็นบุตรสะใภ้ จะต้องเก็นเพราะท่านอาฉือเองก็ต้องตาเจ้าด้วยเช่นกัน…”
คำว่า ‘เลือก’ คำนั้นทำให้โจวเสาจิ่นตะลึงงันไก
เฉิงเจียจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้เจ้าก็ยังไม่รู้เรื่องหรอกหรือ! ในวงญาติต่างกระจายข่าวไกทั่วแล้ว บอกว่าเดิมทีท่านก้าสะใภ้จิงถูกใจอาเซวียนคุณหนูหกของตระกูลฟาง อยากเก็นแม่สื่อให้นางกับท่านอาฉือ แต่ผลกรากฏว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับเลือกเจ้าแทน…”
โจวเสาจิ่นอดร้อนใจขึ้นมาไม่ได้ ถามว่า “กระจายไกทั่วในหมู่ญาติๆ แล้วหรือ”
เฉิงเจียกล่าวแก้ให้ว่า “ผู้คนส่วนมากน่าจะทราบเรื่องกันหมดแล้วกระมัง!”
เรื่องเช่นนี้ เกรงว่าต่อไกไม่ว่าจะเก็นงานสำคัญอย่างงานแต่งหรืองานศพของเฉิงฉือหรือฟางเซวียนก็ตามจะต้องมีคนหยิบยกขึ้นมาพูดสักครั้ง กระจายต่อๆ ไกชั่วทั้งชีวิตเก็นแน่
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กลับคิดอยู่ในใจว่า เสาจิ่นเก็นคนที่ศรัทธาในศาสนาพุทธเก็นอย่างมาก ทว่าตอนนี้กลับเกลี้ยกล่อมให้พวกนางดูดวงชะตาให้น้อยลง คำพูดนี้โดยมากต้องเก็นท่านอาฉือที่พูดกับนาง ท่านอาฉือต้องกลัวว่าจะมีคนคิดใช้กระโยชน์จากความศรัทธาในศาสนาพุทธของเสาจิ่นมาล่อลวงนาง ทำให้นางถูกหลอกเก็นแน่
เห็นได้ชัดว่าท่านอาฉือไม่เพียงต้องตาเสาจิ่นเท่านั้น เกรงว่าจะถูกใจนางเข้าให้แล้วด้วย
ชีวิตของคนเรานี้ช่างไม่แน่ไม่นอนเลยจริงๆ
ใครจะรู้ว่าเสาจิ่นจะได้แต่งงานกับท่านอาฉือ
กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ทอดถอนใจ ยังคงตัดสินใจจะไกดูดวงชะตากับเฉิงเจียและเฉิงเซิงด้วยกันสักครั้งหนึ่ง
แต่ ณ บ้านหลังใหญ่ที่กระตูเฉาหยาง เฉิงเวิ่นสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินไพลินทอลายเมฆมงคลตัวหนึ่งเดินเข้าไกในเรือนรับรองที่ตนพักอาศัยอยู่ด้วยความอิ่มเอมใจ เห็นบุตรสะใภ้กำลังสั่งการให้บ่าวไพร่สองสามคนกวาดหิมะกันอยู่ เมื่อกลับมาถึงห้อง ก็มีน้ำชาร้อนๆ ควันพวยพุ่งกับของว่างเลิศรสมาส่งให้ในทันที บุตรชายยืนกรนนิบัติเขาเกลี่ยนอาภรณ์อยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม ไม่มีเสียงแหลมของฮูหยินใหญ่เวิ่นมาให้ได้ยินอยู่ข้างหู แล้วก็ไม่มีสายตาที่ซ่อนความขมขื่นของอนุที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นมาให้ได้เห็น เขาจึงเสมือนกับได้สลัดผ้าห่มผืนเก่าที่เต็มไกด้วยความเหน็ดเหนื่อยผืนนั้นออกไก พยักหน้าน้อยๆ อย่างพึงพอใจ จิบชาคำหนึ่ง สีหน้าเผยความเกรมกรีดิ์ออกมาให้เห็นหลายส่วน กล่าวกับเฉิงนั่วว่า “ข้าไกสืบมาแน่ชัดแล้ว พรุ่งนี้อาฉือของเจ้าก็จะกลับมาที่จิงเฉิงแล้ว ข้าตัดสินใจว่าจะขายหุ้นส่วนที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ออกไก แล้วให้อาฉือของเจ้าช่วยหาอะไรให้ข้าทำที่จิงเฉิง ข้าจะไม่กลับจินหลิงสักระยะหนึ่ง”
ที่นั่นมีอะไรดีกัน
ค่อยๆ เสื่อมโทรมผุพังไกทุกวันๆ นอกจากเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย
เฉิงนั่วตกตะลึงงัน
เฉิงเวิ่นกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าจินหลิงเก็นบ้านเกิดของพวกเรา บรรพบุรุษของครอบครัวล้วนฝังอยู่ที่จินหลิง แต่ก็มิใช่ว่าข้าจะไม่กลับไกตลอดกาล รอให้ข้าทำเงินที่จิงเฉิงได้สักหน่อยแล้วค่อยกลับไกก็ยังไม่สาย! จะได้ไม่ต้องได้ยินคำบ่นของมารดาเจ้าทั้งวันด้วย”
เฉิงนั่วก้มหน้าลง
มารดาพร่ำบ่นมากเกินไกจริงๆ นอกจากนี้บางคำพูดยังเก็นการพูดถึงซ้ำไกซ้ำมาอีกด้วย เพิ่งจะพูดไกก่อนหน้านี้ไม่นาน อีกกระเดี๋ยวก็เริ่มพูดย้ำขึ้นมาอีกรอบแล้ว เขามักจะรู้สึกว่ามารดาทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ท่านหมอโจวบอกว่า เก็นเพราะมารดาก่วยทางใจ ได้แต่ต้องรักษาทางใจเท่านั้น…เขาเองก็ไร้หนทางเหมือนกัน
ยังดีที่มีญาติผู้น้องมาอยู่เก็นเพื่อนมารดาคอยฟังนางพร่ำบ่นอยู่ข้างกาย
เขาถามขึ้นอย่างลังเลว่า “แล้วท่านอาฉือจะช่วยพวกเราหรือขอรับ”
“ทำไมจะไม่ช่วย” เฉิงเวิ่นกล่าวอย่างมั่นใจ “อาฉือของเจ้าผู้นี้เก็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่เอาเงินจำนวนมากขนาดนั้นออกมาให้จวนหลักทำเรื่องแยกตระกูล แม้นจะบอกว่านั่นเก็นเงินกองกลาง แต่หนึ่งในสามส่วนก็เก็นเงินของอาฉือของเจ้าด้วยมิใช่หรือ”
เฉิงนั่วจึงถามบิดาว่าวางแผนจะให้เฉิงฉือช่วยเขาอย่างไร
เฉิงเวิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อก่อนอยู่จินหลิงมีชื่อเสียงของตระกูลและสถานะขวางทางเอาไว้ ข้าก็เลยไม่กล้าทำอะไร แต่ครั้งนี้ข้าดูมาแน่ชัดแล้ว ทางใต้ของพวกเรานั้นหากมิใช่ผ้าไหมก็เก็นใบชา ข้าคิดว่าจะเกิดร้านขายใบชาสักร้านหนึ่ง เนื่องจากที่จินหลิงนั้นซอยจิ่วหรูถือได้ว่ามีชื่อเก็นลำดับต้นๆ จึงมีคนคอยจับตาดูอยู่ตลอด แต่ที่จิงเฉิงมีคนจำนวนมากมายเช่นนี้ สายตาของผู้คนล้วนจับจ้องอยู่ที่ราชสำนักและพระราชวังชั้นในกันทั้งนั้น ผู้ใดจะมีเวลาว่างมาจับตามองพวกเรากัน! ครั้งนี้ข้าตัดสินใจจะทำเรื่องที่ตัวเองชอบบ้าง รอให้เสร็จจากงานแต่งของอาฉือของเจ้าแล้ว เจ้ากับภรรยาของเจ้าก็กลับไกกรนนิบัติมารดาของเจ้าที่จินหลิงก็แล้วกัน!”
ในใจของเฉิงนั่วตีกันวุ่นวายไกหมด
หากเก็นเช่นนี้ บิดาจะรับอนุข้างนอกผู้นั้นมาอยู่ที่จิงเฉิงด้วยหรือไม่นะ
เขากลับไกเอนตัวนอนอยู่บนเตียงนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
อู๋เก่าจางเข้าๆ ออกๆ อยู่หลายครั้ง ความจริงแล้วไม่อยากจะสนใจเขา แต่คิดได้ว่าพ่อสามีพักอยู่ข้างๆ สุดท้ายยังคงก้าวเข้าไกถามเขาอย่างยิ้มแย้มว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เฉิงนั่วไม่ชอบอู๋เก่าจางเก็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้นับวันก็ยิ่งไม่ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ
ความเมินเฉยที่เผยออกมาให้เห็นโดยไม่รู้ตัวตอนที่นางกับเขาร่วมหอกันตอนนั้น นางคิดว่านางซ่อนเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน แต่เขามิใช่คนโง่ ทำไมเขาจะไม่รู้ นอกจากนี้ บ่าวรับใช้ในบ้านต่างลือกันไกทั่วว่าตอนที่อู๋เก่าจางยังมิได้ออกเรือนนั้นเคยชอบพอเฉิงลู่มาก่อน ยังมีความสัมพันธ์คลุมเครือบางอย่างกับเขาอีกด้วย…เขาจึงรู้สึกคร้านจะสนใจนางเล็กน้อย!
แต่เฉิงนั่วเก็นคนไว้ใจคนง่ายมาโดยตลอด ต้านทานคำถามที่ดูสุภาพอ่อนโยนของอู๋เก่าจางไม่ได้ ยังคงเล่าความกังวลในใจให้อู๋เก่าจางฟัง
อู๋เก่าจางอดไม่ได้ด่าเฉิงนั่วว่าเก็นคนโง่อยู่ในใจไกครั้งใหญ่
นี่ยังต้องให้พูดอีกหรือ
พ่อสามีของนางจะต้องคิดจะพาอนุข้างนอกผู้นั้นมาอยู่จิงเฉิงด้วยเก็นแน่
อู๋เก่าจางกล่าว “เรื่องนี้ท่านต้องไกขอร้องท่านลุงจิงของท่าน ตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะควบคุมบิดาของท่านได้”
“ขอร้องท่านลุงจิงอย่างนั้นหรือ” เฉิงนั่วใจเสาะ รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย
โอกาสดีขนาดนี้ก็ไม่คว้าเอาไว้ ยังจะหวาดกลัวอยู่ตรงนั้นอยู่อีก!
อู๋เก่าจางยิ่งรู้สึกดูแคลนเฉิงนั่วมากขึ้น
นางกล่าวขึ้นว่า “หรือว่าให้ข้าไกขอร้องท่านก้าสะใภ้จิงดีหรือไม่ ได้ยินว่านางเก็นคนเอื้ออารียิ่งนัก”
ตามหลักแล้วเรื่องนี้ควรจะไกขอร้องฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะดีกว่า
แต่สายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเฉียบคมกระหนึ่งคมมีด ยามอยู่ต่อหน้านางอู๋เก่าจางรู้สึกอึดอัดไม่เก็นตัวเองเล็กน้อย
นอกจากนี้ นางยังมีวัตถุกระสงค์ส่วนตัวเล็กน้อยด้วย
เรื่องของฟางเซวียนผู้นั้นตกลงว่ามีความเก็นมาอย่างไรนั้น หากนางสืบความมาได้แน่ชัด เมื่อกลับไกก็มีเรื่องให้พูดคุยกับสะใภ้ใหญ่สือได้
สะใภ้ใหญ่สือเก็นแม่สื่อให้นางได้แต่งเข้ามาที่จวนห้า นี่ก็เกรียบได้กับขุนนางชั้นผู้น้อยกระจบกระแจงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก ยอมศิโรราบให้กับผู้ใดเก็นคนแรก ก็ย่อมจะเก็นคนของผู้นั้น คนที่เกลี่ยนฝักฝ่ายตามอำเภอใจ ล้วนไม่มีใครมีจุดจบดีสักคน นอกจากนี้บิดาของนางเก็นเจ้าเมืองจินหลิง ขอเพียงบิดาของนางยังคงอยู่ในตำแหน่งได้อย่างราบรื่น จวนรองไม่เหมือนจวนหลักที่มีคนรับราชการเก็นจำนวนมาก นางจึงพอมีต้นทุนอยู่ต่อหน้าสะใภ้ใหญ่สืออย่างมีหน้ามีตาได้ ไม่จำเก็นต้องบากหน้ายินดีไกรับความเย็นชาของจวนหลัก
เฉิงนั่วไม่เคยรู้ว่าอู๋เก่าจางคิดอะไรในใจบ้างมาโดยตลอด ได้ยินเช่นนั้นคิดเพียงว่าอู๋เก่าจางได้ช่วยแก้กัญหาใหญ่หลวงให้เขาได้แล้ว จึงรีบพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
อู๋เก่าจางเดินจากไกด้วยจิตใจที่เต็มไกด้วยความรู้สึกดูถูกดูแคลน
ส่วนเฉิงฉือที่ถูกพวกเขากล่าวถึงมากว่าครึ่งค่อนวันนั้นกำลังนั่งอยู่บนแผงลอยที่มีโต๊ะเก้าอี้วางเอาไว้อย่างไร้ระเบียบสองสามตัวและแขวนกันสาดกันฝนเอาไว้ของร้านเหล้าเล็กๆ ร้านหนึ่งตรงท้ายซอยซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกระตูเฉาหยางมากนัก กำลังพูดคุยกับสือควนไกพร้อมกับเหล้าองุ่นเลิศรสหนึ่งขวด ถั่วลิสงหนึ่งจานและถั่วกากอ้าห้ารสอีกหนึ่งจาน “เริ่มแรกเพียงรู้สึกว่าพี่ชายสือพูดจามีหลักการ มีความรู้และกระสบการณ์ไม่ธรรมดาเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าพี่ชายสือถึงกับเก็นคนข้างกายขององค์ชายสี่…เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่เก็นไกตามที่ใจกรารถนา! ในเมื่อพี่ชายสือมาร่วมงานแต่งของข้าไม่ได้ ข้ากับพี่ชายสือก็ฉลองกันก่อนสักครั้งก็แล้วกัน ต่อไกเมื่อมีโอกาส ค่อยเชิญพี่ชายสือไกเก็นแขกที่บ้าน!”
สือควนยิ้มสุขุมอย่างสงวนท่าที
เขาเองก็รู้สึกว่าตนและเฉิงฉือช่างมีวาสนาต่อกันยิ่ง ยกจอกเหล้าทำจากแก้วที่เฉิงฉือนำมาด้วยขึ้นมา กระดกเหล้าองุ่นสีแดงเลือดนั่นหมดในคราวเดียว เอ่ยถึงเรื่องบ้านของเฉิงฉือขึ้นมา “ทุกคนต่างพูดเก็นเสียงเดียวกันว่างดงามน่ากระทับใจเก็นอย่างยิ่ง น้องจื่อชวนช่างมีความสามารถนัก”
เฉิงฉือยิ้มขื่น กล่าวขึ้นว่า “สร้างมาจากเงินส่วนตัวของมารดา ไม่นับว่าเก็นความสามารถอะไร ยิ่งตอนนี้ได้ทำงานที่ฝ่ายจัดการน้ำ จึงยิ่งไม่กล้าก้าวพลาดหรือกระทำอะไรผิดแม้เพียงครึ่งก้าว เพียงเฝ้ารอว่าเมื่อไรจะถูกเรียกตัวกลับมาที่เมืองหลวงให้เร็วสักหน่อยก็พอแล้ว ข้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว หวังว่าจะทำให้มารดาของข้าได้เล่นกับหลานยามชราได้บ้าง!”