ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 38 พบหน้า
นี่คือเหตุการณ์อะไรอีก?
โจวเสาจิ่นรู้สึกมืดมนเล็กน้อย
ลำดับแรกเป็นเพราะเหตุผลของเฉิงสวี่ทำให้นางถูกสายตาของทุกคนมองสำรวจอย่างจดจ้อง ต่อมาถูกเฉิงสวี่เรียกให้ไปช่วยดึงตราประทับผีชิ้นนั้นที่เรือนฉางชุน จากนั้นได้รู้เฉิงลู่ไปโพนทะนาที่สำนักศึกษาเอาไว้ว่าตนกับเขาเป็นคู่รักในวัยเยาว์ที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ยังมาได้ยินสิ่งที่พานชิงพูดกับหูของตัวเองทำนองว่า ‘เป็นคุณหนูรองตระกูลโจวที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านพ่อหรือเป็นภรรยาของตระกูลเฉิงในอนาคตที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านพ่อ’…นางรู้สึกว่าโลกทั้งใบกลับตาลปัตร ราวกับว่านางใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน อะไรคือเรื่องจริงและอะไรคือเรื่องเท็จ ที่ผ่านมานางไม่เคยทำความเข้าใจกับมันอย่างถ่องแท้มาก่อน
มีคนเดินออกมาจากกลางป่าด้านข้าง
นางสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงเลือดนกดิ้นทอง บนมวยผมทั้งคู่ผูกเอาไว้ด้วยลูกปัดดอกไม้อย่างเรียบร้อย มีปานแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวเม็ดอยู่หนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ที่มุมปากมีรอยยิ้มเลศนัยสายหนึ่งปรากฏอยู่
โจวเสาจิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย
อู๋เป่าจาง!
นางมาทำอะไรอยู่ที่นี่
นางมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ยินอะไรไปแล้วบ้าง และสังเกตเห็นตนหรือไม่นะ?
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด
ทว่าอู๋เป่าจางย้อนกลับเข้าไปในป่าอีกครั้งด้วยท่วงท่าสบายๆ และซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
โจวเสาจิ่นตกใจ สายตากลับมองเห็นเฉิงสวี่กับพานจ้าวเดินเคียงกันมา
ทำไมพานจ้าวกับเฉิงสวี่ถึงมาอยู่ด้วยกันได้?
คิ้วของนางขมวดเล็กน้อย ได้ยินเฉิงสวี่กับพานจ้าวที่ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามาถามขึ้นว่า “เจ้าไม่เห็นน้องสาวรองตระกูลโจวเลยหรือ”
“ไม่เห็นจริงๆ!” พานจ้าวขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีค่อนข้างจริงจัง กล่าวขึ้นว่า “ข้าเพิ่งจะแยกกับน้องสาวที่นี่ หากว่าน้องสาวรองตระกูลโจวเดินผ่านมา ข้าย่อมต้องเห็นแล้วอย่างแน่นอน!”
ที่ตรงนี้เป็นทางเดินเส้นตรงสายหลัก หากว่ามีคนเดินผ่านมาก็จะมองเห็นได้
“หรือว่าจะหลงทาง?” เฉิงสวี่พึมพำ ก้าวช้าลง จากนั้นมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ
ที่แท้อู๋เป่าจางกำลังซ่อนตัวจากพวกเขาทั้งสองคนนี่เอง!
คำพูดของพานจ้าวและพานชิงกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในหัวของโจวเสาจิ่น นางไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบกอดได้ต้นหนึ่งโดยสัญชาตญาณ
ทว่ากลับมีเสียงตะโกนอย่างดังเสียงหนึ่งดังอยู่กลางอากาศ “ใครแอบอยู่ตรงนั้น?”
โจวเสาจิ่นเป็นคนขี้กลัวมาโดยตลอด ชั่วขณะนั้นจึงตกใจจนตัวซีดชา สองขาอ่อนแรง ไม่สามารถขยับตัวได้ไปพักใหญ่
มีเสียงฝีเท้าเร็วและเบาดังเข้ามาที่ข้างหู
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก
ถ้าหากว่าถูกคนจับได้ขึ้นมา ตนจะทำอย่างไรดี?
นางเหลือบมองไปอย่างกังวล ทว่ากลับเห็นเฉิงสวี่ทำหน้าเคร่งขรึมและเดินตรงไปทางป่า พานจ้าวยืนอยู่ที่ระหว่างทางเดิน เอ่ยถามเฉิงสวี่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนแอบอยู่ในป่า” เฉิงสวี่กล่าวเสียงเข้ม ใบหน้ามีลักษณะดุดันที่โจวเสาจิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน
โจวเสาจิ่นผงะ
อู๋เป่าจางเดินออกมาจากในป่าด้วยอาการสั่นกลัว
“คุณชายเฉิง ข้าเองเจ้าค่ะ!” นางมองเฉิงสวี่ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อทั้งหน้า กล่าวอย่างเขินอายว่า “ในเรือนซื่ออี๋นั้นเสียงดังจอแจ ข้ารู้สึกปวดศีรษะยิ่ง ทั้งกลัวว่าจะทำให้ผู้ใหญ่หมดความรื่นเริง จึงอยากมาสงบใจนิ่งๆ อยู่ที่นี่คนเดียว คิดไม่ถึงว่าจะเจอท่านกับคุณชายพาน…เดิมทีคิดจะซ่อนตัวเอาไว้เจ้าค่ะ”
ข้ออ้างนี้เข้าท่าดีจริงๆ!
โจวเสาจิ่นเกือบจะปรบมือให้อู่เป่าจาง
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตน อาจจะคิดข้ออ้างเช่นนี้ออกมาไม่ได้
นางคิดว่าเฉิงสวี่จะปล่อยอู๋เป่าจางไปด้วยความสงสาร ใครจะรู้ว่าเฉิงสวี่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่เรือนซื่ออี๋ที่อยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “คุณหนูคือ?”
“โอ้!” ในตาของอู๋เป่าจางมีความลนลานสายหนึ่งวาบผ่าน รีบกล่าวขึ้นว่า “บิดาของข้าคืออู๋เซี่ยซิ่ว เป็นเจ้าเมืองของจินหลิง เมื่อหลายวันก่อนตอนที่มาเยี่ยมฮูหยินหยวนที่จวนนั้นยังได้เดินผ่านกับคุณชาย คุณชายจำข้าไม่ได้ แต่ข้าจำคุณชายได้เจ้าค่ะ!”
เฉิงสวี่ได้ยินแล้วก็มองอู๋เป่าจางอย่างจดจ้องไปครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าความจำของคุณหนูอู๋จะดีถึงเพียงนี้ หลังจากที่เลิกเรียนในช่วงบ่ายยามโหย่วสือ [1] สามเค่อข้าถึงได้ไปคารวะยามเย็นท่านแม่ แต่คุณหนูอู๋กลับเดินผ่านกับข้าได้ เป็นพรหมลิขิตจริงๆ เชียว!”
โดยปกติหากว่าเลยยามโหย่วสือสามเค่อไปแล้วแขกยังไม่กลับ ก็มักจะรั้งให้อยู่ทานมื้อเย็นด้วย
คำพูดของเฉิงสวี่มีความนัย แสดงให้เห็นชัดเจนว่าในวันนั้นหยวนซื่อไม่ได้มีแขกอยู่ด้วย
โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่ง
นางเข้าใจมาตลอดว่าเฉิงสวี่นั้นเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญจากตระกูลร่ำรวยที่เรียนหนังสือเก่งผู้หนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขายังมีด้านที่ช่างพินิจพิเคราะห์ขนาดนี้ สามารถสังเกตความผิดปกติจากคำพูดของอู๋เป่าจางได้!
อู๋เป่าจาง นางต้องการจะทำอะไรกันแน่?
โจวเสาจิ่นมองนางแล้ว รู้สึกได้ถึงความรู้สึกประเภทหนึ่งที่ความแค้นเก่ายังไม่ได้สะสางก็มีความแค้นใหม่เพิ่มเข้ามา
อู๋เป่าจางถูกเปิดโปง นอกจากจะไม่มีอาการตื่นตระหนกแล้ว กลับยังมีความมั่นใจประเภทหนึ่งทำนองว่า ‘เรื่องผ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว เจ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่อาจมากล่าวโทษว่าข้าพูดเท็จได้’ นางสงบลงและยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ! หากไม่ใช่ว่าวันนั้นพวกข้ากลับออกไปช้า ก็คงไม่มีวาสนาได้พบกับคุณชายแล้วเจ้าค่ะ”
พานจ้าวนั้นกลับดูเหมือนว่านึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูอู๋ออกมาจากเรือนซื่ออี๋ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ ทำไมเมื่อสักครู่ข้าถึงไม่เห็นคุณหนูอู๋?”
อู๋เป่าจางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเพิ่งจะออกมา ยังไม่ทันได้สำรวจรอบๆ สักครั้งเลยก็บังเอิญพบกับคุณชายทั้งสองก่อน โชคไม่ดีจริงๆ เจ้าค่ะ!”
“อย่างนั้นหรือ” พานจ้าวมองอู๋เป่าจางอย่างเคลือบแคลงสงสัย สายตาเย็นชา
อู๋เป่าจางยังคงพูดด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจเช่นเดิม “ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณชายพานต้องสงสัยในตัวข้าด้วยหรือเจ้าคะ” ขณะที่นางพูด ก็กล่าวขึ้นอีกอย่างเสียใจว่า “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็คงจะไม่ซ่อนตัวจากคุณชายทั้งสองแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นคร้านจะฟังอู๋เป่าจางพูดจาไร้สาระอีก จึงยกกระโปรงขึ้น เตรียมออกไปจากที่นี่อย่างเงียบๆ
แต่เมื่อเท้าของนางเหยียบลงไป ก็มีเสียงย่ำฝ่าเท้าอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งดังขึ้นในป่า
“ใครอยู่ตรงนั้น” เฉิงสวี่ตะโกนขึ้น
จบกัน!
ถูกจับได้แล้ว!
โจวเสาจิ่นยกเท้าขึ้นแล้วก็ออกวิ่ง
“น้องสาวรองตระกูลโจว!” มีเสียงที่ทั้งยินดีและประหลาดใจของเฉิงสวี่ดังมาจากด้านหลังของนาง
โจวเสาจิ่นตื่นตระหนกอยู่ในใจ
เมื่อเปรียบเทียบกับที่ถูกเฉิงสวี่จับได้แล้ว นางกลัวจะถูกอู๋เป่าจางกับพานจ้าวรู้เรื่องที่นางแอบฟังมากกว่าเสียอีก
ข้างหน้ามีกิ่งไม้ขวางทางที่นางจะไปเอาไว้ แต่เมื่อนางยกกิ่งไม้ออก กลับเห็นว่าภายใต้ฉากที่เขียวขจีนี้ มีทางเดินหินขนาดเล็กคดเคี้ยวผ่านด้านหน้าของนาง ที่ไม่ไกลตรงนั้นราวกับว่ามีเสียงของน้ำไหลและเสียงคนกำลังพูดคุยกันอยู่
นางวิ่งตรงไปยังทางเดินหินขนาดเล็กเส้นนั้นไปอย่างไม่ต้องคิด
เฉิงสวี่ฝืนยิ้ม ไม่อาจสนใจอะไรได้อีก กล่าวขอโทษพานจ้าวไปอย่างปุบปับ จากนั้นรีบวิ่งไล่ตามไปยังทางเดินหินขนาดเล็กเส้นนั้น
พานจ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งตามไปด้วย
อู๋เป่าจางยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าดูลังเล ทว่ากลับเห็นต้าซู เฝ่ยชุ่ย และอวี้หรูไล่ตามมา
ต้าซูกับอวี้หรูไม่รู้จักอู๋เป่าจาง ทว่าเฝ่ยชุ่ยพอจะจำได้ รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่อู๋ ท่านเห็นคุณชายใหญ่ของพวกข้าหรือไม่เจ้าคะ”
รังสีคลุมเครือที่ยากจะเข้าใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของอู๋เป่าจาง นางยิ้มพลางกล่าว “ตกลงพวกเจ้าตามหาคุณหนูรองตระกูลโจวหรือว่าตามหาคุณชายใหญ่ของพวกเจ้ากันแน่หรือ ข้าเห็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าไล่ตามคุณหนูรองตระกูลโจวไปทางนั้น” ขณะที่นางพูดนั้น ก็ชี้ไปที่ทางเดินหินขนาดเล็ก
สีหน้าของเฝ่ยชุ่ยไม่เปลี่ยน ทว่ากลับอดไม่ได้ด่าเฉิงสวี่อยู่ในใจไปหลายประโยค
“สร้างความลำบากให้คุณหนูใหญ่อู๋แล้ว” นางยิ้มพลางกล่าว “พวกข้ากำลังตามหาทั้งคุณหนูรองตระกูลโจวและคุณชายใหญ่ของพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“เอ๋?” อู๋เป่าจางกล่าวยิ้มๆ อย่างมีความหมายแฝงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ทำไมพวกเจ้าต่างตามหาคุณหนูรองตระกูลโจว?”
ทว่าเฝ่ยชุ่ยไม่อยากถกเถียงกับอู๋เป่าจาง จึงยิ้มและกล่าวขอบคุณอู๋เป่าจาง ไม่สนใจนางอีก จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนทางเดินหินขนาดเล็กไปกับต้าซูและอวี้หรู
โจวเสาจิ่นยิ่งวิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าเสียงของน้ำไหลนั้นยิ่งดังขึ้น ความหวังในใจของนางจึงยิ่งมีมากขึ้นด้วย ไม่ว่าคนที่อยู่ที่นั่นจะเป็นใคร ตนก็แค่ยืนยันไปคำหนึ่งว่าหลงทางมา ต่อหน้าคนนอก เฉิงสวี่คงไม่สามารถขู่บังคับจะส่งตนกลับเรือนซื่ออี๋ได้หรอกกระมัง?
ขณะที่นางครุ่นคิด ความจริงก็ได้กระจ่างแจ้งขึ้นอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตา
หินกองซ้อนทับกัน น้ำพุใสสาดลงมา มีนักพรตเด็กในชุดสีดำอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบผู้หนึ่งกำลังถือถังไม้ไผ่ตักน้ำอยู่ที่นั่น ข้างๆ เป็นศาลามุงหลังคาด้วยจากอยู่หลังหนึ่ง มีชายสามถึงสี่คนนั่งอยู่ในศาลานั้น มีชายอายุประมาณสามสิบปีที่ใบหน้าผอมและรูปร่างราวกับต้นไผ่บางลีบผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านนอกของศาลา ดวงตาลืมขึ้นครึ่งหนึ่งปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ท่าทางเหมือนกับว่ายังไม่ตื่น แต่เมื่อดวงตาทั้งคู่ลืมขึ้น กลับมองมาที่โจวเสาจิ่นด้วยลำแสงเย็นราวแสงฟ้าแลบ
นางใจสั่น ราวกับตกเข้าไปในหลุมน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น มือและเท้าเย็นไปหมด
ด้านหลังเป็นเสียงของเฉิงสวี่ที่แสดงถึงความเป็นกังวลอยู่หลายส่วนดังขึ้น “น้องสาวรอง!”
ด้านหน้าเป็นชายแปลกหน้าที่แค่มองก็รู้ได้ว่าไม่ธรรมดากลุ่มหนึ่ง
โจวเสาจิ่นหันกลับไปอย่างสับสน ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังก็ยากทั้งสองทาง
กลับมีคนหันมากวักมือเรียกนางจากทางศาลา “สาวน้อย เจ้ามานี่!”
นางมองไปอย่างจดจ้อง
ชายที่หันมากวักมือเรียกนางนั้นดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบสองถึงยี่สิบสามปี สวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าฝ้ายสีน้ำเงินครามไร้ลวดลายตัวหนึ่ง ผิวพรรณขาวเนียนละเอียด หน้าผากเต็ม เรียบและเกลี้ยงเกลา จมูกโด่งเป็นสันตรง ดวงตาใสกระจ่างอบอุ่น รูปหน้าโดดเด่นยิ่งนัก คนอื่นๆ ต่างนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อยอยู่บนเสื่อหญ้าหอมสีเขียวสลักลายหญ้าม้วน มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยกข้อศอกขึ้นมาเอนกายหนุนอยู่บนหมอนสีเหลืองอ่อนอย่างสบายๆ ด้วยท่าทางเกียจคร้าน ดูค่อนข้างหยิ่งยโสและไม่สนใจในกฎระเบียบของโลกนี้อยู่เล็กน้อย แต่เพราะอากัปกิริยาที่อ่อนโยนจึงไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจหรือไม่ชอบ
โจวเสาจิ่นลังเลใจเล็กน้อย
ชายผู้นั้นเอ่ยถามขึ้น “เจ้าต้มน้ำเป็นหรือไม่”
โจวเสาจิ่นถึงได้สังเกตว่ากลางศาลานั้นมีเตาดินเผาสีแดงขนาดเล็กอยู่เตาหนึ่ง บนเตานั้นวางเอาไว้ด้วยกาน้ำชาจื่อซาสีม่วงมีหูหิ้วยาวอยู่หนึ่งใบ และที่ด้านหน้าของชายกลุ่มนี้แต่ละคนก็มีถ้วยน้ำชาจื่อซาสีม่วงขนาดเล็กวางเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังนั่งดื่มชากันอยู่
“ข้าพอจะทำเป็นอยู่บ้างเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับรายละเอียดของคนเหล่านี้ จึงเอ่ยตอบไปอย่างสงบเสงี่ยม
ชายผู้นั้นหัวเราะออกมา หันศีรษะไปพูดกับชายที่สวมชุดเผาจื่อผ้าไหมหังโจวสีน้ำเงินไพลินลายดอกทรงกลมคนหนึ่งข้างกายว่า “เปี๋ยอวิ๋น คนที่ชอบพูดว่าตนเองพอทำเป็นอยู่บ้างนั้น ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น” พูดจบ เขาก็กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “มาช่วยพวกข้าต้มน้ำสักหม้อเถอะ!”
คนอื่นๆ อีกหลายคนต่างยิ้มให้อย่างใจดี
โจวเสาจิ่นดวงตาแข็งค้าง
ต่อให้นางมีรูปร่างหน้าตาคล้ายสาวใช้ แต่การแต่งตัวทั้งเสื้อผ้าหน้าผมไม่มีทางเหมือนกับสาวใช้ไปได้ แต่ถ้าจะบอกว่าชายผู้นี้จำคนผิด…มองดวงตาระยิบระยับของเขานั่นแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่อยากจะเชื่อนัก
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงตะโกนของเฉิงสวี่และกำลังช่วยเหลือนางอยู่ต่างหาก!
โจวเสาจิ่นจึงขานตอบเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นรีบก้มศีรษะเดินข้ามไป
น้ำพุที่สาดลงบนหิน ราวกับไข่มุกใหญ่บ้างเล็กบ้างร่วงหล่นลงบนแผ่นหยก
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณาลอยแผ่วๆ มาจากเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของชายคนนั้น
นั่นเป็นของมีค่าของร้านเครื่องหอม ‘ฮั่วจี้’ ที่จิงเฉิง มีชื่อเรียกว่า ‘ดังที่ได้ยินมา’ น้ำหนักหนึ่งเหลี่ยง [2] มีราคาถึงสามสิบเหลี่ยง ทุกปีจะมีขายแค่หนึ่งร้อยเหลี่ยงเท่านั้น มีราคาแต่กลับไม่มีวางขาย
แม้ว่าจะสวมเพียงชุดเผาจื่อผ้าฝ้ายสีน้ำเงินครามไร้ลวดลาย แต่กลับใช้น้ำหอม ‘ดังที่ได้ยินมา’ หากว่าไม่ใช่คนที่มีสถานะหรือตำแหน่งที่สูงส่ง ที่สามารถทำตามใจปรารถนาได้โดยไร้ข้อจำกัด ก็คงจะเป็นคุณชายจากตระกูลชั้นสูงที่เข้าใจความหมายแห่งชีวิตในเรื่อง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและการปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบแรกหรือแบบหลัง ก็ล้วนไม่อาจดูเบาคนผู้นี้ได้
โจวเสาจิ่นคุกเข่านั่งลงบนเบาะที่ชายคนที่มีรูปร่างราวต้นไผ่บางลีบอายุประมาณสามสิบปีผู้นั้นวางลงข้างๆ ชายที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าฝ้ายสีน้ำเงินครามไร้ลวดลายผู้นั้นอย่างระแวดระวัง เห็นว่าชาที่พวกเขากำลังดื่มกันอยู่คือชาเถี่ยหลัวฮั่น [3] จากนั้นใช้ตะเกียบยาวทำจากเงินแกะสลักลายเมฆมงคลค่อยๆ คีบถ่านจากตะกร้าไม้ไผ่สานเซียงเฟยมันวาวใส่ลงไปในเตาดินเผาสีแดงขนาดเล็กอย่างระมัดระวัง
เสียงน้ำดังขึ้นมาเบาๆ
โจวเสาจิ่นได้ยินชายที่ชื่อ ‘เปี๋ยอวิ๋น’ ผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าว่านถงจะถูกลดขั้นลงมาเป็นขันทีองครักษ์ที่เมืองจินหลิง ทว่าเขาก็เป็นสหายคนสำคัญขององค์ฮ่องเต้ ความรู้สึกที่มีให้ย่อมไม่เหมือนกัน เกรงว่าเพียงไม่กี่วันก็อาจถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงแล้ว!”
มือของโจวเสาจิ่นสั่นสะท้านจนตะเกียบยาวทำจากเงินแกะสลักลายเมฆมงคลเกือบจะร่วงลงไป
แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะมองไม่เห็น
ชายที่อยู่ข้างๆ ‘เปี๋ยอวิ๋น’ กล่าวขึ้น “ครั้งนี้เขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องการซ่องสุมพรรคพวก เรื่องกลับเมืองหลวงนั้น เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ที่เมืองหลวงยังมีหวังกังผู้หนึ่งจับตามองเขาอยู่ราวกับเสือจ้องเหยื่อ! ข้ากลับคิดว่า หากว่านถงสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุขจนถึงปั้นปลายของชีวิตได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว กลัวแต่ว่าเขาอยากจะถอนตัวก็ทำไม่ได้แล้วเสียมากกว่า”
…………………………………………………………………………
[1] ยามโหย่วสือ ระหว่าง 17-19 นาฬิกา
[2] เหลี่ยง น้ำหนักหนึ่งเหลี่ยงเท่ากับ 50 กรัม
[3] ชาเถี่ยหลัวฮั่น เป็นชาประเภทหนึ่งของชาอู่หลง