เลี่ยวเส้าถังพักอยู่ที่เป่าติ้งเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปเทียนจินเลย
เขาจะเดินทางกลับไปฉลองปีใหม่ที่เจิ้นเจียงโดยเรือ
โจวเสาจิ่นยกถั่วแดงต้มน้ำตาลกรวดร้อนๆ ควันฉุยไปที่ห้องหนังสือ เอ่ยถามโจวเจิ้นว่า “พี่เขยกับท่านคุยอะไรกันบ้างหรือเจ้าคะ”
มองบุตรสาวที่สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีชมพู บอบบางและงามสง่าดุจดอกบัวนั้นแล้ว รอยยิ้มของโจวเจิ้นก็เอ่อล้นทะลักออกมาจากใจ
เขาเอ่ยเย้าโจวเสาจิ่นว่า “พี่เขยของเจ้าพูดกับข้ามากมายหลายเรื่อง เจ้าอยากรู้เรื่องใดเล่า”
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากรู้ว่าพี่เขยจะรับท่านพี่ไปอยู่จิงเฉิงหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะได้ไปเยี่ยมท่านพี่ได้บ่อยๆ แล้วเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่เขยของเจ้าเร่งมาหาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ นอกจากจะมาบอกข้าเรื่องของตระกูลเฉิงแล้ว ยังอยากจะมาปรึกษาข้าเรื่องพี่สาวของเจ้าด้วย หลายปีมานี้ตระกูลเลี่ยวมีเรื่องวุ่นวายค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องความเห็นแก่ตัวของคนในตระกูล แล้วก็เรื่องที่ผู้นำตระกูลอย่างนายท่านใหญ่เลี่ยวผู้นี้ไม่อาจโน้มน้าวใจคนอื่นๆ ก็มีส่วนเป็นอย่างมาก ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกับพี่สาวของเจ้าล้วนเป็นเพียงสตรีในเรือนชั้นใน บางเรื่องต่อให้มีใจก็ไม่มีกำลังพอ บางครั้งยังติดร่างแหจากนายท่านใหญ่เลี่ยวไปด้วย ความหมายของพี่เขยของเจ้าก็คือ รอให้พี่สาวของเจ้าคลอดลูกแล้วจะพาพวกนางแม่ลูกเข้าเมืองหลวงไปด้วย แต่ก็กลัวว่าลูกยังเล็กเกินไปพี่สาวของเจ้าจะดูแลไม่ไหว หลังจากกลับไปถึงแล้วอยากจะปรึกษาหารือกันว่าควรจะเชิญฮูหยินใหญ่เลี่ยวเข้าเมืองหลวงไปด้วยกันดีหรือไม่ ทั้งได้ดูแลพี่สาวของเจ้า แล้วก็ได้อุดปากคนตระกูลเลี่ยวพวกนั้นด้วย ข้าให้เขากลับไปหารือกับชูจิ่นดู ถ้าหากชูจิ่นคิดว่าว่าตัวเองเลี้ยงลูกตามลำพังแล้วจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป เช่นนั้นก็เชิญฮูหยินใหญ่เลี่ยวไปดูแลลูกกับพี่สาวของเจ้าที่จิงเฉิงด้วย แต่ถ้าพี่สาวของเจ้ารู้สึกว่ามีความสามารถพอ เนื่องจากฮูหยินใหญ่เลี่ยวเป็นฮูหยินเอกของตระกูล ออกจากบ้านนานเกินไป เมื่อไปตกอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสในตระกูล นั่นก็คือการอกตัญญูอยู่ดี เรื่องนี้เขาต้องจัดการให้พอเหมาะ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกคักไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”
พี่สาวมีความสามารถถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังมีบ่าวรับใช้อยู่ด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง จะดูแลไม่ได้แม้กระทั่งเด็กเพียงคนเดียวได้อย่างไร
ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่เห็นด้วยกับการให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับพี่สาว
โจวเจิ้นยิ้มพร้อมกับบีบจมูกของนาง เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าผีน้อยแสนรู้” จากนั้นทอดถอนใจกล่าวขึ้นว่า “ที่สำคัญคือตอนนี้ตระกูลเลี่ยววุ่นวายมากเกินไป ถ้าหากฮูหยินใหญ่เลี่ยวไม่ช่วยเป็นกันชนให้พี่สาวของเจ้า วันเวลาของพี่สาวของเจ้าคงไม่สะดวกสบายนัก รออีกสักสองสามปี ฮูหยินใหญ่เลี่ยวอายุมากขึ้น พี่เขยของเจ้าก็รับผิดชอบการงานเองได้แล้ว ค่อยรับฮูหยินใหญ่เลี่ยวไปอยู่ด้วยก็ไม่สาย ทว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปเล็กน้อย”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
ภรรยาสูงส่งตามความรุ่งโรจน์ของสามี
หากรับฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาอยู่ด้วย นายท่านใหญ่เลี่ยวก็คงจะมาพักที่เมืองหลวงบ่อยๆ จากนั้นเวลาญาติพี่น้องของตระกูลเลี่ยวเข้าเมืองหลวงก็จะมาเยี่ยมเยียนนายท่านใหญ่เลี่ยวกับฮูหยินใหญ่เลี่ยว เรื่องของตระกูลเลี่ยวก็ยังคงจะรบกวนมาถึงพี่เขยกับพี่สาวอยู่ดี ตอนนี้พี่เขยยังไม่สำเร็จการสอบของราชสำนัก อยู่บ้านคำพูดจึงยังไม่มีน้ำหนัก เรื่องพวกนั้นพี่เขยก็ยังช่วยตัดสินใจให้ไม่ได้ มีแต่จะวุ่นวายจนคนรู้สึกเดือดร้อนใจเท่านั้น
ชาติก่อน โจวเสาจิ่นเคยประสบมาก่อน
มีครั้งหนึ่ง พี่สาวไม่รู้จะทำอย่างไรดี เคยมาแสร้งป่วยซ่อนตัวอยู่ที่บ้านสวนของนาง
ชาตินี้ โจวเสาจิ่นหวังว่าพี่สาวจะคลอดบุตรที่มีสุขภาพแข็งแรงได้สักสองสามคน และรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดีก่อน แล้วค่อยไปสู้รบตบมือกับคนของตระกูลเลี่ยวพวกนั้น
สองพ่อลูกนั่งคุยกันอยู่ในห้องหนังสือนานครึ่งค่อนวัน กระทั่งถานเตี๋ยนสื่อของฝ่ายสืบสวนสอบสวนมีเรื่องมาขอเข้าพบโจวเจิ้น โจวเสาจิ่นถึงได้กลับไปที่เรือนชั้นใน
แต่นางเพิ่งจะก้าวขาเข้ามาในลานบ้าน ก็เห็นหลี่ซื่อกำลังส่งฮูหยินหวงออกมาจากห้องโถงพอดี
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่น ฮูหยินหวงก็ก้าวออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองไปที่ใดมาหรือ พรุ่งนี้ที่บ้านของคหบดีหวังเชิญทุกคนไปชมดอกไม้ คุณหนูรองก็ไปด้วยกันเถิด คนงดงามถึงเพียงนี้ แต่ขังตัวอยู่ในบ้านมิให้ผู้ใดมองชม ช่างเสียของจริงๆ”
โจวเสาจิ่นลอบขมวดคิ้วมุ่น
นางไม่ชอบให้ผู้อื่นเอาเรื่องหน้าตาของนางไปพูด
แต่นางยังคงยิ้มน้อยๆ กล่าวทักทายฮูหยินหวงไปครั้งหนึ่งแล้วถึงได้กลับไปที่ห้องข้าง
ไม่นาน หลี่ซื่อก็เข้ามาหา เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่อยากไปหรือ”
“ไม่อยากไปเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบออกไปข้างนอก”
หลี่ซื่อเห็นบนขอบหน้าต่างนั่นมีตุ๊กตาล้มลุกหน้าตาน่ารักไร้เดียงสาวางประดับอยู่คู่หนึ่ง แจกันดอกไม้บนโต๊ะน้ำชามีดอกซานฉาปักเอียงๆ อยู่สองสามดอก ในตะกร้าเข็มและด้ายบนหัวเตียงอิฐมีผ้ากันเปื้อนเด็กของโจวโย่วจิ่นโผล่ออกมาให้เห็นครึ่งหนึ่ง นางพอจะเข้าใจลักษณะนิสัยของโจวเสาจิ่นได้รางๆ แล้ว จึงกล่าวยิ้มๆ ขึ้นอย่างโล่งอกว่า “ข้าทราบแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปตอบปฏิเสธบ้านคหบดีหวัง”
“มิต้องหรอกเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่ไป ท่านไปก็ได้แล้ว ต่อไปเรื่องพวกนี้ยังมีอีกมาก ท่านไม่อาจเอาแต่เห็นดีเห็นชอบกับข้าไปตลอดได้ ต่อให้ข้าอยู่ที่บ้านก็ไม่สบายใจอยู่ดี”
หลี่ซื่อกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “รอข้าหารือกับนายท่านแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นกลับตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ไป
นางเองก็ไม่อยากรู้จักผู้ใด รู้สึกว่าที่เป็นอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ก็ดีมากแล้ว
โจวเจิ้นกลับรู้สึกว่านางควรจะไปทำความรู้จักคนให้มากขึ้นอีกสักสองสามคน เกลี้ยกล่อมให้นางไปร่วมงานชมดอกไม้ของบ้านคหบดีหวัง
โจวเสาจิ่นเศร้าใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะอยู่บ้านเลี้ยงโย่วจิ่นเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นพลันเปลี่ยนน้ำเสียงในทันที กล่าวว่า “เจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นถึงได้แย้มรอยยิ้มออกมา
โจวเจิ้นยิ้มพลางส่ายศีรษะไม่หยุด
โจวเสาจิ่นกลับนึกถึงสหายเก่าผู้หนึ่งขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านรู้จักตระกูลฟ่านของเป่าติ้งนี้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกงแต่งเข้าตระกูลฟ่านของเป่าติ้ง ข้าอยากจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย ท่านช่วยสอบถามให้ข้าหน่อยนะเจ้าคะ!”
โจวเจิ้นรับปาก
ผู้ใดจะรู้ว่าคืนวันนั้นโจวโย่วจิ่นกลับมีไข้ขึ้นมา ไข้ขึ้นสูงจนดวงหน้าน้อยๆ นั่นแดงก่ำไปหมด ร้องไห้ไม่หยุด
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ชาติก่อนน้องสาวของนางผู้นี้ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
นางคุกเข่าลงตรงหน้าโต๊ะบูชาด้วยความเคารพยำเกรงสวดอ้อนวอนให้โจวโย่วจิ่น
สองวันต่อมา โจวโย่วจิ่นก็หายเป็นปลิดทิ้ง
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะไปจุดธูปที่วัดต้าฉือเก๋อ
เรื่องที่นางสวดอ้อนวอนเพื่อโจวโย่วจิ่นนั้นโจวเจิ้นทราบเรื่องแล้ว คิดว่าตอนที่โจวโย่วจิ่นไม่สบายนั้นนางคงไปสัญญาอะไรต่อหน้าองค์พระโพธิสัตว์เอาไว้ จึงอยากไปทำตามคำสัญญานั้น ก็เลยไม่ขัดขวางนาง ให้คนคุ้มกันของภรรยาคุ้มกันนางไปที่วัดต้าฉือเก๋อ
หลี่ซื่อซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำกว่าครู่ใหญ่ก็ยังพูดอะไรไม่ออก
โจวเสาจิ่นเองก็ปลอบใจคนไม่เก่ง จึงยิ้มให้แล้วกลับห้องข้างไป
แต่เมื่อวันนั้นมาถึง กลับมีหิมะตกลงมาอย่างหนัก
เกล็ดหิมะดุจก้อนสำลี ตกลงมาเป็นจำนวนมาก ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หลังคาบ้านก็ขาวโพลน
หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “หิมะตกหนักขนาดนี้ คุณหนูรองค่อยไปจุดธูปวันอื่นเถิด!”
“ไม่เป็นไร” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ยิ่งเป็นวันลมพัดแรงหิมะตกหนักก็ยิ่งต้องไป พระพุทธองค์จะได้ทราบความจริงใจของพวกเรา”
หลี่ซื่อไม่อาจขวางนางเอาไว้อีก
หลังจากโจวเจิ้นที่อยู่ห้องทำงานทราบเรื่องแล้วเพียงกล่าวประโยคหนึ่งว่า “เดินทางระมัดระวังตัวด้วย” จากนั้นก็เพิ่มผู้คุ้มกันให้อีกสองคน
คนหนึ่งกลุ่มเดินฝ่าหิมะไปยังวัดต้าฉือเก๋อ
บางทีอาจจะเป็นเพราะมีลมแรงและหิมะตกหนักมากเกินไป ภายในวัดจึงไม่ค่อยมีคนสักเท่าไร
โจวเสาจิ่นคุกเข่าลงตรงหน้าองค์พระโพธิสัตว์จุดธูปสามดอกอย่างมีศรัทธา บริจาคเงินค่าธูปและเทียนเป็นจำนวนสิบเหลี่ยงเงิน
พระผู้ต้อนรับเดินนำนางไปที่สมุดลงบันทึกคุณความดี
มีบุรุษสี่ถึงห้าคนมุ่งหน้าเดินออกมา
นางก้มหน้าลง หลบไปอยู่ข้างๆ
คนพวกนั้นกำลังพูดคุยกัน เดินสวนนางไป
นางได้ยินคนพูดว่า “พอไล่ตามมาถึงที่นี่ ก็ไม่เห็นแล้ว”
จากนั้นมีเสียงพูดหนึ่งที่ฟังแล้วรู้สึกคุ้นหูยิ่งนักเอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ว่าเขามักจะพักที่ร้านเล็กๆ ของหลี่เอ้อร์หลังนั้นหรอกหรือ เจ้าให้คนจับตาดูเอาไว้สักหน่อย…”
น้ำเสียงของคนพูดดุร้ายยิ่งนัก โจวเสาจิ่นอดไม่ได้เงยหน้าขึ้นชำเลืองมองไปครั้งหนึ่ง
นางราวกับถูกสายฟ้าฟาดไปชั่วขณะหนึ่ง รีบก้มหน้าลงอย่างกระวนกระวาย กระทั่งคนกลุ่มนั้นเดินออกไปไกลแล้ว ถึงได้จดชื่อลงบนสมุดลงบันทึกคุณความดีครั้งหนึ่ง แล้วรีบร้อนกลับไปที่รถม้า
“ซางมามา” นางลากตัวซางมามาไปนั่งในรถม้า กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าพบคนที่ชื่อเซียวเจิ้นไห่ผู้นั้น เขายังพูดอะไรทำนองว่าคลาดกับคนที่กำลังไล่ตาม ให้คนไปจับตาดูร้านของคนที่ชื่อหลี่เอ้อร์เอาไว้…”
แม้ซางมามาจะพยายามปกปิดเอาไว้อย่างถึงที่สุด แต่สีหน้าก็ยังคงเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับกันก่อนดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นรีบสั่งให้คนขับรถม้าเร่งกลับจวน จากนั้นกล่าวกับซางมามาว่า “หากท่านมีธุระก็ไปก่อนเถิด ข้าทางด้านนี้มีผู้คุ้มกันคุ้มกันอยู่ ทางด้านของท่านพ่อ ข้าจะบอกว่าข้าให้พระอาจารย์ที่วัดทำพิธีสวดให้ จึงให้เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ก่อน” กล่าวจบ นางย้ำกำชับว่า “ต่อหน้าพระไม่อาจกล่าววาจาลวงหลอกได้ หลังจากเจ้าทำธุระเสร็จแล้ว อย่าลืมไปทำพิธีสวดที่วัดสักครั้งหนึ่ง” จากนั้นนางล้วงตั๋วเงินสิบเหลี่ยงเงินจำนวนสองใบออกมายื่นส่งให้ซางมามา “ใบหนึ่งให้เจ้าใช้ อีกใบหนึ่งให้เอาไปทำพิธีสวดที่วัด”
ซางมามามองใบหน้าร้อนรนของนาง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รับตั๋วเงินในมือของนางมา กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “นายท่านสั่งข้าไว้ไม่ว่าเวลาใดก็มิให้อยู่ห่างจากคุณหนูรอง รอข้าส่งคุณหนูรองกลับถึงจวนแล้วค่อยออกไปก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนึกถึงแววตาของคนที่ชื่อเซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นตอนที่มองตนในครั้งนั้นแล้วก็รู้สึกหวาดกลัว แต่นางยังคงกล่าวว่า “เรื่องค่อนข้างสำคัญและเร่งด่วน มามารีบไปทำธุระของท่านเถิด ข้าทางด้านนี้มีผู้คุ้มกันคอยคุ้มกันอยู่ อีกทั้งยังอยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของท่านพ่อ ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก”
แต่ซางมามายังคงพานางไปส่งจนถึงหน้าประตูใหญ่ของที่ว่าการหยาเหมินก่อนแล้วถึงได้จากไป
โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
ป้ารับใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวรีบก้าวออกมาต้อนรับ เอ่ยขึ้นอย่างเอาอกเอาใจว่า “คุณหนูรอง มีคนของซอยจิ่วหรูจากจินหลิงมาเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าเป็นนายท่านสี่อะไรสักอย่าง ข้าดูแล้วอายุยังน้อยเป็นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะเหมือนนายท่านผู้หนึ่งกัน ทว่าใต้เท้ากลับปฏิบัติกับนายท่านสี่ผู้นั้นอย่างสุภาพยิ่งนัก…”
นายท่านสี่?
หรือว่าจะเป็นเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก เผยอาการดีใจออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ยกกระโปรงขึ้นมุ่งหน้าวิ่งไปทางห้องหนังสือของโจวเจิ้น
ชุนหว่านตกตะลึง ไล่ตามไป
ป้ารับใช้เฝ้าเวรยามผู้นั้นกลับตะโกนขึ้นว่า “คุณหนูรอง ระวังฝีเท้าด้วยเจ้าค่ะ พวกข้าเพิ่งกวาดหิมะไป ตรงเฉลียงทางเดินปูด้วยแผ่นหิน เมื่อถูกลมหนาวพัดเข้าใส่ จะลื่นเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นไหนเลยจะตั้งใจฟังว่าป้ารับใช้ผู้นั้นตะโกนบอกอะไรบ้าง รีบร้อนวิ่งไปจนถึงหน้าประตูห้องหนังสือของโจวเจิ้น
ยื่นมือออกไปหมายจะเลิกผ้าม่านขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าใต้ฝ่าเท้ากลับลื่น ตัวคนไถลไปข้างหน้าอย่างห้ามไม่อยู่
นางร้อง “ว๊าย” ออกมาเสียงหนึ่ง กำลังจะล้มลงไป
ผ้าม่านกลับถูกเลิกขึ้น นางล้มลงไปในอ้อมแขนของบุรุษสวมชุดเผาจื่อผ้าไหมหังโจวสีดำลายเมฆมงคลผู้หนึ่ง
ปลายจมูกของโจวเสาจิ่นโฉบผ่านกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่อ่อนจนบอกไม่ได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่
“ท่านน้าฉือ!” นางเด้งตัวขึ้นมาอย่างดีใจ
ดวงตาอันอ่อนโยนกับร้อยยิ้มอันอบอุ่นนั่น
หากมิใช่ท่านน้าฉือแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้
ยังไม่ทันที่โจวเสาจิ่นจะได้กล่าวอะไร ใต้ฝ่าเท้าก็ลื่นไถลอีกครั้งหนึ่ง
นางรีบคว้าสาบเสื้อด้านหน้าของเฉิงฉือเอาไว้
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับคว้าแขนของนางเอาไว้
โจวเจิ้นปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเฉิงฉือขณะที่ยังกล่าวอยู่ว่า “…ในเมื่อมาแล้ว จะไปพักที่โรงเตี๊ยมได้อย่างไร! เรือนรับรองแขกทางทิศตะวันออกยังว่างอยู่…”
มองจากมุมที่เขาอยู่แล้ว เห็นโจวเสาจิ่นอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเฉิงฉือพอดิบพอดี
คำพูดของโจวเจิ้นหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน
เขาเบิกดวงตากว้าง อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
ทว่าเฉิงฉือกลับยังคงสงบอย่างสบายๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ยืนดีๆ มิใช่ว่าพอข้าปล่อยมือ เจ้าก็จะล้มลงไปอีก!”
“มะ…ไม่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นหน้าแดงหูแดงไปหมด ละล่ำละลักกล่าว
เฉิงฉือค่อยๆ ปล่อยโจวเสาจิ่นออก
โจวเสาจิ่นขยับไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
โจวเจิ้นได้สติคืนกลับมา รีบกล่าวขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ไปลื่นล้มอยู่ที่ไหนมาบ้างหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว รีบกล่าวยืนยันความบริสุทธิ์ให้เฉิงฉือว่า “เมื่อครู่หากมิได้ท่านน้าฉือดึงข้าเอาไว้ ข้าคงล้มลงไปแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับหันไปกล่าวขอบคุณเฉิงฉือ
………………………………………………………………….
MANGA DISCUSSION