ยัยเฉิ่มแสนเชยมัดใจนายหล่อร้าย - ตอนที่ 48
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีจ้ะยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการและยินดีต้องรับเข้าสู่ครอบครัวของเรา” เป็นมัมของเจสันที่พูดขึ้น ท่านดูเป็นผู้หญิงที่ใจดีมากเหมือนกันฉันรู้สึกตั้งแต่ตอนแรกที่ฉันได้คุยกับท่านแล้ว
“ยินดีต้อนรับเช่นกัน” แด๊ดของเจสันพูดขึ้นอีกคนด้วยภาษาไทยแปร่งๆ และท่านก็เข้ามากอดฉันด้วยฉันจึงได้แต่กอดตอบด้วยท่าทางเก่ๆ กังๆ
“แด๊ด พอแล้ว” เจสันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นฉันกอดกับแด๊ดของเขา อะไรของเขา
“ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้เจ” เป็นพี่ชายของเขาที่พูดขึ้น
“ใช่ นี่แด๊ดนะ ไอ้คนขี้หวง” แด๊ดของเจสันพูดขึ้นเมื่อท่านละอ้อมกอดออกจากฉันและหันไปต่อว่าเขาที่ทำท่าห่วงฉัน
“ก็ของผมอ่ะ ทีผมกอดมัมแด๊ดยังห่วงเลย” เจสันทำท่างอแงเมื่อโดนเอ็ด
“เออ ไอ้นี่” ดูเหมือนแด๊ดเขาจะโต้แย้งไม่ได้เมื่อเจสันพูดแบบนี้ ครอบครัวเขาดูน่ารักดีนะ
“พอๆ ตาฉันบ้างยินดีต้อนรับครับน้องสะใภ้พี่เจมส์ครับ มากอดหน่อย” พี่ชายของเจสันแนะนำตัวกับฉันเองอีกครั้งและทำท่าจะเข้ากอดฉันอีกคนโดยที่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย
“หยุดเลยไอ้พี่เวร” เจสันดึงฉันไปอยู่ด้านหลังเขาทันที
“อะไรกูแค่จะกอดรับขวัญน้องสะใภ้แค่นี้หวงเหรอ” พี่เจมส์ตอบโต้เจสัน ดูเหมือนเขาจะชอบที่แกล้งเจสันได้
“ไม่ต้องแค่แนะนำตัวก็พอไม่ต้องกอด” เจสันพูดพร้อมกับทำหน้าบึ้งๆ
“ชิ” พี่เจมส์ทำท่าเหมือนจะงอนๆ น่ารักจริงๆ
“ไอ้ปัญญาอ่อน” เจสันก็ว่าพี่ตัวเอง
“พอๆ หยุดเล่นได้แล้ว กูจะได้แนะนำตัวบ้างยืนหล่ออยู่นานแล้ว” เสียงพี่ชายอีกคนของเจสันดังขึ้น
“เออ รีบๆ เลย” เป็นเจสันที่พูดขึ้น
“พี่จิมมี่ครับ เรียกพี่จิมเฉยๆ ก็ได้ ยินดีต้อนรับน้องสะใภ้อย่างเป็นทางการครับ จุ๊บ” พี่จิมมี่เดินมาแนะตัวกับฉัน เขาเดินมาถึงตัวฉันเร็วมากพอพูดจบเขาก็จับมือฉันขึ้นไปจูบ เจสันได้แต่อ้าปากค้างกับการกระทำของพี่ชายตัวเอง
“ไอ้” เจสันพูดไม่ออกเตรียมจะด่าพี่จิมมี่ แต่พี่จิมก็รีบระเห็จตัวเองออกไปจากรัศมีนั้นซะก่อน
ครอบครัวของเจสันเป็นครอบที่น่ารักมากสำหรับฉันและทุกคนก็ดูต้อนรับฉันดีมากไม่รังเกียจผู้หญิงที่มีแต่ตัวอย่างฉัน และที่สำคัญมีแต่คนหน้าตาๆ ทั้งนั้น
“ขอบคุณทุกคนนะคะที่ไม่รังเกียจน้ำ” เมื่อฉันมีโอกาสที่จะพูดบ้างหลังจากที่ไม่ได้พูดอยู่นาน ก็ยกมือไหว้ขอบคุณครอบครัวของเจสันที่ไม่รังเกียจฉัน ยินดีต้อนรับฉันสู่ครอบครัวของพวกท่าน
“ไม่มีใครคิดรังเกียจหนูหรอกจ้ะ พวกเราดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาปราบไอ้เจ้าเจมัน” มัมของเจสันพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ฉัน
“มัมครับ ปราบอะไรกัน” เจสันพูดเหมือนงอนๆ ที่ทุกคนรวมกันแกล้งเขา
“พอๆ แด๊ดว่าเราไปทานข้าวกันดีกว่า” แด๊ดของเจสันพูดขึ้น พวกเราทุกคนเลยเดินไปโต๊ะทานข้าวที่จัดไว้ตอนไหนก็ไม่รู้เพราะว่าตอนฉันเดินออกมายังไม่เห็นมีเลย สงสัยพึ่งมาจัด และทุกคนก็นั่งลงประจำที่
“พี่ยินดีด้วยนะครับ” เป็นพี่มาร์คที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันพูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“ขอบคุณนะคะ พวกพี่ๆ ร่วมมือกันอีกแล้วใช่ไหมคะ” ฉันหันไปพูดกับพวกพี่บีม น้องหนูดี พี่เจนี่ด้วย
“พี่พึ่งรู้เมื่อครูนี่เองครับ” พี่บีมเป็นคนพูดขึ้นเหมือนว่าตัวเองพึ่งรู้เรื่อง
“หนูดีด้วยค่ะ” น้องหนูดีพูดขึ้นอีกคน
“เราก็ไม่รู้เรื่องนะ” ชาลีก็ด้วย
“ส่วนพี่ก็เหมือนกัน ตัวการเรื่องอยู่นี่เลย” พี่เจนนี่ก็บอกว่าตัวเองพึ่งรู้แถมยังโยนไปให้พี่มาร์คหมด
“อ้าว ไงมาโยนให้กันแบบนี้อ่ะ ไอ้เจเลยต้นคิด” พี่มาร์คเมื่อเห็นทุกคนทิ้งก็โยนมาให้เจสัน
“น้ำโกรธเหรอ” เจสันหันมาถามฉัน ที่จริงฉันก็ไม่ได้โกรธอะไรนะ ออกจะดีใจด้วยซ้ำแต่ก็แอบมีนอยบ้างเพราะเขาไม่ติดต่อมาหาฉันเลย แถมยังโกหกอีกว่าไม่มีกำหนดกลับ
“เปล่าหรอกค่ะ แค่ตกใจนิหน่อย ไม่คิดว่าจะเล่นมุกเดิม” ฉันตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น
“แล้วซึ้งไหมล่ะครับ แหะๆ ขอโทษนะที่ไม่ติดต่อมาและต้องโกหกว่าไม่มีกำหนดกลับพี่อยากเซอร์ไพรส์อ่ะ” เขาพูดล้อๆ ฉันแต่ฉันไม่ยิ้มตาม เจสันเลยรีบพูดขอโทษคงกลัวว่าฉันจะโกรธ
“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำไม่โกรธ ทานอาหารดีกว่านะ” ฉันเลิกแกล้งเขา แล้วพูดขึ้นก็ฉันไม่ได้โกรธจริงๆ นิ เลยบอกให้พวกเขาทานอาหาร พวกเราทุกคนเลยลงมือทานกัน คุยกันไปสัพเพเหระ บางครั้งมัมกับแด๊ดของเจสันก็มีถามฉันบ้างเกี่ยวกับครอบครัวหรือการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ พอฉันเล่าให้พวกท่านฟังว่าฉันอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เด็กพวกท่านก็รู้สึกสงสารฉันจับใจ แต่ฉันก็บอกว่าไม่เป็นไรและขอบคุณพวกท่านมากที่ให้ฉันเป็นลูกอีกคน
พอทานข้าวเสร็จมัมกับแด๊ดก็ขอตัวไปพักผ่อน ปล่อยให้พวกหนุ่มๆ สวยอยู่ร่วมงานปาร์ตี้ต่อ ส่วนฉันก็โดนเจสันลากออกมาอีกทางที่ไกลจากผู้คนนิดหน่อยแต่ก็ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง เขาจูงมือฉันเดินออกมาพอมาถึงที่ที่เขาพอใจเขาก็เข้าสวมกอดฉันทันที
“คิดถึงจังเลยครับ” เจสันพูดออกมาหลังจากกอดฉันฉันก็กอดตอบเขา
“คิดถึงเหมือนกันคะ”
“ขอโทษนะที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวตั้งนาน” เขาพูดขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันพร้อมกับจับผมฉันทัดใบหนู
“ไม่เป็นไรเหรอคะ ตอนนี้พี่เจก็อยู่ตรงนี้แล้วไง” ฉันพูดออกไปยิ้มๆ
“ครับ พี่รักน้ำมากนะ คิดถึงใจจะขาด อยากกอด อยากหอม อยากจูบแบบนี้ทุกวันเลย” เขาพูดพร้อมกับทำในสิ่งที่พูดด้วย โดยการกอด หอม จูบฉัน จนฉันหายใจไม่ทันฉันจูบตอบเขาด้วยความโหยหาและคิดถึงเช่นกัน เราสองคนจูบกันอยู่นานสมกับที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“อืม” ฉันได้แต่ครางในลำคอเมื่อเจสันเริ่มจะลุ่มล่ามกับฉันมากขึ้น ดูเหมือนจูบหวานซึ้งด้วยความคิดถึงตอนแรกจะเปลี่ยนเป็นจูบร้อนแรงและมีความหื่นอยู่ด้วย
“เข้าห้องไหม” นั้นไง ซึ้งไม่เท่าไหร่ นิสัยหื่นนี่ไม่หายไปจากเขาเลย
“พี่เจ ยังไม่เลิกหื่นอีกเหรอคะ”
“ก็คนมันคิดถึงนี่น่า นะๆ ป่ะๆ เข้าห้องกันเถอะ” เขายังไม่หยุดชวนฉันเข้าห้อง จะซึ้งนานๆ หน่อยก็ไม่ได้
“ไม่เอาค่ะ น้ำยังไม่ง่วง” ฉันพูดและพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึง แต่อยากแกล้งคนหื่นซะก่อน
“น้ำอ่ะ” เขาทำหน้างอนๆ แต่ฉันทำเป็นไม่สนใจสะบัดหน้าหันหลังให้เขาซะเลย
“น้ำขอซึ้งต่ออีกนิดไม่ได้รึไง” ฉันพูดพร้อมกับหันหลัง ส่วนเจสันก็เข้ามากอดทางด้านหลังฉัน เขาเอาคางมาเกยที่ไหลฉัน
“โอเค พี่ให้โอกาสเพราะคืนนี้น้ำคงไม่ได้นอน”
“พี่เจบ้า” ฉันตีมือเขาทีหนึ่งเมื่อเขาพูดแบบนั้น นี่จะเล่นฉันจนฟ้าเหลืองเลยรึไง
“ก็จริงอ่ะ ก็คนมันคิดถึงมาก รักมาก ก็อยากรักหนักๆ เลย” เขาพูดพร้อมกับหอกแก้มฉันไปด้วย
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่รักน้ำ”
“พี่ก็ขอบคุณที่น้ำรักพี่ พี่จะไม่สัญญาอะไรแต่พี่จะทำให้น้ำเห็นว่าพี่จะรัก จะซื่อสัตย์ และจะดูแลน้ำอย่างนี้ตลอดไป” เจสันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังฉันก็ยกมือขึ้นไปกุมมือเขาที่กอดเอวฉันอยู่
“ขอบคุณค่ะ น้ำก็จะรัก จะซื่อสัตย์ และจะดูพี่เจตลอดไป” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขอบคุณครับ” เจสันเอ่ยขอบคุณฉัน เราสองคนกอดกันท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบกับน้ำทะเล วันนี้ฉันได้อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้กลับคืนมา ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลอ้อมกอดนี้ให้ดีไม่ให้มันจากไปไหนอีก
ความรักของเราสองคนที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาตั้งมากมายมาด้วยกัน ทั้งความเศร้าเสียใจ สุขทุกข์ และที่ใหญ่ที่สุดคือความห่างไกลที่เป็นบทพิสูจน์ความรักของเราสองคนได้อย่างแท้จริง ในที่สุดเราก็ผ่านมันมาได้
ก็เหมือนกับคลื่นทะเลถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลจากฝั่งสักแค่ไหนสุดท้ายสักวันมันก็ต้องถูกลมพัดพาเพื่อมากระทบฝั่งอยู่ดี
เหมือนกับเราสองคนที่ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน ถ้าเป็นเนื้อคู่กันก็จะกลับมาหากันและได้อยู่ด้วยกัน
แต่ชีวิตคู่ของเราพึ่งเริ่มต้นชีวิตต่อจากนี้ตั้งหากคือของจริง เราสองคนยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ