ยัยคนนี้จะทำให้การเปลี่ยนแปลงตัวเองของผมเสียเปล่า - ตอนที่ 6 ตามติด
ตอนที่ 6
“เฮ้อ“
หลังจากเปิดเรียนก็ผ่านมาร่วมสัปดาห์ ระหว่างเรียน ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่เจอหน้าเทียร์ร่า เพราะต้องทำพิธีหน้าเสาธงแทนรุ่นพี่ที่ไม่ว่าง 1 สัปดาห์ ตลอดเวลาที่เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวงามสองต่อสอง เขามักโดนอีกฝ่ายแดกดันสารพัด นึกหาคำพูดต่าง ๆ นานามาทิ่มแทงจิตใจเขาเรื่อย ๆ ที่ผ่านมาเขาเงียบโดยตลอด จากตอนแรกที่กลัว มาถึงปัจจุบันเขาเริ่มมีท่าทีรำคาญมากกว่าแล้ว
แต่ละวันต้องรับมือกับคำพูดเหมารวมว่า พวกผู้ชาย อยู่ตลอดจนแทบเก็บไปฝัน บางวันเล่นทำเอาเขาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยจนบางวันเหม่อไม่อาจตอบคำถามอาจารย์ได้ เล่นซะไอซ์เป็นห่วงเจ้าตัวเลยทีเดียว
จากตอนแรกที่คิดจะปล่อยผ่านเพราะยังไงก็จะไม่เจอกันหลังจากทำพิธีหน้าเสาธงเสร็จ เขาคิดอย่างนั้นจนปล่อยผ่านทั้งสัปดาห์มาได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ทว่าแทนที่จะเป็นอย่างนั้น วันนี้วันอังคาร เมื่อเช้าเขาไม่ได้ขึ้นไปทำพิธีหน้าเสาธงแล้วถ้าเป็นปกติเขาจะไม่ได้ฟังคำพูดน่ารำคาญจากอีกฝ่าย ทว่าผ่านมาถึงเที่ยงหน้าร้านอาหารโปรดก็พบสาวงาม
ราวกับชะตาฟ้าลิขิต เทียร์ร่าสังเกตเห็นเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ในที่สุด
”อ้าว นี่มันพวกผู้ชายใจเสาะนี่ ไม่นึกว่าจะมาเจอกันได้ทุกวัน นายคงไม่ได้ตามสตอร์กเกอร์ใช่ไหม หวา แค่คิดก็ขนลุกแล้ว…”
เป็นอีกครั้งที่ได้ยินสาวงามคนนี้แดกดัน พชรถอนหายใจหมดอาลัยตายอยากกับเธอคนนี้ เขาฟังเจ้าตัวพูดบ่อยเข้าจนไม่มีความคิดที่จะคุยด้วยแล้ว เขาทำเป็นหูทวนลมไม่ฟังสาวว่าที่ขยับปากขึ้นลงตลอดเวลาแล้วเรียกเจ้าของร้าน สั่งอาหารที่อยากกินแล้วกลับมาฟังสาวงามบ่นขณะยืนรอกับข้าวอย่างอนาถใจ
“ก็นะ ปกติแหละที่ไอพวกใจเสาะอย่างนายจะทำวิธีน่ารังเกียจแบบนี้…”
‘อาา รำคาญเว้ย เมื่อไหร่จะได้ข้าวเนี่ย’
พชรภาวนาถึงข้าวที่สั่งในใจขณะสาวงามพูดแดกดันยาวเหยียดไม่หยุดจนแทบไม่มั่นใจแล้วว่าจริง ๆ แล้วเธอตั้งใจกวนประสาทเขา หรือแค่อยากด่าเพราะไม่ถูกชะตาในวันแรก
แต่แค่เหตุการณ์เล็กน้อยขนาดนั้นจะทำให้เจ้าตัวพูดแดกดันทุกครั้งที่เห็นเลยเหรอ ?
“แล้วก็ แล้วก็… ได้ยินว่าเรียนเก่งด้วยสินะ สอบเข้าก็ได้ที่สอง บางที ฉันว่าแบบนายอาจเหมาะเป็นเด็กเนิร์ดสวมแว่น แล้วทำตัวขี้อาย น่าจะเหมาะนะ โอ๊ะ แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ค่อยเหมาะกับนายเท่าไหร่…”
พอพูดจบก็กุมคางนึกคิดประโยคต่อไปโดยแทบไม่สนใจตารอบข้างที่กำลังจับจ้องอยู่เลยสักนิด
ในตอนแรกที่สาวงามเข้าหาพชร รอบข้างค่อนข้างสนใจคราวสัมพันธ์ของทั้งคู่ทีเดียวจนมีคำถามในกลุ่มนักเรียนปีเดียวกันขึ้น ทว่าพวกเขาต้องรีบเปลี่ยนความคิดเมื่อได้ยินประโยคแดกดันจากสาวงามที่พูดทิ่มแทงอีกฝ่ายไม่หยุด
“อ้ะ นึกออกแล้ว นายน่าจะเหมาะกับพวกขี้เก๊กในโซเชียลนะ แบบว่าเก่งแค่ในพื้นที่ของตัวเอง มั่นโหนกมั่นหน้า แต่พอมาโลกความเป็นจริงก็เป็นได้แค่พวกขี้แพ้ อ้ะ ฮะฮะฮะ ใช่เลย นายโคตรเหมือนเลยอะ ! นี่ ๆ จากนี้นายจะเป็นพวกขี้แพ้ในสายตาฉันนะ เป็นไง ดีใจซะสิ ฉันอุตส่าห์คิดชื่ออื่นแทนชื่อเดิมให้เลยนะ”
ชื่อเดิมคือ ไอพวกใจเสาะ พชรไม่ยักเห็นความต่างใด ๆ ของชื่อเลยสักนิด มันยังคงเป็นด้านลบเหมือนเดิม โชคดีที่ก่อนหน้าเขาได้ภูมิคุ้มกันจากเจ้าตัวมาเยอะพอสมควรแล้วจึงรับมือได้ เขาข่มความรำคาญไว้ในใจ ไม่ได้โกรธอีกฝ่ายเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหงุดหงิดบาง คนอะไรสรรหาคำพูดแดกดันได้เก่งชะมัด
พชรทนฟังสาวงามกวนประสาทไปเรื่อยจนในที่สุดข้าวที่สั่งก็มาถึง ขณะที่รับข้าวก็นึกสงสัย สาวงามมาก่อนแล้วทำไมถึงยังไม่ได้ข้าว ทว่าเมื่อสายลื่นลงที่มือก็พบอีกฝ่ายถือจานข้าวในมือแล้ว
‘ได้ข้าวแล้วนี่หว่า แล้วจะยืนบ่นทำไมวะนั่น’
พอได้อาหารก็รีบผละตัวออกจากอีกฝ่ายด้วยความรำคาญที่เพิ่มเต็มหลอด ถ้ายืนฟังแบบนั้นไปเรื่อย ๆ คงได้เผลอพูดกับเธอ แล้วเรื่องจะยาวกว่านี้แน่ เพราะงั้นไปดีกว่า
ในที่สุดก็ปลีกตัวออกห่างได้เสียที พชรมองไปหน้าร้านก็พบว่าสาวงามไม่อยู่แล้ว เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะที่ช้อนค่อย ๆ ตักข้าวบนจาน
”นี่“
ความสุขยังไม่ทันได้พุ่งขึ้นพลันชะงักหยุดนิ่งด้วยเสียงที่ไม่อยากได้ยิน พอมองขึ้นก็พบสาวงามถือจานในมือยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะขนาดนั่งได้ 4 คน
”ไม่มีโต๊ะว่างแล้ว นั่งด้วยหน่อยสิ“
เหมือนจะไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่งมากกว่า พอพูดจบก็นั่งตรงข้ามพชรทั้งที่ไม่ทันได้เปิดปากตอบคำถามด้วยซ้ำ
‘ขอร้องล่ะ ถ้าจะนั่งก็นั่งเงียบ ๆ ทีเถอะ’
“ว่าแล้วก็เหมาะเหมือนกันนะ พวกขี้แพ้ที่นั่งกินข้าวคนเดียวเนี่ย“
‘เฮ้อ ชีวิต ชักอยากย้อนเวลากลับไปรับแก้วน้ำนั่นแทนให้จบ ๆ น่ารำคาญชะมัด แล้วทำไมต้องมาไล่แดกดันขนาดนี้ได้เนี่ย‘
พชรแทบถอนหายใจทุกครั้งที่สาวงามอยู่ใกล้ เขาไม่แน่ใจเลยถ้าเป็นคนอื่นจะดีใจหรือเปล่าที่ได้นั่งตรงข้ามกับคนดังระดับประเทศผู้น่ารักคนนี้ ทว่าหากให้ความรู้สึกของเขาเป็นตัวอักษรสำหรับตอนนี้คงมีเพียงคำว่า น่ารำคาญ ตัวใหญ่ยักษ์ลอยเหนือหัว
พชรรู้สึกได้ถึงสายตาอีกฝ่ายขณะกินข้าวเงียบ ๆ เหมือนเธอกำลังจ้องเขายังไงก็ไม่ได้รู้ เขามองไม่เห็นตาอีกฝ่ายแต่ก็สัมผัสได้ถึงแรงอาฆาต
‘แค่ทำชาไข่มุกล่วงใส่ ตัวเหนียวแค่วันเดียวถึงกับแค้นฝังหุ่นขนาดนี้เลยเหรอ เล่นเอานึกไม่ออกเลยถ้าเกิดรุ่นพี่คนนั้นเผลอลั่นหมัดใส่เธอวันนั้นชีวิตจะเป็นยังไง’
“นี่ ข้าวจานนั้นชื่อว่าอะไรเหรอ”
“หืม… ? จานนี้เหรอ ?”
“ใช่ไง มันเป็นอย่างอื่นได้ด้วยเหรอ”
’กวนประสาทเก่งชะมัด‘
พชรตาเป็นเครื่องหมายเท่ากับ นี่ก็ผ่านมาหลายวัน เขาอยากให้สาวงามคนนี้มาคุยดี ๆ กับตนบ้าง หรือบางทีไม่บางทีก็อยากให้หายออกไปจากสายตาเสียที
’จะว่าไปแล้วข้าวที่เธอสั่งยังคงเป็นเมนูเดียวกับวันแรกที่เห็นเลยแฮะ‘
“นี่ สรุปมันชื่ออะไร”
“เอิ่ม ก็ พะแนงหมู”
“พะแนงหมูเหรอ ? ถึงว่าทำไมคุ้น ๆ เห็นคนกินบ่อย ไม่เคยถามชื่อเลย นายเนี่ยฉลาดกว่าที่คิดอีกนะ“
ยังไม่ลืมปิดท้ายด้วยประโยคแดกดัน
“อา ก็แน่นอน”
“น่าอร่อย ขอชิมหน่อยสิ”
“เอิ่ม แต่มันราดข้าวไปแล้-”
พูดไม่ทันจบสาวงามก็ตักข้าวในจานพชรโดยไม่ขอใด ๆ ทำเอาทึ่งไปกับความกล้า ไม่คิดเล็กคิดน้อย เล่นเขานิ่งไปกับการกระทำของสาวงามก่อนกระแอมออกมาเบา ๆ ขณะที่อีกฝ่ายเปื้อนยิ้ม
“อร่อย !“
”ครับ ?“
แค่กินพะแนงแค่นี้ก็ยิ้มแป้นมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ กริยาอันน่ารักน่าชังตรงข้ามกับนิสัยของสาวงามนับว่ามีอนุภาคสูงทีเดียว ถ้าเธอไม่ทำตัวเย็นชา กวนประสาทคงฮ็อต-
‘จะว่างั้นก็ไม่ได้ ถ้าเธอฮ็อตยิ่งกว่านี้มีหวังโรงเรียนแตกแน่ แค่นี้ก็โดนจ้องชิบหายละ’
“นี่ ๆ พะแนงอร่อยมาก ช่วยไปสั่งมาอีกจานทีสิ”
“ห้ะ ? ก็ไปสั่งเอ-”
“ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษก็ไปเดี๋ยวนี้“
“ห้ะ ?”
“มาฮงมาห้ะอะไร ไปสิ มันดูไม่ดีนะถ้าจะให้ผู้หญิงไปสั่งข้าวถึง 2 รอบ”
‘เดี๋ยวนะ นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับฉันไม่ใช่ไง’
พชรไม่ทันกินข้าวจานตัวเองหมดด้วยซ้ำก็โดนอีกฝ่ายใช้งาน ทว่าต่อให้อีกพูดเท่าไหร่เขากลับไม่มีท่าทีสนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด
“ก็ได้ คงไม่ชอบที่ตัวเองโดนเรียกว่าขี้แพ้สินะ อืม พวกผู้อีโก้สูงอย่างนายคงไม่ชอบ เข้าใจแล้ว ไปซื้อมาสิ แล้วจะไม่เรียกนายว่าพวกขี้แพ้“
’ฉันไม่ได้มีเหตุผลให้ต้องเอาใจเธอสักหน่อย’
”อาโธ่ จะนิ่งไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย คุยกับนายแล้วโคตรน่าหงุดหงิดเลย คิดว่านิ่งแล้วเท่มากรึไง ไปซื้อข้าวมาอีกจานเลยนะ !“
นี่เป็นโรคเจ้าหญิงหรือไง พชรอยากบ่นอุบกับอีกฝ่ายผู้เอาแต่ใจ เขาไม่ตอบกลับเจ้าตัวขณะรีบตักข้าวเข้าปากแล้วรีบไปจากที่นี่ คุยต่อก็มีแต่เสียสุขภาพจิต สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
“อืม… เป็นพวกชอบหนีสินะ มีอะไรจะหนีอย่างเดียวล่ะสิ ก็สมกับเป็นพวกขี้แพ้ดี เอาเถอะ ชีวิตนี้พวกขี้แพ้ที่เจอไม่ได้มีแค่นายคนเดียว จะไปไหนก็ไปเลย ชิ”
พอลุกขึ้นก็เหมือนจะไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้น เจ้าตัวบ่นตามหลังเป็นเสียงพื้นหลัง พอห่างก็มาก็ได้ยินเสียงเดาะลิ้นจาง ๆ เขาหัวเราะกลบเกลื่อนขณะที่ใจรู้สึกดีขั้นสุด
“นี่ พชร ~ ฟิสิกส์ยากอะ ช่วยทีสิ”
พอเดินขึ้นห้องเรียนประจำกะจะพักสาว ไอซ์สาวงามอีกคนที่เข้าหาบ่อย ๆ ก็ทักทายด้วยเสียงเอื่อย เธอขยับโต๊ะเข้าใกล้เลื่อนหนังสือให้พชรแล้วชี้นิ้วไปยังข้อที่ตนติดแหงก
หลังจากหนีจากเทียร์ร่า สาวงามนิสัยน่ารำคาญ ก็มาพบไอซ์ สาวงามที่เรียนไม่เก่งชอบเข้ามาหยอกทำให้เสียสมาธิเวลาเรียน ถึงจะดูไม่ดีทั้งคู่ แต่อยู่กับไอซ์แล้วสบายใจกว่าเยอะ อย่างน้อยก็ไม่เอาแต่ใจ พชรถอนหายใจพอนึกถึงเทียร์ร่า
“เอิ่ม ข้อนี้ไม่ยาก ๆ สอนได้อยู่ ไหนเอาสมุดมาทีสิ เดียวบอกว่าต้องแก้ตรงไห-”
“เฮ้ ! พชร !”
ยังไม่ทันได้สอนสาวงามโต๊ะก็ถูกทุบเสียงดังโดยหัวหน้าที่วิ่งมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
”ห- หือ ? ตกใจหมด มีไรเหรอหัวหน้า“
”นี่ เมื่อกี้ได้นั่งคุยโต๊ะเดียวกันกับคุณเทียร์ร่าเหรอ แล้วได้คุยอะไรบ้าง บอกมาที ๆ“
“ไม่ได้คุยไรนะ ยันนั่นแค่มานั่งด้วยเพราะไม่มีโต๊ะว่างเฉย ๆ มีไรเหรอ ทำไมถึงได้วิ่งจนเหงื่อแตกมาขนาดนั้น”
“ก็เพราะที่คุณเทียร์ร่านั่งกินข้าวกับนายสองคนไงถึงได้รีบมาขนาดนี้”
“เอิ่ม ? ทำไมเหรอ”
“เดี๋ยวนะ นี่ก็ผ่านมาร่วมสัปดาห์แล้วนายยังไม่รู้จักคุณเทียร์ร่าดีเหรอวะ ทั้งที่เจอกันทุกวันอะนะ”
“ก็ไม่นะ ? ไม่ได้ถาม มีอะไรกันแน่หัวหน้า ทำไมถึงต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น“
อยู่ ๆ ก็พุ่งพรวดเข้ามาแล้วทำเหมือนการนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับนักเรียนด้วยกันถึงได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เขาเคยเห็นคนดังหลายคนในโซเชียล ช่วงที่เป็นนอกเวลางาน ไม่เห็นพวกเขาจะทำตัวเป็นดาราเลย
เดี๋ยวนะ จะว่าแบบนั้นคงไม่ได้ จากที่ฟังดู ปัญหาไม่น่าอยู่ที่เทียร์ร่าแฮะ
”อืม เรื่องนี้ฉันพอรู้นะ เหมือนจะมีช่วงนึงเขาพูดว่าคุณเทียร์ร่าไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครเป็นพิเศษมาตั้งแต่เด็กกระทั่งคนในวงการบันเทิง หรืออินฟลูเอนเซอร์ด้วยกัน เธอแทบจะปลีกตัวอยู่คนเดียวตลอดเวลา แถมไม่ค่อยเข้าหาคนอื่นด้วย ที่ว่าเรื่องใหญ่น่าจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ?“
ไอซ์ที่นั่งฟังแต่ต้นก็ออกความเห็นด้วย เรื่องเทียร์ร่าดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่นักเรียนทุกคนให้ความสนใจ กระทั่งไอซ์ที่แทบมาโรงเรียนเพื่อนอนยังรู้จัดรายละเอียด
”ใช่ เพราะตั้งแต่ ม. ต้น คุณเทียร์ร่าไม่เคยเข้าหาใครมาก่อน พวกผู้ชายกลุ่มนึงเลยชอบตรงจุดนี้”
”…“
พชรตอบสั้น ๆ เขาเองก็เริ่มให้ความสนใจ พอหัวหน้าพูดมา แนวนิยายที่เคยอ่านมีบ่อยครั้งเหมือนกันที่นางเอกเป็นคนดังระดับประเทศ เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
”อืม เหมือนกำลังเจอปัญหาอะไรสักอย่างเลยแฮะ“
“ใช่ นายเจอแน่ ดูเหมือนจะรู้สึกตัวแล้วสินะว่าผู้ชายติดตามคุณเทียร์ร่าเพราะอะไร”
“เพราะไม่มีข่าวอื้อฉาว กับไม่มีเพื่อนแล้วก็แฟนมาก่อนใช่ไหม”
“ใช่ จริง ๆ กลุ่มนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มหลักที่ติดตาม แต่ว่าพวกนี้ดันเป็นชนกลุ่มน้อยที่หัวรุนแรงนี่สิ”
“เอิ่ม…”
เหมือนชีวิตสงบสุขของพชรจะเข้ามาพัวพันกับอะไรก็ไม่รู้ซะแล้ว
”อืม… เพราะไม่เคยเข้าหาใคร กับไม่มีเพื่อนมาก่อนเหรอ“
เหมือนพชรจะจับสังเกตบางอย่างขณะที่หัวหน้ากับไอซ์กำลังพูดไปอีกอย่าง เขาพึมพำโดยปัดเรื่องที่กำลังพูดออกไปชั่วครู่
พชรเกาคางพลางนึกถึงเรื่องก่อนหน้า
“ที่พูดมาหมายความว่าไงวะ ?”
เหมือนไอซ์ก็อยากรู้เหตุผลเช่นเดียวกัน เธอพยักหน้าหงึก ๆ พอหัวหน้าถาม
“ก็ไม่รู้สิ แค่พอจับสังเกตอะไรบางอย่างได้นิดหน่อย”
“หืม ? สังเกตอะไรได้เหรอ อา เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ มาต่อกันดีกว่า…”