ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 89.2
ตอนที่ 89-2 ดวงวิญญาณ
กลางดึกคืนนั้นสาวใช้หยินซึ่งกําลังเดินไปตามทางเดินพร้อมกับชามยาบนถาด เนื่องจากฮูหยินใหญ่โกรธมากจนล้มป่วยดังนั้นท่านหมอจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปด้านนอกและต้องทานทุกสี่ชั่วโมงทําให้คนรับใช้ที่น่าสงสารเหล่านี้ต้องอดหลับอดนอนเพื่อปรนนิบัตินายหญิงของตน
ทันใดนั้นหยินซึ่งก็หยุดมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตัว
“อู่ววววววว…อูววววววว…”
ขณะนี้สาวใช้ได้ยินเสียงร้องไห้ที่น่าเวทนาดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ซึ่งมันเต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธแค้นมากมายในเวลาเดียวกันราวกับว่าคนผู้นั้นมีความคับข้องใจที่ไม่สามารถกล่าวออกมาได้
มันทําให้หยินซึ่งเกิดความรู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างมากและจ้องมองไปยังพุ่มไม้ด้วยอาการหวาดกลัว
ทันใดนั้นเองพุ่มไม้ก็เริ่มสั่นไหวและส่งเสียงกรอบแกรบ ต่อมาก็เสียงไฟที่เหมือนกับดวงวิญญาณสีเขียวเปล่งประกายลอยออกมาอยู่ในอากาศและล่องลอยไปตามทางเดิน
เมื่อหยินซิงถูกล้อมรอบไปด้วยดวงไฟแห่งภูตผีปีศาจ นางจึงทิ้งยาลงด้วยความตื่นตระหนกและกรีดร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกับมีอาการสั่นเทาไปทั้งร่าง :
“ผะ..ผี!!!” นางหันหลังวิ่งตะเกียกตะกายและคุ้ยเขี่ยไปตามทางเดิน
และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาผู้คนต่างก็ร่ําลือว่าบริเวณลานที่พักอาศัยของฮูหยินใหญ่มีผีสิงและทุกคืนจะมีแสงไฟของดวงวิญญาณเป็นจํานวนนับไม่ถ้วนมาปรากฏให้เห็นจากที่ใดที่หนึ่งและล่องลอยไปรอบ ๆ ตําหนัก โดยมิมีความเกรงกลัวต่อมนุษย์
อีกทั้งยังมีการโต้เถียงและการคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างดุเดือด และมีการนําเอาเรื่องการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของฮูหยินสามมาเชื่อมโยงกับฮูหยินใหญ่ด้วย
โดยมีคนกล่าวว่าผีตนนี้ต้องเป็นวิญญาณของฮูหยินสามที่กลับมาเพื่อหาทางล้างแค้นฮูหยินใหญ่อย่างแน่นอนและเมื่อคําซุบซิบนินทาดังกล่าวแพร่สะพัดไปทั่ว เหล่าสาวใช้ก็เริ่มกล่าวถึงและคาดคะเนกันไปต่าง ๆ นานา
ทําให้ฮูหยินใหญ่รู้สึกโกรธมากเมื่อได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาเช่นนี้ เนื่องจากมันทําลายชื่อเสียงของนางอย่างมากและรู้สึกว่ามีคนเผยแพร่ข่าวลือเหล่านี้โดยเจตนา
นางจึงลากสังขารตัวเองลุกจากเตียงและออกคําสั่งให้คนรับใช้ทุกคนมารวมตัวกันที่ลานหน้าตําหนักเพื่อตองการให้พวกเขาเห็นด้วยตาตัวเองว่าผีมีจริงหรือไม่?!
และตอนนี้เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว แต่กลับไม่มีเหตุการณ์น่าขนลุกเกิดขึ้น ดังนั้นฮูหยินใหญ่จึงหัวเราะอย่างเย็นชา :
“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข่าวลือ เจ้าเชื่อในสิ่งที่ตาของเจ้าเห็นตอนนี้หรือไม่?”
บรรดาสาวใช้และแม่นมต่างก็หันกลับไปมองหน้ากันโดยไม่กล้าที่จะกล่าวสิ่งใด แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะเคยเห็นผีตนนั้นมาแล้วก็ตาม แต่เมื่อฮูหยินใหญ่กล่าวจบประโยค แม่นมตูก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่า
“นะ…นั่นไง ผี!”
ฮูหยินใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และหันไปมองโดยรอบ นางจึงสังเกตเห็นแสงไฟสองลูกลอยมาแต่มันอยู่ห่างไกลจากลานบ้านของนาง
“พวกเจ้ารีบออกไปดูสิ!” ฮูหยินใหญ่กล่าวเช่นนั้นออกไป แม้ว่านางจะรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
ดังนั้นแม่นมผู้กล้าหาญจึงก้าวเดินออกไปพร้อมกับตะเกียงในมือ แต่เมื่อเดินไปยังจุดที่ฮูหยินใหญ่เห็นแสงไฟนั้นมันกลับไม่มีสิ่งใดอยู่โดยรอบนอกจากหญ้าที่ตายแล้ว
ต่อมาฮูหยินใหญ่ได้ยินเสียงกรีดร้องจากระยะไกลและเมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็เห็นแสงไฟสีเขียวอีกลูกกําลังลอยอยู่ใกล้ทางเดิน
“ตรงนั้น! ที่นั่นไง!!!”
เหล่าสาวใช้รีบวิ่งไปแต่ก็เป็นเช่นเดิม แต่พวกนางก็ไม่พบสิ่งใดท่ามกลางความสับสนของฮูหยินใหญ่และยังคงเห็นแสงไฟผีที่อื่นอีกอย่างต่อเนื่อง
เดิมที่ฮูหยินใหญ่คิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นมันด้วยตาของตนเองและด้วยความที่ร่างกายของนางอ่อนแอจากความเจ็บป่วยในปัจจุบัน นางจึงมีเหงื่อไหลออกมาราวกับน้ำตกพร้อมกับกรีดร้องด้วยความตกใจว่า
“เรากลับเข้าไปข้างในกันเถอะ!”
สาวใช้รีบช่วยกันพยุงร่างของนางกลับเข้าไป จากนั้นฮูหยินใหญ่ได้สั่งให้พวกเขาจุดเทียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้โดยนางนั่งอยู่ในห้องโถงพร้อมกับพึมพําและสาปแช่ง:
“อย่ามาหาข้า ข้ามกลัวเจ้า ข้ามกลัว!” นางกล่าวขณะที่ยังคงมองไปรอบ ๆ ห้อง
แม้ว่าในตําหนักมีสาวใช้สิบกว่าคนแต่ทุกคนก็รู้สึกหวาดกลัวพอ ๆ กับฮูหยินใหญ่ ขณะที่ตอนนี้มีเพียงความ เงียบที่มืดมนกําลังปกคลุมพวกเขา นอกจากนั้นก็มีประกายไฟที่สลัวจากเทียนซึ่งมีแต่ความเงียบสงบซึ่งไม่ได้ ยินเสียงอื่นใดอีกเลย
อันที่จริงแล้วฮูหยินใหญ่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวแบบนี้มาก่อน โดยนางกําลังตั้งใจฟังเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกบ้านอย่างหวั่นวิตก และเสียงที่ผิดแปลกไปจะทําให้นางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เมื่อฮูหยินใหญ่คิดถึงการตายของฮูหยินสามนางก็เกิดอาการกลัวจนตัวสั่นสะท้าน แม้ว่านางเคยวางแผนฆ่าผู้อื่นมาแล้วหลายครั้ง แต่นางก็ไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน!
และตลอดหลายปีที่ผ่านมามีผู้คนมากมายต้องสูญเสียชีวิตด้วยน้ำมือของนาง แต่ไม่มีผู้ใดสักคนที่ทําให้นางรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้ ซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นเพราะฮูหยินสามเป็นศัตรูของนาง?
หรือบางทีความตายของนางเองก็ใกล้เข้ามาแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ฮูหยินสามกลับมารังควานนาง! และเมื่อยิ่งคิดความหวาดกลัวของฮูหยินใหญ่ก็เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะนี้มีแสงสีฟ้าส่องสว่างออกมาจากนอกหน้าต่าง และนางมีความรู้สึกว่ามันเหมือนดวงไฟผี ทําให้ฮูหยินใหญ่รู้สึกราวกับว่าเลือดของตนเองกําลังเย็นยะเยือกจนเกือบจะเป็นน้ำแข็ง จึงกรีดร้องและวิ่งไปข้างหน้าเช่นเดียวกับผู้ที่กําลังประสาทเสีย:
“ข้ามกลัวนาง..ข้ามกลัวนาง!”
หลังจากมีลมกระโชกพัดผ่านรอยแยกของประตูทําให้เสื้อผ้าของนางโบกพลิ้วอย่างน่าขนลุกและเมื่อคนรับใช้เห็นพฤติกรรมบ้าคลั่งของฮูหยินใหญ่จึงคิดว่านางถูกผีสิง ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งตัวแข็งที่อความด้วยความหวาดกลัว
ฮูหยินใหญ่กระโจนไปทางหน้าต่าง ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็พุ่งผ่านไป และภายใต้ดวงไฟผีนั้นดูเหมือนมีใบหน้าดุร้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ว้ายย…!”
ฮูหยินใหญ่กรีดร้องอย่างน่ากลัวพร้อมกับโยกตัวโงนเงนไปมาและในที่สุดก็หงายหลังตึง ขณะที่รู้สึกเหมือนพลังอันมหาศาลได้ระเบิดออกมาจากภายในตัวของนางเอง ราวกับว่ามันทําให้ร่างกายของนางแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ฮูหยิน!”
แม่นมตูร้องตะโกนพร้อมกับรีบวิ่งมาข้างหน้าเพื่อจับฮูหยินใหญ่ไว้ แต่ภาพที่น่าสยดสยองที่บริเวณหน้าต่างได้หายไปโดยไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
ณ ตําหนักของคุณชายสามแห่งบ้านตระกูลหลี่
“ลายมือของหมิ่นเต่องดงามกว่าของพี่เสียอีก” หลี่เว่ยหยางกล่าวด้วยมุมริมฝีปากที่ขยับขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนสายลมของฤดูใบไม้ผลิ
หลี่หมิ่นเต่อแสดงท่าที่ไม่ใส่ใจคํากล่าวของนาง:
“หากพี่สามชอบการประดิษฐ์ตัวอักษรก็สามารถเชิญอาจารย์มาสอนได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้มีผู้คนจํานวนมากให้ความสนใจการประดิษฐ์อักษรของหลี่หมิ่นเต่อ หลี่เว่ยหยางจึงทราบได้ทันทีว่าเขามีความสามารถที่ดึงดูดผู้อื่นได้อย่างดียิ่ง อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่นางต้องการทราบมาก หญิงสาวจึงวางกระดาษประดิษฐ์ตัวอักษรไว้ในมือและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า:
“เรื่องของฮูหยินใหญ่…”
หลี่หมินเพื่อหยุดเล็กน้อยและตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า:
“หากพี่สามต้องการทราบข่าวเกี่ยวกับอาการป่วยหนักของท่านป้า…”
หลี่เว่ยหยางเหลือบมองเขาและไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่แววตาของหลี่หมินเต่อเปลี่ยนไป
โดยมันมีประกายแวววาวด้วยการจ้องมองที่เย็นชาของเขา ราวกับน้ำแข็งที่ถูกแช่แข็งชั่วนิรันดร์ ขณะที่หางตานั้นโค้งงอขึ้นและมีความหมายที่น่ากลัว ทําให้ความงดงามในวัยเยาว์ของเขามลายหายไปจนกลายเป็นเสน่ห์ที่แสนจะเยือกเย็น