ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 2.2
ตอนที่ 2-2 สะใภ้
เมื่อเห็นว่า ลูกสะใภ้ของตนเองมีความหน้าด้านมากพอที่จะแอบนำอาหารมาให้หลี่เว่ยหยางกิน และยังซุ่มซ่ามทำอาหารหกเลอะเทอะอีก
นางหลิวจึงเดือดดาลด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
ยายเฒ่าใจร้ายคว้าชามโจ๊กบนโต๊ะและโยนใส่หน้านางหม่าในทันที
มีเสียงชามแตกดังขึ้น ขณะที่นางหลิวได้ชี้นิ้วไปที่ลูกสะใภ้ของตนเอง
“เลวมาก! บอกแล้วว่าห้ามให้อาหารแก่นาง คำกล่าวของแม่สามีผู้นี้ มันมิได้เข้าหูเจ้าหรืออย่างไร?
หากต้องการจะอยู่ที่นี่ ก็จงเชื่อฟังคำกล่าวข้า และอย่าทำให้ข้าต้องอับอายอีก!”
ทั้งร่างนั้นได้กลายเป็นสีแดง ซึ่งเกิดจากการถูกลวกด้วยโจ๊กร้อน ๆ
น้ำตาแห่งความเก็บกดเริ่มคลอที่เบ้าตา แต่มิกล้าปริปากเพื่อกล่าวอันใดออกมาสักคำ
นางหม่าผู้น่าสงสารกำลังก้มหน้าก้มตาเก็บชามโจ๊ก
และสิ่งที่เว่ยหยางทำได้ก็คือ จับชายเสื้อของตนเองให้แน่น ในขณะที่นางหม่ากำลังเช็ดโจ๊กออกเบา ๆ
จากนั้นนางหม่าจัดการทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนพื้นให้เรียบร้อย
นางหลิวมิได้เปลี่ยนไปจากความทรงจำของเว่ยหยางเลยแม้แต่น้อย
นางปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความโหดร้ายเสมอมา โดยปราศจากความเมตตาและสงสาร
มิสำคัญว่า จะเป็นตัวนางเองหรือนางหม่า นางหลิวจะปฏิบัติต่อพวกนางเหมือนทาสรับใช้
หลี่เว่ยหยางจ้องมองนางหลิวอย่างตั้งใจ และต้องการที่จะกล่าวบางอย่าง แต่นางหม่าขยิบตาให้อย่างรวดเร็ว
ราวกับจะกล่าวว่า อย่ากล่าวอันใดออกมา มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษมากกว่านี้
นางหม่าเป็นลูกสะใภ้ที่มีจิตใจดี แต่ไม่ว่าจะทำดีมากสักเพียงใด แม่สามีที่ชั่วร้ายผู้นี้ก็มองมิเคยเห็นสิ่งเหล่านั้นเลย
นางหลิวจะใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตที่มี ในการจ้องที่จะคอยจับผิด และพยายามค้นหาข้อบกพร่องของลูกสะใภ้
เมื่อเห็นว่า นางหม่ามักจะปกป้อง
หลี่เว่ยหยาง จึงคิดในใจทันทีว่า ลูกสะใภ้กำลังพยายามที่จะต่อต้านตนเอง
จึงทำให้เกิดความเกลียดชังทั้งสองคนเป็นอย่างมาก
หลี่เว่ยหยางกัดฟันแน่น พร้อมกับจ้องมองไปยังนางหลิวผู้ชรา
นางหลิวชำเลืองมองไปที่เว่ยหยางโดยสัญชาตญาณ และสิ่งที่ได้เห็นคือ
ความเย็นยะเยือกในสายตาของ
เว่ยหยาง หัวใจของนางจึงเต้นระรัวขณะที่ตะโกนออกมาว่า
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ จึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น!”
หลี่เว่ยหยางมิมีเวลาที่จะไตร่ตรองด้วยซ้ำว่า เหตุใดนางจึงหวนกลับไปเป็นตนเองในวัยสิบสามปี
บิดาได้ส่งนางให้ไปอยู่กับญาติห่างๆ
พวกเขาได้เลี้ยงดูเว่ยหยางจนอายุได้เจ็ดขวบ ในตอนนั้นบิดาได้ให้สาวใช้และคนรับใช้ติดตามมาอยู่ด้วย
แต่ในที่สุด พวกเขาคงตระหนักว่าขุนนางหลี่น่าจะทิ้งให้บุตรสาวอยู่ที่นี่ และคงจะมิมารับตัวนางกลับไปเมืองหลวง จึงพากันหนีหายไปหมด
และภายใต้การยุแยงของผู้ใดบางคน เว่ยหยางได้ถูกส่งตัวไปยังชนบทอันห่างไกล และทุรกันดาร
ต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของชาวนา ในแต่ละเดือนจะมีการมอบเงินเป็นจำนวนสิบเหรียญ เพื่อเป็นค่าเลี้ยงดู
ตลอดเวลาหกเดือนที่ผ่านมานี้ ด้วยเหตุผลบางประการที่มิอาจทราบได้ มิมีการจ่ายค่าเลี้ยงดูให้กับนางอีกต่อไป
นางหลิวเดินทางไปที่บ้านญาติของตระกูลหลี่ และเอ่ยถามถึงสามครั้ง แต่ญาติของตระกูลหลี่มิได้ให้ความสนใจ ใด ๆ เลย
ด้วยเหตุนี้ นางหลิวจึงเกิดความมิพอใจมากขึ้นไปอีก
มิเพียงแต่ปฏิบัติต่อเว่ยหยางในฐานะทาสเท่านั้น แต่นางหลิวยังทำทารุณกรรมเด็กสาวอีกด้วย
ยายเฒ่าทำร้ายนางโดยการเรียกให้คนมาทำการทุบตี จนเกิดรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งร่างกาย
ในตอนนี้ เมื่อเว่ยหยางนึกขึันมาได้ว่า ตนเองเคยมีจี้หยกที่ห้อยคออยู่เป็นประจำ
จึงใช้มือคลำไปที่บริเวณหน้าอก และได้พบว่า ในตอนนี้ มันยังอยู่กับนาง จึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
จี้หยกนี้มารดาผู้ให้กำเนิด เป็นผู้มอบให้แก่นาง ตั้งแต่เมื่อตอนที่ยังเป็นทารกอยู่
นางหลิวมองไปที่ท่าทางของหลี่เว่ยหยาง จึงขมวดคิ้วขึ้น และตะโกนว่า
“นังตัวน้อย เจ้ากำลังมึนงงอันใดอยู่!”
จี้หยกเป็นสิ่งเดียวที่มารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
ในตอนนั้นจำได้ว่า นางเสี่ยงชีวิตเพื่อซ่อนมันเอาไว้ เป็นเพราะกลัวว่า นางหลิวจะมาเอามันไป
แต่วันนี้…หลี่เว่ยหยางได้เงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปที่หญิงชราผู้นั้น ด้วยสายตาที่มีแต่ความเย็นชา
และภายในชั่วพริบตา รอยยิ้มกว้างก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น
“ป้าหลิว ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยในการดูแลข้ามานานแล้ว ข้ามิมีสิ่งใดจะตอบแทนบุญคุณ นอกจากจี้หยกชิ้นนี้
จึงขอมอบมันให้กับท่าน เพื่อแทนคำขอบคุณจากใจของข้า”
หากจำมิผิด จี้หยกชิ้นนี้จะถูกนางหลิวค้นพบ และจะถูกขโมยไปในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
ในตอนนั้น เว่ยหยางต้องการที่จะได้มันกลับคืนมา จึงต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายร่างกายอย่างโหดร้าย และทารุณ
ต่อมา เมื่อได้กลายเป็นชายาขององค์ชายที่สาม จึงได้ส่งคนมาตาม หามัน
อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านแห่งนี้ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้น
และชาวบ้านส่วนใหญ่ได้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนางหลิวด้วย จึงส่งผลให้มิพบจี้หยกชิ้นนั้น
นางหลิวมิอยากจะเชื่อเลย จี้หยกที่ปรารถนามาโดยตลอด อยู่ที่นี่นั่นเอง
เป็นเพราะหลี่เว่ยหยางได้นำจี้หยกไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง จึงมิสามารถหามันพบได้
ยายเฒ่าจึงรู้สึกมีความสุขใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังเยาะเย้ยอย่างเย็นชา และคว้าจี้หยกไปจากมือของเว่ยหยาง พร้อมกับกล่าวว่า
“แค่นี้มันยังน้อยเกินไป!”
ขณะนี้นางหม่ามีอาการตกใจมาก จึงมองไปยังหลี่เว่ยหยาง
และรู้สึกเหมือนกับว่า มิรู้จักเด็กสาวผู้นี้เลย นางเป็นคนเช่นใดกันแน่
จากสิ่งที่รู้ เว่ยหยางมักจะซ่อนจี้หยกด้วยความระมัดระวังเสมอ
และจะมิยอมให้ผู้ใดมาแย่งชิงเอามันไปง่าย ๆ แต่ตอนนี้นางกลับมอบให้นางหลิวได้อย่างไร…
เมื่อนางหลิวได้จี้หยก อารมณ์จึงดีขึ้นมสก นางส่งเสียงดังและหัวเราะเยาะ
“วันนี้อยู่บนเตียงได้ แต่พรุ่งนี้ต้องตื่นมาทำงาน เข้าใจหรือไม่?”
รอยยิ้มของหลี่เว่ยหยางอ่อนโยนและทำท่าเชื่อฟังคำกล่าวนั้น
“แน่นอนป้าหลิว พรุ่งนี้ข้าจะทำงาน อย่างแน่นอน!”
ยายเฒ่ามีความรู้สึกประหลาดใจกับการเชื่อฟังของหลี่เว่ยหยาง จึงกำลังจะกล่าวอันใดบางอย่าง
แต่ทันใดนั้น ชายร่างสูงใหญ่ได้เดินเข้ามาพอดี
เหมือนกับว่า เขาเห็นภาพตรงหน้าเสียจนชินแล้ว และได้มองไปที่นางหม่าด้วยสายตาที่ค่อนข้างดูถูกพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างแรง
“ท่านแม่ เหตุใดจึงทำสีหน้าเกรี้ยวโกรธเช่นนั้น?
ไปกันเถิด วันนี้ข้าซื้อผ้าไหมมาจากตลาดชิ้นหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนกับของ
ฮูหยินหลี่สวมใส่ทุกประการ มาดูสิ เร็วเข้า!”
เขาเร่งเร้า และลากตัวนางหลิวออกไปด้านนอกในทันที
ขณะที่นางหลิวถูกลากออกไป ได้หันกลับมา และกล่าวกับนางหม่าว่า
“หากจับได้ว่า นำอาหารมาให้นางอีก ข้าจะถลกหนังเจ้าแน่!”
หลังจากนางหลิวออกไปแล้ว นางหม่าได้ใช้มือทั้งสองกุมหน้านั้น และจากนั้นน้ำตาได้ไหลรินออกมา
หลี่เว่ยหยางมองไปที่นาง พร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย
เรามิควรอ่อนแอ จะต้องหาวิธีจัดการกับยายเฒ่าผู้นี้ให้ได้
มีหลายวิธีในการเอาจี้หยกนั้นคืนมา
เพื่อจัดการกับคนโกงอย่างนางหลิวต้องใช้วิธีที่ชั่วร้ายชนิดที่นางคาดมิถึง