ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 658 สงสัย
ตอนที่ 658 สงสัย
ในเรือนอีกแห่งของจวนตระกูลเจียง
เจียงอวี่จืออยู่แต่ในเรือนจนรู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว
นางนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ก่อนจะสำรวจใบหน้าของตนเองอย่างละเอียด
หลังจากเวลาผ่านไประยะเวลาหนึ่ง รอยแผลที่อยู่บนใบหน้าของนางก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ด้วยตัวยาแก้ช้ำนั้น ทำให้บนใบหน้าของนางไม่เหลือร่องรอยแผลเป็นใดๆ อีกเลย
นางถอนหายใจออกมายาวๆ แม้กระทั่งตอนนี้นางก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
“ท่านพี่ล่ะ?”
นางเปิดกล่องเพื่อเลือกปิ่นระย้าไปด้วย และถามบ่าวเหล่านั้นไปด้วย
บ่าวที่อยู่ด้านหลังก็รีบตอบทันทีว่า
“เหมือนว่าวันนี้คุณชายใหญ่มีธุระสำคัญที่ต้องจัดการ คุณชายใหญ่สั่งให้คนไปปิดเรือนหวู่ถงไว้ตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ”
“เรือนหวู่ถง? ที่นั่นไม่มีคนอยู่มาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ เรือนนั้นรกร้างและห่างไกล ท่านพี่ไปทำอันใดที่นั่นกันนะ?”
“เรื่องนี้…บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
เจียงอวี่จือมองตนเองในกระจก แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะเดินออกไปด้านนอก
“ข้าจะไปหาท่านพี่”
บ่าวสาวผู้นั้นตกใจอย่างมาก
“คุณหนูสี่ ท่านจะไปตอนนี้เลยหรือ?”
“ใช่สิ! ช่วงนี้ข้าอยู่ในจวนมานานมากแล้ว แม้กระทั่งงานประชุมสำนักข้าก็ยังไม่ได้ไปดู! ถูกขังอยู่ในเรือนมาตั้งหลายวัน ท่านพี่น่าจะปล่อยข้าออกไปข้างนอกได้แล้ว”
นางอยู่แต่ในจวนจนเบื่อแล้ว!
อีกทั้งก่อนหน้านี้ท่านพี่ก็พูดว่าจะตรวจสอบเรื่องราวของหอร้อยโอสถและฉู่หลิวเยว่ด้วยตนเอง แต่ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย
นางอยากเข้าวังไปพูดคุยกับองค์หญิงสามแล้ว
นางไม่สนใจถึงคำเอ่ยห้ามของบ่าวรับใช้และสาวเท้าออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
บ่าวคนนั้นก็ต้องติดตามนางไปอย่างไม่มีทางเลือก
เดิมทีนางอยากจะเกลี้ยกล่อมอีกสักประโยคสองประโยค แต่เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้นิสัยของคุณหนูสี่แย่ลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังระบายอารมณ์กับสาวใช้จำนวนไม่น้อย บ่าวผู้นั้นจึงรีบปิดปากฉับทันที
หลังจากที่เดินไปสักระยะหนึ่ง เจียงอวี่จือก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาทางนี้ด้วยความรีบร้อน
เมื่อเขาเห็นเจียงอวี่จือ เขาก็รีบชะงักฝีเท้าแล้วทำความเคารพอีกฝ่ายทันที
“คารวะคุณหนูสี่ขอรับ!”
เจียงอวี่จือเห็นท่าทีร้อนรนของอีกฝ่าย จึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเจ้าถึงดูร้อนรนและรีบร้อนขนาดนี้ด้วยเล่า?”
เด็กผู้ชายคนนั้นรีบตอบว่า
“คุณหนูสี่ องค์หญิงสามมาที่นี่ขอรับ!”
เจียงอวี่จือตกใจอย่างมาก
“จริงหรือ?”
“เรื่องเช่นนี้ข้าน้อยไม่กล้าโกหกหรอกขอรับ ตอนนี้องค์หญิงสามกำลังรออยู่ที่ห้องโถงแล้วขอรับ! วันนี้นายท่านและฮูหยินไม่อยู่ที่จวน อีกทั้งองค์หญิงสามบอกว่าต้องการพบคุณชายใหญ่ขอรับ ดังนั้นข้าน้อยจึงต้องรีบไปเชิญคุณชายใหญ่มาที่นี่ขอรับ”
เจียงอวี่จือคิดในใจว่า นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง นางกำลังอยากเข้าวังไปพูดคุยกับองค์หญิงสามอยู่พอดี แต่นางกลับมาหาถึงที่เลย
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเชิญท่านพี่มาเถิด! องค์หญิงสามมาหาถึงจวนเช่นนี้ จะไม่มีคนรับรองได้อย่างใด? เดี๋ยวข้าจะไปหานางด้วยตนเองก่อน”
เด็กผู้ชายคนนั้นรู้ดีว่าคุณหนูสี่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์หญิงสามมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอันใด เขาจึงพูดอย่างยินดีว่า
“เช่นนั้นต้องฝากคุณหนูสี่ด้วยนะขอรับ! ข้าน้อยจะรีบไปเชิญคุณชายใหญ่เดี๋ยวนี้!”
เมื่อพูดจบ เขาก็วิ่งออกไปทันที
ส่วนเจียงอวี่จือก็เดินไปทางห้องโถงใหญ่
…
จวนตระกูลเจียง ห้องโถงใหญ่
เมื่อเจียงอวี่จือมาถึง ก็เห็นว่าซั่งกวนหว่านกำลังนั่งอยู่ด้านใน
ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มสนิทสนมปรากฏขึ้น
“องค์หญิงสามเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองเช่นนี้ เหตุใดไม่แจ้งกันก่อนสักหน่อยล่ะเพคะ?”
ซั่งกวนหว่านเงยหน้าขึ้นไปมอง และพบว่าคนที่มาคือเจียงอวี่จือ ไม่ใช่เจียงอวี่เฉิง แววตาของนางจึงมีประกายความผิดหวังเล็กน้อย
แต่แววตานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
นางหัวเราะขึ้น
“ข้ามาที่นี่อย่างกะทันหันน่ะ เลยไม่ได้แจ้งก่อน”
“องค์หญิงสามท่านมาที่นี่ได้จังหวะมาก ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพอดี!”
เจียงอวี่จือพูดขึ้น จากนั้นก็เดินไปนั่งที่ด้านข้างของซั่งกวนหว่าน
ซั่งกวนหว่านยิ้มขึ้นบางๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“หือ? มีเรื่องอันใดหรือ?”
แต่เจียงอวี่จือกลับกวาดสายตามองไปรอบๆ
เมื่อเห็นท่าทีระแวดระวังของนางเช่นนี้ ซั่งกวนหว่านก็รู้สึกสนใจมากขึ้นเช่นกัน
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ เจียงอวี่จือก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า
“องค์หญิงสาม ท่านเคยเจอคนที่ชื่อว่าฉู่หลิวเยว่แล้วใช่หรือไม่?”
ซั่งกวนหว่านชะงักไปเล็กน้อย แล้วพยักหน้า
“แน่นอนว่าข้าได้เจอนางแล้ว”
ความจริงแล้ว นางเพิ่งได้เจอเมื่อวันนี้นี่เอง
เจียงอวี่จือกำแขนเสื้อของตนเองแน่น
“ท่าน…รู้สึกบ้างหรือไม่ ว่าฉู่หลิวเยว่หน้าคล้ายกับคนผู้หนึ่ง?”
รอยยิ้มของซั่งกวนหว่านหายไปทันที
“อวี่จือ เจ้าต้องการจะพูดอันใดกันแน่?”
…
ห้องหนึ่งภายในเรือนหวู่ถง
เซี่ยมู่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังลังเลอยู่
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย หนังตากระตุกเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองชายรูปร่างผอมที่อยู่ตรงหน้าเขา
สายตาของเขามีแรงกดดันที่รุนแรง เหมือนว่านี่เป็นคำเตือนที่กำลังส่งให้เซี่ยมู่
เสมือนว่าหากไม่ยอมทำตามคำพูดของเขา เขาจะไม่มีทางปล่อยคนผู้นี้ไปเป็นอย่างเด็ดขาด
เซี่ยมู่ยื่นมือออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดหน้ากากเหล็กบนใบหน้าของตนเองออกอย่างช้าๆ
ใบหน้าที่มีแผลไฟเผาอย่างรุนแรงปรากฏสู่สายตาของเจียงอวี่เฉิง
รอยแผลเป็นที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ตรงกลางใบหน้าของเขา ราวกับว่าใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไป จึงทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหวาดผวาอย่างมาก
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น
เขานึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้เซี่ยมู่ผู้นี้เคยโดนไฟคลอกมาก่อน…
ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะสวมหน้ากากเอาไว้ตลอด
จากนั้นเขาก็โบกมือด้วยความรังเกียจเล็กน้อย
“สวมมันซะ!”
เหมือนว่าเซี่ยมู่จะไม่เห็นแววตารังเกียจของเขา เขาจึงสวมหน้ากากกลับเข้าไปอีกครั้งอย่างเชื่อฟัง
ท่าทางเชื่องช้าและแข็งทื่อเล็กน้อย สภาพปราณทั่วทั้งร่างกายก็เสื่อมโทรม
มีเพียงดวงตาสีหมึกคู่นั้น ที่ส่องประกายแสงจางๆ ทำให้คนอื่นยังรู้สึกว่าคนผู้นี้ยังไม่ตาย
เจียงอวี่เฉิงถามขึ้นว่า
“เมื่อครู่ฉีต้าเหอพูดว่า บาดแผลที่มือของเขา เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้ และเขาถูกสัตว์เดรัจฉานข่วน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
เซี่ยมู่พยักหน้า
เจียงอวี่เฉิงเหลือบสายตามองเขา
“พูดมา…นี่เจ้าเป็นใบ้พูดไม่ได้สินะ”
เซี่ยมู่พยักหน้าอีกครั้ง
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย เจียงอวี่เฉิงจึงไม่สามารถมองเห็นแววตาของเขาได้เช่นกัน
“…ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว สิ่งใดกันที่ทำให้เจ้าเป็นใบ้?” เจียงอวี่เฉิงพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาดูเข้มงวดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เพราะทรายรวมศูนย์ใช่หรือไม่?”
เซี่ยมู่ตกใจเล็กน้อย และรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที เขาโบกมือไปมาอย่างแรง แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เพราะทรายรวมศูนย์
เจียงอวี่เฉิงพูดขึ้นเสียงเรียบ
“เจ้าจะร้อนรนด้วยเหตุใด ข้าแค่ถามไปเรื่อยเท่านั้น”
เขารู้ดีว่าคนผู้นี้ไม่ได้เป็นใบ้เพราะพิษของทรายรวมศูนย์
แต่ว่า…สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่สิ่งนี้
เขาถามขึ้นอีกสองคำถาม เซี่ยมู่ใช้การพยักหน้าและส่ายหน้าแทนการตอบคำถาม
คำถามของเจียงอวี่เฉิงนั้นค่อนข้างน่าเบื่อ จากนั้นเขาก็เอนหลังพิงเก้าอี้
“ออกไปได้”
เซี่ยมู่ทำความเคารพเขาแล้วหมุนตัวเดินจากมา
หลังจากเซี่ยมู่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู เหมือนว่าเจียงอวี่เฉิงจะนึกอันใดบางอย่างได้
“ช้าก่อน!”
เซี่ยมู่หยุดชะงัก แล้วหันหน้ากลับไปมองหน้าเขา
เจียงอวี่เฉิงจ้องหน้าเซี่ยมู่ตาเขม็ง แล้วถามขึ้นพร้อมแรงกดดันที่มหาศาล
“ข้าจำได้ว่า เมื่อหนึ่งปีก่อนเจ้าเป็นจอมยุทธระดับหกตอนต้น แต่เหตุใดตอนนี้…เจ้าถึงอยู่ระดับสี่ตอนปลายล่ะ?”
อากาศภายในห้องเย็นยะเยือกลงทันที!
…