ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 410 หญิงสาวผู้เสแสร้ง [รีไรท์]
ตอนที่ 410 หญิงสาวผู้เสแสร้ง [รีไรท์]
“ฝ่าบาท ทรงอย่าได้ร้อนรน สุสานของจักรพรรดินี้คงอยู่มาเป็นเวลาหลายพันปีโดยปราศจากเหตุร้ายใดๆ และมันจะไม่พังทลายลงตอนนี้อย่างแน่นอน แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าภายในนี้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น”
ขณะปลอบโยนจักรพรรดิจยาเหวิน เยี่ยจือถึงก็ได้แผ่กระจายคลื่นพลังปราณออกไป เพื่อตรวจสอบส่วนลึกภายในสุสาน
เมื่อมองไปยังเส้นทางที่ถูกขวางไว้โดยสมบูรณ์ ความกลัวก็ยิ่งกลืนกินจิตใจของจักรพรรดิจยาเหวิน
หากเมื่อครู่หินก้อนนี้หล่นลงมาทับร่างของเขาละก็…
“ตะ…แต่ขอบทางเดินเริ่มพังลงแล้ว เกรงว่าอีกไม่นาน ภายในเองก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน!” จักรพรรดิจยาเหวินปวดหัว เมื่อเขาเริ่มขบคิดเกี่ยวกับบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสุสานจักรของพรรดิในเวลานี้
ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปเขาจะเสียหน้าเพียงใด อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษอีก!
เยี่ยจือถิงส่ายหัว
“ฝ่าบาท การที่สุสานจักรของพรรดิสร้างขึ้นใต้ยอดเขาซีจินนั้นมีเหตุ และผลอันสมควรของมันเอง ได้โปรดถอยออกไปก่อน กระหม่อมผู้นี้จะเปิดทางให้ท่านเองเพคะ”
จักรพรรดิจยาเหวินรู้ว่าตอนนี้มีเพียงเยี่ยจือถิงเท่านั้นที่ไว้ใจได้ ดังนั้นเขาจึงถอยกลับไปอย่างเชื่อฟังทันที
เยี่ยจือถิงจ้องมองก้อนหินด้านหน้าพลันขมวดคิ้ว
สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่เรื่องสุสานของจักรพรรดิพังทลาย แต่…เป็นเรื่องของคนสองคนที่เข้ามาก่อนพวกเขา พร้อมทักษะที่สามารถทำให้สุสานของจักรพรรดิสั่นสะเทือนได้ถึงเพียงนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ สมองก็พลันนึกย้อนไปถึงตอนที่มีแสงส่องสว่างวาบเหนือวงแหวน…
แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกนั้นมาเพื่อสิ่งใด
เขากลั้นหายใจ และรวมพลังปราณไว้ที่ฝ่ามือของเขา
พลันหันฝ่ามือไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ตูม!
เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นตรงกลางหินก้อนนั้น
จักรพรรดิจยาเหวินอารมณ์ดีขึ้นทันที
ตราบใดที่พวกเขาสามารถทำลายหินก้อนนี้ได้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสเข้าไป และปิดกั้นการทำงานของสุสานได้
“ถ้าข้ารู้ว่าสองคนนั้นเป็นใคร ข้าไม่มีทางปล่อยพวกมันไว้แน่”
เยี่ยจือถิงเอ่ยเสียงจริงจัง พลันวาดฝ่ามือออกไปอีกครั้ง
ตูม!
ครืน!
เพียงพริบตา แสงสีขาวที่รุนแรงพุ่งทะลุสู่อีกด้านของก้อนหิน
“ทะลวงได้แล้ว!”
จักรพรรดิจยาเหวินกำหมัด และพูดอย่างตื่นเต้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เยี่ยจือถิงก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
อย่างใดเสียบริเวณนี้จัดว่าเป็นเขตรอบนอกของสุสานจักรพรรดิ เขาจึงจัดการได้ง่ายกว่าที่คาดไว้
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะเหลิงไปกับชัยชนะ และทำการเปิดทางเดินทั้งหมดต่อไป ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงอันใดบางอย่าง พลันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป!
“ถอย!”
เขาตะโกนอย่างเคร่งเครียด พลางคว้าคอเสื้อของจักรพรรดิจยาเหวิน และถอยกลับอย่างรวดเร็ว!
จักรพรรดิจยาเหวินที่ไม่ทันระวังตัว ก็ได้ร้องอื้ออึงในลำคออย่างอึดอัด ขณะที่ถูกเยี่ยจือถิงลากตัวออกไป เขาหน้าแดงเถือกและไอโขลกอย่างรุนแรง
“เยี่ย…แค่กๆ…เยี่ย…”
เขาแค่นเสียงพูดออกมาสองสามพยางค์ด้วยความยากลำบาก แต่ครู่ต่อมาดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันใด
ภาพตรงหน้าคือทรายสีทองที่ไหลพรวดออกมาจากรอยแตกตรงกลางหิน
ทรายสีทองเหล่านั้นรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ ก่อตัวเป็นชั้นผลึกบางๆ พลันปกคลุมทั่วทั้งหินก้อนนั้น
หินก้อนนั้นจึงกลายสภาพเป็นเหมือนก้อนผลึกทองคำที่ดูสวยงาม ทว่าจักรพรรดิจยาเหวินกลับมองมันด้วยความกลัวสุดขีด
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่บรรจุอยู่ในผลึกบางๆ สีทองนั่น
พลันมีเศษหินที่แตกจากการโจมตีเมื่อครู่ กลิ้งหล่นลงพื้น
พรึบ!
เพียงเสียงกระทบดังขึ้น เศษหินก้อนนั้นก็กลายเป็นผุยผงทันที
หัวใจของจักรพรรดิจยาเหวินสั่นเทาอย่างรุนแรง
ว่าแล้วเชียว
หากสัมผัสกับผลึกสีทองบางๆ นั่นก็จะมีจุดจบเช่นนี้
แต่ถึงพวกเขาจะหลบได้อย่างว่องไว ทว่าทรายสีทองนั่นก็แผ่กระจายเร็วขึ้นด้วย
ดวงตาของเขาจ้องมองทรายเหล่านั้นที่กำลังไล่ตามมาติด
เยี่ยจือถิงสะบัดมือจนแขนเสื้อปลิวไสว พลันโล่สีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาสองคน
ชายชราสองคนจึงมีโอกาสได้พักหายใจหายคอครู่หนึ่ง
ดวงตาของจักรพรรดิจยาเหวินยังคงสั่งไหวจากภาพอันน่าสยดสยองเมื่อครู่
“นั่นมัน… นั่นมันทรายจากด่านธาตุทอง! นี่พวกเขาไม่เพียงแต่ทะลุฝ่าด่านไปได้เท่านั้น แต่ยังทำลายพื้นที่ในนั้นทั้งหมดด้วยหรือ”
แววตาของเยี่ยจือถิงมือมนลงทันตา
“คิดจะเข้าไปตอนนี้ เกรงว่าคงจะยากเสียแล้ว…”
…
อย่างใดเสียผู้ร้ายอย่างฉู่หลิวเยว่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฝั่งจักรพรรดิจยาเหวินจะเลวร้ายเพียงนี้
ก่อนหน้านี้นางทำลายพื้นที่ในด่านนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น
ทว่าเมื่อครู่ที่นางฉวยพีระมิดสีเงินออกมาจากฐาน ส่งผลให้ระบบธาตุทั้งห้าของสุสานจักรพรรดิทั้งหมดพังทลายลงอย่างง่ายดาย
หากปราศจากความแข็งแกร่งของปราการด่านธาตุทอง สุสานก็จะสูญเสียการควบคุมไปโดยปริยาย
ทรายสีทองไหลพรูออกจากทั่วทุกทิศทุกทาง ขวางทางเยี่ยจือถิงและจักรพรรดิจยาเหวินไว้โดยตรง
หากตอนนี้นางก้มหน้ามองพีระมิดสักนิด นางก็อาจจะระแคะระคายขึ้นมาบ้าง
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์สุนทรีเพียงนั้น เพราะยามนี้นางได้เทความสนใจทั้งหมดให้กับชายลึกลับผู้ไม่ยอมเปิดเผยตัวตน
หลังจากที่นางถามประโยคนั้น อีกฝ่ายก็เงียบไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตน
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เฒ่าแก่ใหญ่เจ้าของเจินเป่าเก๋อที่ตนอยากเจอมาโดยตลอด จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่
อีกทั้งยังพุ่งเป้ามาที่สิ่งนี้ด้วย
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกลำบากเล็กน้อย
ร้านเจินเป่าเก๋อช่วยเหลือนางหลายครั้งแล้ว และแม้ว่าเถ้าแก่ใหญ่ของร้านจะไม่เคยเผยโฉมหน้าให้นางเห็นเลย แต่ฉู่หลิวเยว่ก็รู้ว่าการที่เหยียนเก๋อยอมช่วยนางถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าอีกฝ่ายเองก็ต้องยินยอมพร้อมใจด้วยส่วนหนึ่ง
ยิ่งไม่ต้องนึกถึงเมื่อครู่ก่อนตอนที่เขาช่วยนางไว้ความจริงแล้วนางติดหนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่กับท่านผู้นี้
แต่ถ้านางต้องมอบพีระมิดนี้ให้เขา หัวใจคงนางคงอยู่ไม่สุขเป็นแน่
เพื่อสิ่งนี้แล้วนางต้องผ่านความยากลำบาก และประสบกับอันตรายนับไม่ถ้วน แล้วนางจะมอบมันให้ใครสักคน เพียงเพราะคำพูดของอีกฝ่ายได้อย่างใด?
“ดูเหมือนจะเป็นท่านจริงๆ สินะ”
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงของนางสุภาพมากขึ้น
“ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่มาตลอด นั่นหมายความว่าท่านรู้ตัวตนของข้าแล้ว ข้ารู้สึกขอบคุณท่าน สำหรับการดูแลช่วยเหลือหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่…สำหรับสิ่งนี้ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้ายกมันให้ท่านไม่ได้จริงๆ นอกจากสิ่งนี้แล้วเรียกร้องจากข้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งใดข้าจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อเอามันมาให้ท่านแน่นอน”
คราวนี้ในที่สุดอีกฝ่ายก็เปิดปากพูด
“ข้าเรียกร้องเดียวของข้าก็คือ เจ้าสิ่งนั้น”
น้ำเสียงนั้นสงบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันแน่น
“เถ้าแก่ใหญ่ พวกเรามาลองปรึกษาหารือกันดีหรือไม่? ไว้ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ค่อยหาที่นั่งสนทนาเรื่องนี้กันอีกที ท่านคิดว่าอย่างใด? เมื่อครู่ท่านพูดว่านี่คือของรักของภรรยาท่าน อย่างนั้นแล้ว…เหตุใดไม่ลองให้ข้ากับภรรยาของท่านได้ลองคุยกันก่อนเล่า?”
นางมาถึงที่นี่ก่อนเขา และติดอยู่ในนี้มาพักหนึ่งแล้ว การพูดจาบีบบังคับนางเช่นนี้ ย่อมไม่ยุติธรรมสำหรับนาง
อย่างใดก็หาที่นั่งจับเขาคุยกันดีๆ ก่อนเถอะ
เถ้าแก่ใหญ่ไม่เห็นหรือว่า ทั้งทะเลสาบกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว
อีกฝ่ายกลับไปเงียบขรึมอีกครั้ง
ทว่าทันใดนั้นกำแพงก็แยกออก พร้อมกริชในมือที่สั่นไหว
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นรอยแตกร้าวบนผนังรอบกริช
นางกลัวว่าไม่นานกริชในมือคงรับน้ำหนักไม่ไหว
แต่ทว่าเถ้าแก่ใหญ่ผู้นี้คงไม่รู้ถึงความลำบากของนาง ช่างพูดยากเสียจริง
แต่ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของนาง อีกฝ่ายจึงเอ่ยออกมาด้วยความเมตตา
“เจ้าบอกว่า…เจ้าขอคุยกับภรรยาข้าด้วยตัวเองหรือ?”
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ แต่ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป
ราวกับว่า…กำลังขบขันอยู่อย่างใดอย่างนั้น
มีสิ่งใดต้องให้ขำด้วยหรือ?
ฉู่หลิวเยว่ไม่สบอารมณ์ รอให้นางได้เจอกับภรรยาผู้เลื่องลือนางนั้นเสียก่อนเถิด นางจะกวดตามองให้ละเอียดถี่ถ้วนเลยว่า จริงๆ แล้วนางผู้นั้นเป็นคนแบบใด
ช่างวุ่นวายเสียจริง