ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 248 เขามาแล้ว [รีไรท์]
ตอนที่ 248 เขามาแล้ว [รีไรท์]
เซิ่นอีหมิงอยากจะเถียงกลับอีกหลายประโยค แต่ก็พบว่าสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่พูดนั้นถูกต้อง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างรู้กันดีเพราะความผิดของเขาทำให้ต้องออกจากการประลองมา
เมื่อฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นเช่นนี้ ต่อให้เขาหน้าหนากว่านี้ ก็ไม่สามารถยืนอยู่บนเวทีการประลองนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
สมองของเซิ่นอีหมิงค่อยๆ กระจ่างขึ้นเล็กน้อย
หลายปีมานี้ เขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่ใครก็ต่างอิจฉา เขาไม่เคยแพ้การแข่งขันและถูกขับออกจากการแข่งขันอย่างน่าอัปยศเช่นนี้
ความรู้สึกภายในของเขาไม่มั่นคงอย่างมาก
ซีหว่านหว่านที่มองดูสถานการณ์อยู่ข้างล่างพบว่าเขามีอาการผิดปกติไป จึงรีบวิ่งขึ้นมา
“อีหมิง เจ้าบาดเจ็บนี่นา ไปพักสักหน่อยดีหรือไม่?”
ฝูอวิ๋นซานรู้ว่าเขาไม่สามารถแก้สถานการณ์ให้กลับคืนมาได้แล้ว จึงทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
ในตอนที่ซีหว่านหว่านขึ้นบันไดมา เซิ่นอีหมิงถึงค่อยได้สติคืนมา และต้องเดินออกไปอย่างจำใจ
ตอนที่ต้องเดินผ่านฉู่หลิวเยว่ เขาเหลือบไปมองหน้านางอย่างอดไม่ได้
ท่าทางของแม่นางผู้นั้นดูเกียจคร้าน พร้อมจ้องไปที่กระดานและขมวดคิ้วแน่นด้วยสีหน้าราบเรียบ
มันแตกต่างจากท่าทางประหม่าของเขาเมื่อก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ในใจของเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก จึงรีบถอนสายตากลับทันที และก้มหน้าเดินออกจากที่นี่ไป
ฉู่หลิวเยว่วางหมากลงเบาๆ โดยที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับใครเลย
เซิ่นอีหมิงต้องการจับปลาในน้ำขุ่น[1]* วิธีการก็ถือว่าหลบซ่อนแล้ว แต่น่าเสียดายที่นางไม่อยากมาเสียเวลากับคนแบบนี้
ส่วนซีหว่านหว่านคนนั้น…
ก็แค่พวกไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
…
หลังจากเซิ่นอีหมิงจากไปแล้ว ทุกคนก็เริ่มซุบซิบเสียงเบากันขึ้นมา จากนั้นความสนใจก็มุ่งไปที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนที่อยู่บนเวที
เวลาการแข่งขันใกล้จะหมดแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าใครจะสามารถทะลวงค่ายกลได้ก่อน…
ทันใดนั้นท่ามกลางผู้คนมากมายก็เกิดความโกลาหลเกิดขึ้น
เดิมทีฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวเหล่านั้นเลย แต่การเคลื่อนไหวนั้นค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ในที่สุดนางก็เงยหน้าออกจากค่ายกลอันนั้น แล้วหันไปมอง
เมื่อมองออกไป กลับเห็นร่างที่ดูคุ้นตา คนผู้นั้นสวมชุดสีขาว ด้านนอกสวมชุดคลุมสีดำ
เขาเพียงแค่หยุดยืนอยู่ตรงนั้น แต่ก็สามารถดึงดูดสายตาของทุกคนได้
สุภาพบุรุษหล่อเหลา รูปงาม สูงส่ง
เมื่อนำคำพูดข้างต้น วางไว้บนตัวของเขา ราวกับคำพูดเหล่านั้นเป็นความจริง
แม่นางหลายคนอยู่ในสนามแข่งขันต่างก็มองไปที่เขาด้วยความเขินอาย รู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเป็นอย่างมาก
ส่วนบุรุษเพศต่างก็รู้สึกละอาย เพราะเนื่องจากพวกเขาแตกต่างกันเกินไป เป็นความยากที่ไม่อยากจะเปรียบเทียบ
คนที่คล้ายเทพเซียนเช่นนี้ พวกมนุษย์ธรรมดาไม่ควรไปเปรียบเทียบด้วยหรอก
ความโกลาหลเหล่านี้ เกิดเพราะบุรุษเพศด้วยกันทั้งนั้น
ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ในสนามแข่ง สามารถได้ยินเสียงกระซิบกระซาบด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างชัดเจน
“ใครกัน? ผู้นั้นคือใครกัน? คาดไม่ถึงว่าแคว้นเย่าเฉินของเราจะมีบุรุษรูปงามหล่อเหลาอ่อนโยนเช่นนี้ด้วย?”
“ผู้สูงส่งเป็นสุภาพชน ได้ปราศรัยได้ความรู้ ฝึกวินัยนิสัยดีงาม…คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนั้นจริงๆ…”
“นั่นมันเหมือนกับองค์เจ็ดแห่งแคว้นเย่าเฉินเลย องค์ชายที่สุขภาพอ่อนแอ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เขารักษาตัวอยู่ที่หมิงเยว่เทียนซานมาโดยตลอดเลยไม่ใช่หรือ? เพิ่งจะกลับมาเมืองหลวงช่วงนี้นี่เอง!”
“ที่แท้ก็เป็นเขานั่นเอง! ข้านึกว่าเขาจะเป็นคนป่วยออดแอดร่างกายผอมโทรม คิดไม่ถึงว่า…”
“ถึงแม้ข่าวลือจะบอกว่าเขาเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าท่าทางเช่นนี้แล้ว… มันก็เพียงพอที่ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากคลั่งไคล้เขานะ”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
มารร้ายก็สมเป็นมารร้ายจริงๆ
เดินไปที่ไหน ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่พวกเขาสองคนเพิ่งแยกกันที่ป่าด้านนอกเมืองหลวงนี่ เขาไม่กลับไปจัดการธุระของตนเองหรือ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?
ด้านหลังของหรงซิว มีเยี่ยนชิงติดตามมาอย่างเงียบๆ ที่หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเล็กน้อย
เจ้านายของตัวเองนี่ก็จริงๆ เลย รู้อยู่แล้วว่าหน้าตาตนเองจะดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหลาย แต่คาดไม่ถึงว่าจะเปิดตัวยิ่งใหญ่แบบนี้…
ช่างเถอะ ความจริงการมาเยือนของพวกเขาในครั้งนี้ ก็ถือว่ามาแบบไม่เป็นจุดสนใจแล้ว
หลีอ๋องเดินทางโดยมีผู้คุ้มกันคนเดียว จะให้เรียกว่าเปิดตัวยิ่งใหญ่ไม่ได้
ที่ยิ่งใหญ่ก็คือใบหน้าของนายท่านนั่นเอง
เมื่อตอนเที่ยงนายท่านกลับมาที่ตำหนัก บนร่างกายยังมีคราบเลือดเล็กน้อย จึงทำให้เขากับอวี๋มั่วตกใจอย่างมาก
แต่นายท่านกลับอารมณ์ดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เพียงแต่จะขี้เกียจแสร้งป่วยแล้วยังจะออกมาข้างนอกอีกด้วย
เดิมทีเขาเองก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเงาของฉู่หลิวเยว่ที่อยู่กลางลานประลองนั้น ก็ถึงได้เข้าใจทันที
นายท่านติดตามใครบางคนมาอย่างชัดเจนเลย
แต่เขากลับไม่เข้าใจ
จากที่เหยียนเก๋อเล่ามา ตอนกลางวันนายท่านเพิ่งกลับมาพร้อมกับคุณหนูฉู่ มีแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่จากกัน แล้วเหตุใดยังออกมาเจอกันอีกเล่า?
แน่นอนว่าเยี่ยนชิงไม่เข้าใจ
บนโลกนี้มีโรคที่ชื่อว่า “คิดถึง” อยู่ และอีกโรคหนึ่งที่ชื่อว่า “ต้องการครอบครอง”
จนต้องดึงตัวของเขามาที่นี่ แล้วหรงซิวจะรออยู่เฉยๆ ได้อย่างใด?
เมื่อเขาเห็นแม่นางที่อยู่กลางเวที เขาก็สาวเท้าขึ้นไปหาโดยทันที
ราวกับว่าบนร่างกายของเขามีรัศมีที่มองไม่เห็น ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใด ทุกคนก็จะถอยและเปิดทางให้ทันที
…
เมื่อซือถูซิงเฉินเห็นว่าหรงซิวปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ร่างกายของนางก็แข็งค้าง
นางคิดถึงคนผู้นี้มาตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่เขากลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านาง ทำให้นางรู้สึกคาดไม่ถึงจริงๆ
เพราะว่านางตกใจและดีใจมากเกินไป องค์หญิงใหญ่แคว้นซิงหลัวก็มือไม้อ่อนไปหมด
ความจริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว
ใบหน้านี้ เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่เจอกัน ความเยาว์วัยก็หายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นความเย็นชาที่เพิ่มขึ้น
หัวใจของนางเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าแดงจนเกือบจะไหม้แล้ว
นางจัดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างตื่นเต้น ในใจกลับรู้สึกเสียใจอย่างมาก
หากรู้ว่าวันนี้เขาจะมา นางจะไม่มีทางใส่ชุดสบายๆ เช่นนี้ออกจากจวน
แต่เรื่องเหล่านี้มันก็กลายเป็นเรื่องเล็กไปทั้งหมด เพราะความรู้สึกดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งเข้ามาแทนที่
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดนางก็ได้เดินเข้าไปใกล้หรงซิว พร้อมเรียกทักทายเบาๆ
“ศิษย์พี่หรงซิว”
หรงซิวชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปมอง
[1] จับปลาในน้ำขุ่น แปลว่า ฉวยโอกาสในช่วงชุลมุน