ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1651 เห็นแก่หน้าพ่อของเจ้า
ตอนที่ 1651 เห็นแก่หน้าพ่อของเจ้า
……….
“ท่านแน่ใจหรือ?”
ผู้อาวุโสอูเผิงถาม
“แน่นอน!”
หนานอวี่สิงตอบอย่างหนักแน่น
ถ้าไม่ได้ปลอมตัวมา ก็ไม่มีเหตุผลไหนที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้แล้ว เหตุใดเด็กหญิงอายุสามสี่ขวบถึงได้มีพลังกายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้!
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ แต่เขาไม่เคยเจอใครที่ท้าทายกฎสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้
นางจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งปลอมตัวมาอย่างแน่นอน!
“ส่วนการปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันของนางนั้น นั่นต้องเป็นเพราะนางเคลื่อนกายย้ายร่างมาแน่นอน!”
ไม่อย่างนั้นแล้วละก็จะอธิบายเรื่องนี้อย่างใด?
ผู้อาวุโสอูเผิงได้ยินดังนั้น ก็หันไปสบตากับผู้อาวุโสไป๋ถง จากนั้นก็เห็นว่าในแววตาของเขามีความไม่เห็นด้วยปรากฏอยู่
“แต่ว่า… ตอนที่เด็กน้อยคนนั้นปรากฏตัวขึ้น กลับไม่มีความผันผวนของทางมิติและระลอกคลื่นพลังปราณดั้งเดิมเลย…”
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพเคลื่อนย้ายร่าง ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้แน่นอน
หนานอวี่สิงสะอึกไป สีหน้าดูย่ำแย่มากกว่าเดิม
“… ถ้าจะพูดเช่นนี้ การปรากฏตัวของเด็กคนนั้นมันไม่แปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือ?”
ผู้อาวุโสไป๋ถงพูดสวนขึ้นมาทันควัน
“ความจริงแล้วผู้เฒ่าอย่างข้ากลับรู้สึกว่า วิธีการที่เด็กสาวคนนั้นปรากฏตัวขึ้นเหมือนกับ… การปรากฏตัวของสัตว์อสูร”
โดยเฉพาะตอนที่เรียกสัตว์อสูรในพันธสัญญาของตนเองออกมา ถึงสามารถปรากฏกายขึ้นมาอย่างไร้เสียงไร้ร่องรอยเช่นนี้
อีกทั้งพลังกายของสัตว์อสูรนั้นก็แข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอยู่แล้ว
“จะเป็นไปได้อย่างใด?”
หนานอวี่สิงรู้สึกว่าการคาดเดานี้ไร้สาระเป็นอย่างมาก
“บนโลกนี้มีเพียงอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลสองชนิดเท่านั้นที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ อีกทั้งต่อให้เป็นเช่นนั้น ตอนที่พวกเขาปรากฏกายขึ้นมา อย่างน้อยก็มีรูปร่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว จะมีรูปร่างเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างใด?”
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างไม่พูดจา
นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาคิดไม่ออก
นอกจากเรื่องนี้แล้ว การปรากฏกายของเด็กน้อยคนนั้น ความจริงแล้วก็เหมือนกับสัตว์อสูรมาก…
ทันใดนั้นหนานอีอีก็สาวเท้าก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว
“พี่ใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่พวกเราจะลงมือจริงๆ”
หนานอวี่สิงหันไปมองนางอย่างประหลาดใจ
“เหตุใดหรือ?”
หนานอีอีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“พี่ดูสิว่าแม่นางคนนั้นกำลังทำอันใดอยู่?”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง
ทันใดนั้นเองสีหน้าของหนานอวี่สิงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
“นี่นางกำลังเตรียมตัวจะทะลวงด่าน?”
“ถูกต้อง อีกทั้ง… หากข้าเดาไม่ผิดละก็ นางคือปรมาจารย์ค่ายกล”
หนานอีอีกัดฟันแล้วพูดขึ้น
แม้ว่าระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจะไกลกันมาก แต่หนานอีอีก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก
นางคาดเดาเอาไว้ว่า อีกฝ่ายก็ต้องทะลวงด่านในฐานะปรมาจารย์ค่ายกลอย่างแน่นอน!
“เพียงแต่ไม่รู้ว่านางนั้นเตรียมตัวจะทะลวงด่านระดับใดกันแน่”
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ไม่ว่าอย่างใดหลังจากผ่านวันนี้ไป เรื่องเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเพียงภาพความฝัน!”
จะทะลวงด่านก็ดี!
ในเวลานี้นางจะต้องอ่อนแอลงอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าผู้ชายที่อยู่ด้านข้างจะเป็นช่างหลอมอาวุธระดับราชา แต่เขาก็อยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น
เขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้อย่างแน่นอน!
จะมีโอกาสไหนที่ดีไปกว่าตอนนี้แล้วหรือ?
หนานอวี่สิงเหลือบสายตาไปมองผู้อาวุโสทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง
“ผู้อาวุโสไป๋ถง ผู้อาวุโสอูเผิง ครั้งนี้พวกท่านทั้งสองคงจะไม่เข้ามาขวางอีกใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสทั้งสองสบสายตากัน จากนั้นก็พยักหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รีบจัดการให้เร็วหน่อยก็ดีเช่นกัน”
…
พวกเขาทั้งหลายมุ่งหน้าเดินทางมายังทิศทางที่หรงซิวและฉู่หลิวเยว่อยู่
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ราบและโล่งกว้าง ป้ายหลุมศพที่แตกหักกระจัดกระจายไปทั่ว เดิมทีก็ไม่สามารถปกปิดเงาร่างของพวกเขาได้อยู่แล้ว
แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และวิ่งตรงดิ่งเข้ามาในทันที
เขาไม่กังวลกับอีกฝ่าย เพียงแค่สังหารไปทันทีก็พอแล้ว ไม่ต้องเปลืองเวลาและพลังงานไปทำเรื่องอย่างอื่น
แน่นอนว่าหรงซิวได้ยินถึงความเคลื่อนไหวของพวกเขาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย
เขายืนรอคอยอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่อย่างสงบเช่นเคย
การทะลวงด่านจากปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชาสู่ระดับมหาราชาไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นแน่นอน
ดังนั้นก่อนที่นางจะทะลวงด่านได้สำเร็จ เขาก็จะช่วยกำจัดเหตุที่ทำให้นางเสียสมาธิออกไปให้หมด
“บังเอิญจริงๆ เลยนะ!”
หนานอวี่สิงพูดขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงเย็น สายตามองไปที่ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวอย่างไม่ปิดบังจิตสังหาร
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะได้มาเจอกันที่นี่”
หรงซิวไม่ได้สนใจเขา แม้กระทั่งสายตาก็ยังไม่หันกลับไปมอง
ด้วยท่าทีที่เมินเฉยเช่นนี้ มันทำให้หนานอวี่สิงโกรธมากเสียยิ่งกว่าถูกประชดประชันเยาะเย้ยเสียอีก
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายไปอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วยความเย็นชาหนึ่งชั้น
“ข้ากำลังพูดกับพวกเจ้าอยู่นะ ไม่ได้ยินหรืออย่างใด!”
คิ้วกระบี่ของหรงซิวเลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาเกียจคร้าน
“คนเขากำลังยุ่งอยู่ อย่าเพิ่งรบกวน เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“เจ้า! บังอาจ!”
หนานอวี่สิงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนกำเริบเสิบสาน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังมีความกล้าหาญขนาดนี้อยู่!
นี่เขามั่นใจในตัวเองมากเกินไป หรือไม่รู้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานมาอยู่ด้านหน้าแล้ว?
“สามารถเดินทางมาถึงที่นี่ได้ ก็ถือว่าพวกเจ้ามีความสามารถไม่เลว… แต่น่าเสียดาย มันก็เท่านั้นแหละ”
หนานอวี่สิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมออกมา
“หากเจ้าคุกเข่าลงขอร้องข้า ข้าก็จะยอมให้ศพของเจ้าสมบูรณ์หน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หรงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นมา
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินคนพูดเช่นนี้กับเขา
“หากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
หนานอวี่สิงโกรธจนหัวเราะออกมา
“เจ้านี่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ …อีกเดี๋ยวหากเจ้าร้องขอให้ข้าไว้ชีวิต ข้าก็จะไม่มอบโอกาสเช่นนี้ให้อย่างแน่นอน!”
หรงซิวเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน สายตามองไปที่ท้องฟ้า จากนั้นก็มองไปที่พวกเขา ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เจ้าไม่สามารถยั่วให้ข้าโมโหได้หรอก ข้าไม่ได้สนใจชีวิตของพวกเจ้า เห็นแก่หน้าของหนานอีฝาน ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยพวกเจ้าไปก่อน แต่ว่า… ความอดทนของข้ามีจำกัด หากครั้งหน้ามายั่วโมโหข้าเช่นนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานอวี่สิงและคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที!
เพราะว่าหนานอีฝานคือบิดาของหนานอีอีและหนานอวี่สิง และเป็นท่านประมุขของพวกเขา!
พวกเขาทั้งหลายมองหน้ากันไปมา สามารถเห็นความตกใจและสงสัยในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ผู้ชายคนนี้… เหมือนว่าจะรู้ตัวตนของพวกเขาเป็นอย่างดี
อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงแล้ว เหมือนว่าเขาจะมี… ฐานะไม่ธรรมดา!
ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ เขาไม่มีทางเรียกชื่อของหนานอีฝานได้อย่างห้วนๆ แน่นอน!
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
สีหน้าของหนานอวี่สิงย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นก็เหมือนว่าผู้อาวุโสไป๋ถงนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
“…หรงซิว…หรงซิว…ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมหันไปมองหรงซิวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าคือหรงซิว… โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์หรือ?”
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินแม่นางคนนั้นเรียกชื่อของอีกฝ่ายมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอันใด
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้คุ้นเคยกับหรงซิวและพระราชวังเมฆาสวรรค์ เขาไม่เคยเจอและไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเลย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง บนโลกนี้มีคนชื่อซ้ำตั้งมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะนึกตัวตนของอีกฝ่ายออกทันทีที่พบหน้า
จนกระทั่งตอนที่หรงซิวพูดถึงชื่อของหนานอีฝานขึ้นมาด้วยตนเอง พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าเรื่องนี้มีอันใดบางอย่างผิดปกติ
หนานอวี่สิงหน้าเปลี่ยนสีไปมาหลายครั้ง สุดท้ายก็ปรากฏสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้นมา
“เหอะ โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์… น่าจะสุดยอดมากเลยสินะ? ในเมื่อเจ้ารู้ฐานะของพวกเราแล้ว ก็ควรจะรีบคุกเข่าขอความเมตตาซะ!”
สำนักหรือตระกูลอื่นๆ ที่อยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่อาจจะมีความหวาดกลัวพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่พวกเขาไม่ใช่
ในเมื่อหรงซิวรู้ถึงฐานะของพวกเขาแล้ว ก็ยังกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้
ถ้าเขาไม่ตาย แล้วใครจะตาย?
หรงซิวลูบจมูกของตนเองไปมา
ตอนนี้เขารู้สึกสงสารงหนานอีฝานขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะให้กำเนิดทายาทที่ไร้สมองเช่นนี้ออกมาได้
เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วถามเสียงเบาขึ้นมาว่า
“ขนาดพูดเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่ยอมจากไปอีกหรือ?”
……….