ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1637 เหตุการณ์เมื่อปีนั้น
ตอนที่ 1637 เหตุการณ์เมื่อปีนั้น
……….
ข้อดีของนางเยอะมาก ราวกับไข่มุกที่เปล่งประกายแวววาวแสบตา
เขาอยากจะประคองเอาไว้ในมือ และครอบครองไว้เพียงคนเดียว
แน่นอนว่านี่เป็นความปรารถนาที่สวยหรู เพราะว่านางสมควรได้อยู่ในฟ้าดินกว้างขวาง มองทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งกว่านี้
ดังนั้นถ้าจะเลือกหนึ่งข้อ เขาจึงเลือกข้อที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด
ขอเพียงนางยืนอยู่ตรงนี้ นางก็ชนะแล้ว
แล้วจะไปเสียเวลาพูดเรื่องอื่นอีกเหตุใด?
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็ขยับไปมาเล็กน้อย
ต้องยอมรับเลยว่า เมื่อผู้ชายคนนี้พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาก็ทำให้หัวใจของคนสั่นไหวได้อย่างง่ายดาย
“อะแฮ่ม!”
ซั่งกวนจิ้งที่ถูกเมินมาโดยตลอด ก็กระแอมไอขึ้นมาอย่างแรงเพื่อดึงดูดความสนใจ
เขาเริ่มรู้สึกว่าการที่ติดตามมาที่นี่เหมือนจะเป็นความผิดอย่างหนึ่งแล้ว
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ไม่ได้ทำอันใดเลย
เพียงแค่มองตากันไม่กี่ครั้ง และพูดคุยกันเท่านั้น
ในระยะที่ผ่านมานี้ การโอบเอวที่พวกเขาทำกันวันนี้ถือเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดที่สุดของพวกเขาทั้งสองแล้ว
ซึ่งนับว่าเป็นการควบคุมตนเองมากที่สุดแล้ว
แต่ซั่งกวนจิ้งกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นเศษที่เหลืออย่างมาก
นี่มันผิดแผนแล้ว ผิดแผนอย่างมาก!
หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่ต่างหันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ปลายนิ้วของหรงซิวก็ลูบที่เอวด้านหลังของนางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะชักมือกลับมาอย่างรู้ความ
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางส่งสายตาเตือนหรงซิวว่า ‘ยับยั้งชั่งใจตนเองหน่อย!’
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น ‘หรือว่านี่ข้ายังยับยั้งชั่งใจตนเองไม่พออีกหรือ?’
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ซั่งกวนจิ้งเงยหน้ามองท้องฟ้า
“อะ อะแฮ่ม ข้าว่านี่ก็ได้เวลาแล้ว พวกเราเตรียมตัวเข้าไปในป่าวิญญาณสีชาดกันเถิด?”
…
ท้องฟ้าสว่างสดใส หมื่นลี้ไร้เมฆ
ความอึมครึมอันตรายของป่าวิญญาณสีชาดที่อยู่ท่ามกลางความมืดเมื่อคืนนี้จางหายไปแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างดูปกติเป็นอย่างมาก
ต้นไม้สีดำสูงตระหง่าน บางครั้งก็มีรากไม้ขนาดใหญ่โผล่ออกมา และลำต้นของมันก็เป็นสีดำเช่นกัน
ใบไม้สีแดงพลิ้วไหวตามแรงลม เหมือนกับทิวทัศน์ปลายสารทฤดูที่ดูเหี่ยวแห้งและสะอาดตา
แต่ที่น่าแปลกก็คือ บนพื้นดินกลับไม่มีใบไม้ร่วงหล่นลงมาเลย
สักใบก็ไม่มี
ภายในป่าทั่วไปจะต้องมีกองใบไม้หนา แต่สถานที่แห่งนี้กลับว่างเปล่าและสะอาดสะอ้าน
เมื่อเห็นแค่นี้แล้วก็ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“ไปกันเถอะ!”
ซั่งกวนจิ้งพูดจบก็ยกเท้าเดินเข้าไปด้านใน
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตาไปมองใบไม้สีแดงที่พลิ้วไหวเหล่านั้น ก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อย และเดินตามเข้าไป
ซั่งกวนจิ้งเดินอยู่ด้านหน้าเป็นผู้นำทาง หลังจากนั้นตามด้วยฉู่หลิวเยว่ และหรงซิวที่เป็นคนปิดท้าย
พื้นดินสีน้ำตาลแดงอ่อนนุ่มเป็นอย่างมาก
ขณะที่เหยียบลงไปนั้น โดยทั่วไปแล้วมันจะไม่ส่งเสียงอันใดออกมา
แต่ภายในป่าแห่งนี้เงียบมาก นอกจากเสียงลมที่กระทบกับใบไม้แล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
พวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันชัดเจน
“ภายในป่าวิญญาณสีชาด ไม่สามารถโคจรพลังปราณดั้งเดิมได้ และไม่สามารถเดินทางทางอากาศได้ ทำได้เพียงเดินไปทีละก้าวเช่นนี้”
ซั่งกวนจิ้งเดินไปพลาง และพูดข้อควรระวังเล็กน้อยอย่างอดทน
“แม้ว่าจะช้าหน่อย แต่ก็ค่อนข้างปลอดภัย หากต้องการจะเดินทางผ่านป่าวิญญาณสีชาดต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม โดยพื้นฐานแล้วพวกเราจะสามารถออกจากป่าแห่งนี้ก่อนที่มันจะปล่อยพิษออกมาอีกครั้ง”
ฉู่หลิวเยว่ที่ตามอยู่ด้านหลังตอบรับหนึ่งเสียง และถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า
“องค์ไท่จู่ ก่อนหน้านี้ที่ท่านเคยมาสุสานสังหารเทพ เหตุใด… ไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงมาก่อนเลยล่ะ?”
ประเด็นสำคัญเลยก็คือเหมือนว่าเขาจะรู้จักที่แห่งนี้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้เขาเคยมาทำอันใดที่นี่กันแน่?
องค์ปฐมกษัตริย์เงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้งว่า
“ความจริงแล้วก็ใช่ว่าจะพูดถึงไม่ได้ เพียงแต่ว่าครั้งที่แล้วที่ข้ามาที่นี่ มีความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไร ดังนั้นจึงไม่อยากพูดให้เจ้าฟัง”
ความทรงจำที่ไม่มีความสุขเหล่านั้น ไม่มีใครที่จะยินดีจดจำมันหรือว่าพูดมันขึ้นมาเอง
หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะฉู่หลิวเยว่ที่ถูกใครบางคนบังคับให้มาที่นี่ เขาก็ไม่มีทางพูดเรื่องนี้ขึ้นอย่างเด็ดขาด
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เหมือนว่านางจะไม่เคยเห็นองค์ปฐมกษัตริย์มีท่าทางเช่นนี้มาก่อน
น่าจะเป็นเพราะ… เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ทำให้เขายากจะปล่อยวาง
“องค์ไท่จู่ หากท่านไม่อยากพูด ความจริงแล้ว…”
ซั่งกวนจิ้งโบกมือขึ้นแล้วหัวเราะอย่างกะทันหัน
“ไม่มีอันใดหรอก เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งหลายปี…”
เขาชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า
“ในปีนั้น ก่อนที่ข้าจะเดินทางไปยังบุพกาลชายแดนเหนือ สถานที่สุดท้ายที่ข้าอาศัยอยู่ก็คือสุสานสังหารเทพ”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกใจเล็กน้อย
นั่นก็หมายความว่า ในปีนั้นองค์ปฐมกษัตริย์เดินทางจากที่นี่ไปบุพกาลชายแดนเหนือหรือ?
สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่อันตรายจนขึ้นชื่อของอาณาจักรเสิ่นซวี่
แล้วเหตุใดเขาถึง…
“ในปีนั้นตอนที่ข้ามาถึงอาณาจักรเสิ่นซวี่ ข้าไม่มีสำนักไม่มีพรรค แต่ก็ยังทำตัวกำเริบเสิบสาน หลังจากท้าประลองช่างหลอมอาวุธระดับปรมาจารย์ทั้งเจ็ดแล้ว ก็ทำให้ข้าได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยมาขอติดตาม และยังไปขัดแข้งขัดขาคนอีกหลายคน”
“เนื่องจากข้าสถาปนาเทียนลิ่งแล้ว ดังนั้นจึงขี้เกียจจะตั้งสำนักขึ้นที่นี่อีก และอยากจะเดินทางด้วยตัวคนเดียว ข้าปฏิเสธการขอติดตามของทุกคน เพียงแต่ระหว่างนั้นข้าได้พบกับสหายหนึ่งคน ซึ่งพวกเราคุยกันถูกคออย่างมาก”
“เขาไม่ใช่ช่างหลอมอาวุธ เพียงแต่เป็นจอมยุทธ์ธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งคุณสมบัติก็ทั่วไป เขาอยู่ในระดับผู้แข็งแกร่งขั้นสูงมาหลายปี ก็ยังไม่สามารถทะลวงด่านขึ้นไปได้ แต่เพราะเขาเป็นคนเปิดกว้างอย่างมาก ข้าจึงรู้สึกชื่นชมเขา ได้ยินว่าเขาเป็นคนนอกพรมแดนเสิ่นซวี่ เดินทางมาที่นี่เพียงคนเดียวเพื่อท่องยุทธจักร ด้วยเพราะมีนิสัยและความเป็นมาคล้ายกัน พวกเราจึงสนิทกันในที่สุด”
“ต่อมาพวกเราก็ได้ยินมาว่าในสุสานสังหารเทพมีของวิเศษที่สามารถทำให้ทะลวงด่านเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาจึงกระตือรือร้นที่อยากจะลอง ข้าได้ยินมาว่าที่แห่งนี้อันตรายเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจไปกับเขาด้วย หากสามารถช่วยให้เขาทะลวงด่านผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ก็สามารถรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกับเขาได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถคาดเดาอันใดได้บางอย่าง
และองค์ปฐมกษัตริย์ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
“น่าเสียดายที่ข้าปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงสหายรัก แต่เขากลับ… ใช้ประโยชน์จากข้าเพียงเท่านั้น หลังจากที่พวกเรามาถึงที่นี่ หลังจากผ่านอุปสรรค ความยากลำบากมามากมาย ในที่สุดเขาก็สามารถหาของสิ่งนั้นจนพบ แต่แล้ว…”
พรึ่บ!
ทันใดนั้นก็มีเสียงลมพัดดังขึ้น!
ภายในป่าวิญญาณสีชาดมีเสียงครวญคราญดังขึ้นมาจากในระยะไกล!
……….