ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1633 เจ้านับว่าเป็นสิ่งใดกัน
ตอนที่ 1633 เจ้านับว่าเป็นสิ่งใดกัน
……….
ความหนาวเย็นพวยพุ่งขึ้นมา ทำให้หนานอวี่สิงสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย
ความสนใจของหนานอีอีมุ่งเน้นไปที่คำบางคำเท่านั้น
ภรรยา?
เขาแต่งงานแล้วหรือ?
หัวใจของหนานอีอีเย็นยะเยือกไปครึ่งหนึ่ง ราวกับถูกน้ำเย็นสาด
“หรงซิว”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงกระจ่างใสจากแม่นางคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
พี่น้องหนานอวี่สิงและหนานอีอีมองไปทางชายหนุ่มที่พูดจาไม่ไว้ไมตรีกับเขาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เงยหน้ามองไปด้านหน้า
ทันใดนั้นเองน้ำแข็งในแววตาของเขาก็หลอมละลายไปในทันที
ซึ่งแทนที่ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนที่ยากจะปกปิด
ริมฝีปากบางของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหงส์ที่ล้ำลึกกลับทอประกายแสง ลมปราณรอบกายของเขา เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดแทบจะในทันที
“เยว่เออร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ?”
ขณะที่เขาพูด เขาก็เดินผ่านแหวกกลางสองพี่น้องนั้นออกมา
หนานอีอีหันศีรษะมองไปทางที่เขากำลังจะเดินไปด้วยความเหม่อลอย
บริเวณไม่ไกลกัน ด้านหลังของก้อนหินสองสามก้อน มีแม่นางคนหนึ่งกำลังยืนอยู่
แม่นางคนนั้นสวมกระโปรงสีแดง อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด
ผิวขาวเนียนละเอียด ยิ่งกว่าหิมะและน้ำค้างแข็ง
คิ้วสีเข้มเหมือนกับภูเขา ดวงตาเปล่งประกายเหมือนมีดวงดาวอยู่ด้านใน
นางสวมเพียงแค่กระโปรงสีแดงที่ดูเรียบง่าย ผมสีดำยาวผูกมัดรวบอย่างลวกๆ บนร่างกายไม่มีเครื่องประดับอีกใดๆ แต่แค่นางยืนอยู่ที่แห่งนั้นก็ชนะคนทั่วทั้งใต้หล้า
ริมฝีปากบางของนางยังประดับด้วยรอยยิ้ม และทั่วทั้งร่างกายก็ยังปกคลุมด้วยรัศมีที่ดูสูงส่งเหนือธรรมดาไร้ผู้เทียบเทียม เผยให้เห็นความสูงศักดิ์ที่แฝงอยู่ในกระดูก
ท่ามกลางหมอกขาวยังมองเห็นความงามล่มเมือง
ทันทีที่สามารถมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน หนานอีอีก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็บังเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมาในใจ
นางเคยภูมิใจกับความงามของตนเองมาโดยตลอด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแม่นางคนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้ว่าความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างใด
ต่อให้นางไม่อยากจะยอมรับ แต่นางก็รู้ดีว่ารูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายนั้นดูดีกว่านางมาก
หนานอีอีก้มลงมองสำรวจตนเองอย่างอดไม่ได้
ในตอนนั้นเองนางถึงได้รู้สึกว่าการแต่งกายของนางนั้นเลอะเทอะเป็นอย่างมาก
แม้กระทั่งตอนก้มหน้า ก็ยังได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งจากเครื่องหัวของนาง นี่จึงทำให้นางรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา
…แม้ว่านางจะแต่งตัวประณีต แต่ก็ยังไม่น่าดึงดูดเท่ากับอีกฝ่ายที่ไม่ได้สวมใส่อันใดเลย เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
หรงซิวเดินเข้าไปหานางแล้วทัดผมไว้ที่หลังหูให้นาง การกระทำดูเชี่ยวชาญและเป็นธรรมชาติอย่างมาก
เขามองไปยังคนตรงหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหู
“พักผ่อนเป็นอย่างใดบ้าง? ข้าได้รบกวนเจ้าหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เปล่า ความจริงแล้วข้าเพิ่งตื่นตอนที่เจ้ากำลังหลอมอาวุธ”
คิ้วของหรงซิวขยับเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบสายตาไปมองซั่งกวนจิ้งที่อยู่ด้านหลัง
ซั่งกวนจิ้งยักไหล่อย่างจนปัญญา
“การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้มีม่านพลังก็ขวางกั้นเอาไว้ไม่อยู่”
เดิมทีก่อนที่หรงซิวจะมาหลอมอาวุธ เขาเป็นห่วงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของนาง ดังนั้นจึงวางม่านพลังเอาไว้โดยเฉพาะ
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์เลย
ในตอนแรกนางก็มีความอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะสังเกตไม่ได้
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในแววตายังมีรอยยิ้มอยู่สามส่วน เขาก็หยิบลูกบอลแสงออกมาแล้วส่งให้นาง
“ดูสิ”
ฉู่หลิวเยว่รับของสิ่งนั้นมา ในแววตามีความประหลาดใจ
นางรู้ว่าหรงซิวมีพรสวรรค์ด้านการหลอมอาวุธสูงมาก
และก่อนหน้านี้ใช่ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไม่เคยประลองฝีมือกันในด้านนี้มาก่อนเลย
แต่โดยพื้นฐานแล้วนางจะเป็นคนแพ้
อีกทั้งนางยังไม่เคยหยั่งเชิงฝีมือที่แท้จริงของหรงซิวมาก่อนเลย
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหรงซิวหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชาด้วยตนเอง
คนอื่นอาจจะมองไม่ชัดเจน แต่ตอนนี้ของสิ่งนั้นอยู่ในมือของนาง นางจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
มันคือเสื้อเกราะตัวหนึ่ง
ทั้งตัวเป็นสีทองอ่อน เพียงแต่ผิวสัมผัสดูแล้วเหมือนกับหยกเสียมากกว่า เมื่อมาอยู่ในมือก็รู้สึกว่าน้ำหนักนั้นเบามาก
“เจ้าสามารถหยดเลือดทำพันธสัญญากับมันได้เลย”
หรงซิวพูด
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า จากนั้นก็หยิบมีดสองคมขึ้นมากรีดที่กลางฝ่ามือของตนเอง
หยาดเลือดไหลทะลักออกมา! และหยดลงบนเกราะ!
เกราะนั้นเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นไม่นานเลือดเหล่านั้นก็ถูกดูดกลืนไปจนหมดสิ้น และหายไปจากพื้นผิวอย่างไร้ร่องรอย
ลายเส้นสีเลือดสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาด้านใน
ทันใดนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ว่ามีสายสัมพันธ์ระหว่างนางกับชุดเกราะเพิ่มขึ้นหนึ่งสาย
หลังจากลำแสงสว่างวาบผ่านไป เสื้อเกราะนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
บาดแผลที่กลางฝ่ามือก็สมานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลงเหลือเพียงรอยสะเก็ดสีชมพูจางๆ เท่านั้น
ลำแสงสีทองจางๆ ปกคลุมที่ร่างของฉู่หลิวเยว่หนึ่งชั้น จากนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่นางรู้ดีว่าเสื้อเกราะตัวนั้นยอมรับนางเป็นเจ้านายแล้ว
ในตอนนั้นเองเหมือนว่านางจะคิดอันใดขึ้นมาได้ จึงเบิกตากว้างเล็กน้อยแล้วหันไปมองหรงซิว
“นี่มัน…”
“ชอบหรือไม่?”
หรงซิวถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
คำพูดของฉู่หลิวเยว่ก็ติดค้างอยู่ที่ลำคออย่างกะทันหัน
หลังจากผ่านไปสักพักนางก็พยักหน้าอย่างจริงจัง
“สิ่งที่เจ้าให้ข้า ข้าล้วนชอบทั้งนั้น”
…
ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกันราวกับไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่ ภาพเหตุการณ์นั้นมันบาดตาหนานอีอีเป็นอย่างมาก
นางสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้าอย่างอดไม่ได้
“เจ้ามอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชาที่เจ้าหลอมมันอย่างยากลำบากให้กับนางอย่างง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ?”
ความเย็นยะเยือกฉายชัดในแววตาของหรงซิวทันที
ฉู่หลิวเยว่กลับกะพริบตาปริบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองอีกฝ่ายโดยตรง
ความจริงแล้ว นางเห็นตั้งแต่สองพี่น้องยืนขวางทางหรงซิวแล้ว และได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าแม่นางคนนี้ชอบหรงซิวเข้าแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีท่าทีพัวพันไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้
“แล้วก็เจ้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาจะต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดถึงจะสามารถหลอมสิ่งนี้ออกมาได้? เจ้ายังจะรับมันอย่างหน้าตาเฉยได้เช่นนี้หรือ?”
เหมือนกับนางสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาของฉู่หลิวเยว่ หนานอีอีจึงระเบิดอารมณ์ใส่ฉู่หลิวเยว่ไปในทันที
เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งราชา!
จะมอบให้กับผู้อื่นอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างใด!
เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกและโกรธแค้นของหนานอีอี ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกอยากจะขำออกมา
นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและกำลังจะพูดบางอย่างขึ้น แต่หรงซิวก็หันกายกลับมา
“ประการแรก นี่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าหลอมด้วยตนเอง ข้าต้องการจะมอบให้ใครมันก็เป็นเรื่องของข้า มันใช่เรื่องของเจ้าเสียที่ไหน?”
หนานอีอีตัวสั่นสะท้านไปทันทีเมื่อเห็นแววตาอันเย็นชาของเขา และนางกำลังจะโต้เถียงขึ้นเสียงเบา
“แต่…”
“ประการที่สอง นี่เป็นของขวัญที่ข้าตั้งใจมอบให้กับภรรยาของข้าโดยเฉพาะ ถ้าไม่ให้นาง แล้วจะต้องให้เจ้าหรือ?”
หรงซิวพูดออกมาอย่างช้าๆ ช้าๆ เหมือนใบหน้าปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง
เมื่อถูกสายตาที่เต็มไปด้วยแรงคุกคามจ้องมอง ในที่สุดหนานอีอีก็สัมผัสได้ถึงอันตรายแล้ว นางอ้าปากขึ้น แต่กลับพูดอันใดไม่ออกสักคำ
หนานอวี่สิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกโมโหและปวดใจ
เขาสาวเท้าไปด้านหน้า พร้อมส่งสัญญาณเตือนนาง จากนั้นก็ดึงนางมายืนที่ด้านหลัง
ปกติแล้วน้องสาวของเขามักจะทำตัวกำเริบเสิบสาน อีกทั้งยังพูดจาเอาแต่ใจ แต่คำพูดเมื่อครู่นี้ แม้กระทั่ง เขาที่เป็นคนฟังก็ยังรู้สึกขายหน้า
แต่สุดท้ายแล้วนี่ก็คือน้องสาวของเขา
เมื่ออยู่นอกบ้านจะให้ผู้อื่นมารังแกตามใจชอบได้อย่างใด?
หนานอวี่สิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า
“น้องสาวของข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้า…”
หรงซิวหมดความอดทนกับพี่น้องคู่นี้แล้ว เขาจึงกล่าวตัดบทสนทนา และหันมองหนานอีอีด้วยสายตาเย็นชา
“ประการที่สาม เจ้านับว่าเป็นสิ่งใดกันถึงกล้ามากล่าวหาภรรยาของข้าเช่นนี้?”
……….