ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1628 ได้ยิน
ตอนที่ 1628 ได้ยิน
……….
น้ำเสียงของแม่นางคนนี้ยังเยาว์วัยมาก แต่แฝงด้วยความเย่อหยิ่งจองหองที่ไม่ปิดบัง
ราวกับว่าไม่เห็นป่าวิญญาณสีชาดแห่งนี้อยู่ในสายตาเลย
หรงซิวเบนสายตาไปตามทิศทางของต้นเสียงเล็กน้อย
พวกเขาอยู่ห่างกันประมาณร้อยจั้ง และดูเหมือนว่าคนกลุ่มนั้นเพิ่งจะมาถึงที่นี่
ผู้ที่พูดนั้นเป็นแม่นางที่สวมกระโปรงสีเหลืองห่าน อายุประมาณยี่สิบต้นๆ รูปร่างเล็ก ผมตรงยาวของนางยาวถึงบริเวณน่อง ขณะที่ลมพัดผมเหล่านั้นก็ปลิวสลวย ดูแล้วเหมือนกับเทพเซียน
แน่นอนว่าจะต้องเมินเฉยกับคำพูดของนางเสียก่อน นางมองป่าวิญญาณสีชาดด้วยสายตาเหยียดหยามอยู่หลายส่วน
ด้านข้างของนางนั้นมีชายรูปร่างกำยำคนหนึ่ง ดูแล้วอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด คิ้วดาบ ดวงตาเปล่งประกายดุจดวงดาว ใบหน้าหล่อเหลา
เขาสูงกว่าแม่นางคนนั้นมาก เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ทำให้ดูแตกต่างกันอย่างมาก
ด้านหลังของพวกเขา กลับมีชายชราอีกสองท่านที่กำลังยืนอยู่ คนหนึ่งสวมชุดสีขาวอีกคนสวมชุดสีดำ ผมขาวเป็นสีดอกเลา บนใบหน้ามีร่องรอยความชรา
แต่อย่างใดก็ตามลมปราณที่อยู่บนร่างกายของพวกเขา กลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่ควรดูเบาพวกเขาเลย
“อาณาจักรเสิ่นซวี่มีสถานที่บำเพ็ญเพียรมากมาย เหตุใดท่านพ่อถึงต้องเลือกที่นี่นะ? ป่าแห่งนี้ดูน่าขยะแขยงเป็นอย่างมาก”
แม่นางคนนั้นยื่นมือเรียวขาวออกมาเพื่อปิดปากและจมูกของตนเอง คิ้วเรียวบางดั่งก้านหลิวขมวดขึ้นเล็กน้อย
พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อมาที่สถานที่บ้าๆ นี่
เดิมทีแล้วนางก็ไม่ได้ตั้งความหวังอันใดมาก แต่ในตอนที่มาถึงก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ทำให้คนรู้สึกรำคาญ… มากกว่าที่จินตนาการเอาไว้
ผู้อาวุโสที่สวมชุดคลุมสีขาวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“คุณหนูรอง วันนี้พวกเรามาสายไปเสียหน่อย ขณะนี้ป่าวิญญาณสีชาดเต็มไปด้วยอากาศพิษ หากพวกเรามาถึงในตอนกลางวันแล้วละก็ ทิวทัศน์ของป่าวิญญาณสีชาดก็ไม่เลวเลยทีเดียว แล้วอีกอย่างที่ประมุขให้ท่านมา ก็เป็นความหวังดี…”
“แต่ข้าไม่อยากมานี่นา!”
แม่นางคนนั้นพูดแทรกผู้อาวุโสชุดขาวขึ้นมา จากนั้นก็ยกแขนทั้งสองข้างกอดอก
“ไม่ใช่เพราะว่าของสิ่งนั้นอยู่ที่นี่หรือ? แต่ข้ากับพี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตนเองก็ได้! ที่ตระกูลมีคนว่างงานตั้งมากมาย ส่งคนมาไม่กี่คนก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
เดิมทีชีวิตที่อยู่ในบ้านของนางก็ปกติสุขดีอยู่แล้ว แต่ใครจะรู้เล่าว่าท่านพ่อจะส่งนางมาที่นี่ ทั้งยังไม่มีโอกาสปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย!
รอยยิ้มของผู้อาวุโสชุดขาวนั้นงดงามมาก
ผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ด้านข้างกลับมีใบหน้าเย็นชา เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาว่า
“คุณหนูรอง ของชิ้นนั้นสำคัญต่อท่านเป็นอย่างมาก ประมุขบอกว่า หวังว่าท่านจะหาเจอและนำมันกลับมาด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกคนก็จะให้ความยอมรับแก่ท่าน”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเคร่งขรึมกว่าผู้อาวุโสชุดขาวที่พูดขึ้นในตอนแรก เมื่อแม่นางคนนี้ได้ยินดังนั้น ก็ต้องลดแขนลงในทันที แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเช่นเดิม ดังนั้นนางจึงพูดขึ้นเสียงด้วยความโมโหว่า
“ข้าเป็นคุณหนูรองของตระกูล ต่อให้ข้าไม่ได้มาด้วยตนเอง แล้วใครจะกล้าว่าข้าได้?”
ผู้อาวุโสชุดดำขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
ตอนนั้นเองในที่สุดชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำก็ถอนหายใจออกมา
“อีอี คำพูดเช่นนี้ เจ้าห้ามพูดซี้ซั้ว”
เสียงของเขาทุ้มลึกเป็นพิเศษ ขณะที่กระทบกับโสตประสาท ลักษณะเหมือนกับเสียงกลองดัง
ภายในน้ำเสียงแฝงด้วยแรงคุกคามและอำนาจ
แม่นางที่ถูกเรียกว่า “อีอี” ก็สามารถสงบสติอารมณ์ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
“…เข้าใจแล้ว!”
นางกล้าทำนิสัยเสียต่อหน้าทุกคน แต่กลับมีเพียงคนเดียวที่นางหวาดกลัว นั่นก็คือ พี่ใหญ่
นี่เป็นเหตุผลว่า เหตุใดท่านพ่อจึงให้เขาร่วมเดินทางมาที่นี่ด้วย
หากมีเขาอยู่ นางจะต้องระงับอารมณ์ของตนเองได้อย่างแน่นอน
“เชื่อฟังคำสั่งนะ ทำตัวดีๆ กลับไปพี่ใหญ่จะให้รางวัล…”
คำพูดนั้นยังพูดไม่ทันจบ สีหน้าของเขาก็แข็งค้างไปทันที คำพูดก็หยุดชะงัก
เมื่อเห็นว่าเขามีการตอบสนองที่แปลกประหลาด แม่นางคนนั้นจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า
“พี่ใหญ่ มีอันใดหรือ?”
นางถามไปพลาง จากนั้นก็มองตามสายตาของพี่ใหญ่
แต่เมื่อเห็นสิ่งนั้นก็ทำให้นางตกตะลึงไปในทันที
ในบริเวณไม่ไกลกัน มีชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวทั้งร่างยืนเอามือไพล่หลังอยู่
แสงจันทร์ดุจสายน้ำ เมื่อตกกระทบร่างของเขาทำให้เขาดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนแล้ว รอบข้างแทบจะถูกเงามืดกลืนกินไปทั้งหมด แต่ความสง่างามและหล่อเหลาของชายผู้นี้กลับไม่สามารถปกปิดได้
แม้จะไม่เห็นองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของชายผู้นั้นอย่างชัดเจน แต่เพียงมองไปยังบรรยากาศรอบกายของเขา แต่ความงดงามของเขาก็เหมือนชนะทุกสิ่งอย่างไปแล้ว
หนานอีอีเบิกดวงตากว้างขึ้น นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกอันใดบางอย่างกระแทกอย่างรุนแรง
ชายคนนั้นเหลือบสายตามาทางนี้ด้วยสายตาราบเรียบ จากนั้นก็ถอนสายตาออก ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
หนานอีอีเปิดปากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในชั่วขณะหนึ่งไม่สามารถพูดอันใดออกไปได้
“ท่านผู้นั้นโปรดช้าก่อน!”
นางไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่หนานอวี่สิงที่อยู่ด้านข้างกลับพูดขึ้น
หรงซิวชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันไปมองคนเหล่านั้นอีกครั้ง
“มีอันใดหรือ?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับหินหยก และแฝงด้วยความเมินเฉยเยือกเย็นอยู่สามส่วน
เห็นได้ชัดว่า เขาไม่สนใจจะต่อบทสนทนากับอีกฝ่าย ไม่ต้องการจะข้องแวะกับพวกเขา
หมัดที่ไพล่อยู่ด้านหลังของหนานอวี่สิงกำแน่นขึ้น
“ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นี้ท่านได้ยินอันใดไปบ้าง?”
สีหน้าของหรงซิวราบเรียบยิ่งกว่าเดิม
“ได้ยินทั้งหมด”
เดิมทีทั้งสองฝ่ายก็อยู่ไม่ห่างไกลกัน เขาที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ จะไม่ได้ยินอันใดได้อย่างใด?
ใบหน้าของหนานอวี่สิงเปลี่ยนสีเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทางแข็งกระด้างเช่นนี้
แต่เมื่อคิดไปแล้ว ความจริงแล้วทุกคนก็มีฝีมือสูงส่งอยู่พอควร ดังนั้นหากพูดออกมาตรงตามเลยจะเหมาะสมกว่า
เขาประสานมือทั้งสองขึ้น
“สิ่งที่น้องสาวของข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงแค่คำพูดเลื่อนลอยเท่านั้น หวังว่าท่าน…”
“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้”
หรงซิวไม่รอให้เขาพูดจบ แต่พูดแทรกเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขาไม่มีความสนใจฐานะและที่มาของคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายจะไปค้นหาอันใดในสุสานสังหารเทพนั้น เขาก็ไม่ได้อยากรู้
“ข้ายังมีธุระ ขอตัวลา”
เขายังต้องรีบไปหลอมชุดเกราะให้กับเยว่เออร์ ดังนั้นจึงไม่อยากเสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีให้กับคนเหล่านี้
“เจ้า…”
หนานอวี่สิงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ ใบหน้าของเขาจึงอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
เขาเกิดมามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่เคยมีใครไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้มาก่อนเลย!
“เหอะ กำเริบเสิบสานยิ่งนัก”
เขาหัวเราะขึ้นมาเสียงเย็น
“คุณชายใหญ่ ท่านจะให้…”
ผู้อาวุโสชุดสีขาวถามหยั่งเชิงขึ้นมา
แม้ว่าเมื่อครู่นี้พวกเขายังไม่ได้พูดประเด็นหลักออกไป แต่ผู้ชายคนนั้นก็คงได้ยินไปไม่น้อยแล้ว
กลางดึกเช่นนี้กลับมีคนปรากฏตัวอยู่ที่ด้านนอกของป่าวิญญาณสีชาด เรื่องนี้มันน่าแปลกอย่างยิ่ง
ไม่ว่าอย่างใดก็ควรสอบถามให้ดี!
จนกระทั่งเงาร่างนั้นหายไปจากครรลองสายตา หนานอีอีถึงได้ถอนสายตาออกมาด้วยความเสียดาย
เมื่อนางได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสชุดขาว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสไป๋ถง ท่านหมายความว่าอย่างใด? คนผู้นั้นก็แค่ผ่านมาเท่านั้น อีกทั้งเมื่อครู่นี้ข้าก็ยังไม่ได้พูดอันใดที่เป็นส่วนสำคัญออกไป ท่านจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปด้วยเหตุใด?”
ผู้อาวุโสไป๋ถงรู้สึกสับสนอย่างมากที่โดนตำหนิอย่างกะทันหัน
เหตุใดคุณหนูรองก็โมโหขึ้นมาเช่นนี้ล่ะ?
“นี่มัน… แน่นอนว่าภารกิจของพวกเรานั้นสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่สามารถให้บุคคลภายนอกรู้เรื่องนี้ได้! ห้าม…”
“เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่สามารถสัมผัสถึงการมีตัวตนของเขาเอง แล้วจะไปโทษผู้อื่นได้อย่างใด?”
หนานอีอีขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า
“สรุปแล้วพวกเราจะไปหาเรื่องอีกฝ่ายไม่ได้โดยเด็ดขาด!”
……….