ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1603 ด้วยตนเอง
ตอนที่ 1603 ด้วยตนเอง
……….
จัตุรัสด้านนอกตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงมีเพียงความเงียบงัน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ราตรีกำลังคืบคลานเข้ามา
แสงไฟภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงจุดสว่างขึ้นเอง แสงไฟส่องสว่างเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ทั่วทั้งท้องพระโรงสว่างเจิดจ้า
แสงที่ทอดมาจากเงาหน้าต่าง ทำให้เงาของฉู่หลิวเยว่ลากยาวเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย
เหนือม่านราตรีสีดำ เพียงมีดวงดาวไม่กี่ดวงที่ส่องประกายอย่างสงบ
จากการคำนวณอย่างคร่าวๆ แล้ว ถวนจื่อเข้าไปในนั้นเป็นเวลาสามชั่วยามแล้ว แต่จนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่ออกมา
ในตอนนี้ฉู่หลิวเยว่เพิ่งได้เข้าใจคำพูดของผู้อาวุโสอี้ซัง
ครั้งนี้ที่ถวนจื่อเข้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษนั้น เหมือนจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเลย
แต่ว่าเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ถวนจื่อมีสายเลือดบริสุทธิ์ อีกครั้งได้หลอมรวมจิตวิญญาณแห่งบรรพบุรุษแล้ว ในสถานการณ์ที่พิเศษเช่นนี้ หากต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ก็ถือว่าอยู่ในเรื่องที่นางคาดการณ์เอาไว้แล้ว
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีบางคนกำลังจ้องมองนางอยู่ และสายตานั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
แต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงแรกก็ถือว่าน้อยลงไปมากแล้ว
ความจริงแล้วมันเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น
ซึ่งฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก
นางเป็นคนที่ไม่ระรานใคร แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกเด็ดขาด
ขอเพียงแค่ไม่เข้ามาก่อความวุ่นวายกับนาง นางก็ยินดีที่จะอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างสันติ
ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ถวนจื่อก็รับตำแหน่งนายน้อย หลังจากที่ถวนจื่อเติบใหญ่แล้ว ถวนจื่อก็มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขได้โดยตรง
ด้วยสถานะเช่นนี้ แม้กระทั่งผู้อาวุโสทั้งห้าก็เกรงว่าจะด้อยกว่าหนึ่งขั้น
อีกทั้งในตอนนี้ถวนจื่อเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาของนาง ดังนั้นเมื่อน้ำขึ้นเรือย่อมสูง
นึกย้อนไปเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ตอนที่พวกนางต้องการจะมาที่นี่ เหล่าอาจารย์ทุกท่านล้วนเป็นกังวลสารพัด
ในตอนนั้นใครจะคาดคิดเล่าว่าสถานการณ์จะแปรเปลี่ยนไปเช่นนี้?
จริงสิ
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกขึ้นในทันที
นางกับถวนจื่อเข้ามาที่นี่นานขนาดนี้แล้ว องค์ปฐมกษัตริย์ก็ยังรออยู่ด้านนอกตลอด
เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงแห่งนี้ เขาน่าจะยังไม่รู้ และตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาเป็นกังวลมากขนาดไหนแล้ว…
“ผู้อาวุโสอี้อวี่”
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าไปด้านหน้าสองก้าว แล้วกระซิบพูดเสียงเบา
นางนับว่านางคุ้นเคยกับผู้อาวุโสอี้อวี่ที่สุดแล้ว และนางก็รู้สึกเชื่อใจอีกฝ่ายไม่น้อย ดังนั้นการที่จะขอความช่วยเหลือจากเขาจึงน่าจะเหมาะสมที่สุด
“หื้อ? มีอันใดหรือ?”
เดิมทีผู้อาวุโสอี้อวี่กำลังกอดอกทั้งสองข้างเอาไว้ และกำลังยืนพิงอยู่กับเสา เหมือนกับกำลังครุ่นคิดพิจารณาอันใดบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่เดินมา เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสอี้อวี่ ข้ามีเรื่องบางประการ ไม่ทราบว่าจะสามารถรบกวนท่านได้หรือไม่? ตอนที่ข้ากับถวนจื่อมาที่นี่ ความจริงแล้วองค์ไท่จู่ก็มาด้วย เพียงแต่ว่าตอนที่เข้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง องค์ไท่จู่ยังอยู่ที่ด้านนอกนั้น…”
“เจ้าอยากจะเชิญเขาเข้ามาหรือ?”
ผู้อาวุโสอี้อวี่ลูบปลายคางตนเอง
“เรื่องนี้เกรงว่ามันจะค่อนข้างยาก…”
ที่ซั่งกวนเยว่สามารถเข้ามาได้นั้น สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะถวนจื่อ
แต่สำหรับคนอื่นนั้น เกรงว่าจะไม่สามารถพาเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่โค้งขึ้น
“เพียงแต่ข้าอยากจะให้ท่านช่วยส่งข่าวให้ ขอเพียงให้องค์ไท่จู่ทราบว่าข้ากับถวนจื่อนั้นยังสบายดี”
ความจริงแล้วระหว่างนางกับองค์ปฐมกษัตริย์ก็ยังมีหนทางเชื่อมจิตกันได้
แต่นางรู้เพียงโครงสร้างพอประมาณเท่านั้น ไม่ทราบรายละเอียดและวิธีการ
หากสามารถส่งข่าวออกไปได้ ทำให้องค์ปฐมกษัตริย์ทราบว่าพวกนางที่อยู่ทางนี้สบายดี นางก็จะได้วางใจได้
“ประเด็นสำคัญเลยก็คือ เรื่องของถวนจื่อนั้นไม่รู้ว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อใด ดังนั้น…”
“โอ้ เจ้าหมายถึงเรื่องนี้หรอกหรือ? ง่ายดายอย่างมาก!”
ผู้อาวุโสอี้อวี่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกมีความสุขในทันที
“ข้ายังคิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อันใด! วางใจเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
ขณะที่พูด เขาก็ยกมือขึ้นมา
ลำแสงสว่างวาบ กลางฝ่ามือของเขามีขนนกทองคำชาดปรากฏขึ้นมาหนึ่งก้าน
เขามอบขนนกก้านนั้นให้กับฉู่หลิวเยว่
“เจ้ามีอันใดอยากจะพูดก็ใช้เจ้านี่เขียนลงไปก็ได้แล้ว จริงด้วย ตอนเขียนระมัดระวังการใช้ไฟด้วยนะ”
แต่ว่าฉู่หลิวเยว่ได้ทำพันธสัญญากับถวนจื่อ ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงไม่เป็นปัญหา
ฉู่หลิวเยว่กล่าวขอบคุณ แล้วรับขนนกก้านนั้นมา
ของสิ่งนี้ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับขนนกทองคำบรรพบุรุษ แต่ว่าขนาดกับสีสันนั้นเทียบไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด
น่าจะเป็นขนนกของผู้อาวุโสอี้อวี่เอง
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองกลางฝ่ามือของนางก็มีเปลวเพลิงสีทองคำชาดสายหนึ่งปะทุขึ้น
หลังจากนั้นนางก็ใช้ขนนกอันนั้นเขียนข้อความที่กลางอากาศ
ขณะที่ขนนกเคลื่อนไหว เปลวเพลิงก็ไหลออกมาจากส่วนปลายแหลมของมัน หลังจากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อฉู่หลิวเยว่เขียนเสร็จ ก็ส่งขนนกคืนให้
ผู้อาวุโสอี้อวี่รับไปพร้อมกับรอยยิ้ม เขาสะบัดข้อมือเบาๆ ขนนกก้านนั้นก็ลอยออกไปไกล!
หลังจากนั้นไม่นาน มันก็หายลับไปพร้อมกับราตรีอันมืดดำ
“เขาน่าจะได้รับจดหมายของเจ้าเร็วๆ นี้”
ริมฝีปากแดงของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้น
“ขอบคุณมาก”
…
พระราชวังเมฆาสวรรค์
“ตอนแรกหลังจากที่ท่านประมุขกลับมา ท่านก็เข้าไปในห้องโดยทันที จนกระทั่งพบว่าเกิดเรื่องขึ้น ก็ยังไม่ได้ออกไปที่ไหนมาก่อน”
คนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าตำหนัก
หรงซิวยืนอยู่ตรงหน้าสุด หลังจากผู้อาวุโสอวี๋จิ้งเดินขึ้นมาหนึ่งก้าว จากนั้นก็อธิบายอย่างระมัดระวัง
“หลังจากพบว่าท่านประมุขสลบไสลไป ข้าพยายามทดลองอยู่หลายวิธี แต่ก็ไม่สามารถปลุกท่านประมุขได้สำเร็จ ดังนั้นจึงรีบแจ้งกับผู้อาวุโสทั้งหลาย จากนั้น… ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกก็รีบเดินทางมาที่นี่ และเคลื่อนย้ายท่านประมุขไปที่ตำหนักสักการะเทพ”
ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งพูดขึ้น มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น
ความจริงแล้วในตอนนั้นเขาแจ้งผู้อาวุโสถงชวนก่อนเป็นคนแรก
น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองได้เร็วกว่าคนอื่น และไปถึงที่นั่นได้ก่อนใคร
เขาเสนอให้เคลื่อนย้ายไป๋หลีฉุนไปที่ตำหนักสักการะเทพในทันที ดังนั้นทุกคนจึงไม่กล้าโต้แย้ง และตอบตกลงไปเช่นนั้น
“และหลังจากนั้น ข้าก็ได้เสริมการคุ้มกันให้เข้มมากยิ่งขึ้น การเฝ้าระวังแน่นหนา ไม่กล้าที่จะละเลยเลยแม้แต่น้อย”
ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งก้มหน้าลงต่ำ เต็มไปด้วยความระแวดระวัง
หลังจากได้เผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาไม่กล้าพูดจาไม่เหมาะสมต่อหน้าหรงซิวอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับหรงซิว เขามีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาอยู่เสมอ… นั่นคือเหมือนกับอีกฝ่ายสามารถมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เหมือนกับว่าเขามีความคิดอันใดบางอย่างเพียงเล็กน้อย แต่ก็ถูกเขาอ่านออกจนหมด
ความรู้สึกนี้มันย่ำแย่อย่างมาก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยึดหลักการว่า “พูดน้อยผิดน้อย” นอกจากคำที่จำเป็นต้องพูดจริงๆ เมื่อถึงเวลาอื่นเขาจะพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ
หรงซิวมองไปทางประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างอันตราย
“นอกจากเจ้ากับผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกแล้วยังมีใครอีกบ้างที่เข้ามาที่นี่?”
ดวงตาของผู้อาวุโสอวี๋จิ้งกลอกไปมา
ผู้อาวุโสถงชวนพูดขึ้นว่า
“ทูลฝ่าบาท หลังจากที่ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกพาท่านประมุขออกมาแล้ว ข้าก็ได้เข้าไปตรวจสอบสถานที่นั้นอย่างละเอียด แต่น่าเสียดายที่ไม่พบเบาะแสอันใดเลย”
หรงซิวเหลือบสายตามองเขา
“ผู้อาวุโสถงชวนเข้าไปคนเดียวหรือ?”
ผู้อาวุโสถงชวนลังเลไปชั่วครู่
“ผู้อาวุโสอวี๋จิ้งก็มากับข้าด้วย”
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ล้วนเป็นคนของพวกเขา จะเข้าไปพร้อมกันหรือไม่นั้นก็ไม่สำคัญ
เขากวาดสายตามอง
“ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก ตอนนั้นท่านเห็นอันใดผิดปกติหรือไม่?”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกขมวดคิ้วขึ้นแล้วส่ายหน้า
ตอนนั้นเขาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว แต่…
หรงซิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วสะบัดชายเสื้อขึ้น ก่อนจะเดินไปด้านหน้า
“เช่นนั้นข้าจะเข้าไปดูด้วยตนเอง”
……….