ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1571 โอกาส / ตอนที่ 1572 เจรจา
ตอนที่ 1571 โอกาส / ตอนที่ 1572 เจรจา
…………….
ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงมีบรรยากาศเย็นยะเยือกมากขึ้นกว่าเดิม
สายตาของอี้เจามองฉู่หลิวเยว่ด้วยความเย็นชา เขาโมโหจนหัวเราะออกมา
“พวกมนุษย์มีไหวพริบและเจ้าเล่ห์จริงๆ”
หมื่นปีผ่านมา แต่สันดานล้วนเปลี่ยนยาก!
คำพูดเช่นนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
หากนางไม่ใช้กลอุบาย นางคงต้องถูกผู้อื่นบดขยี้ไปนานแล้ว และนางจะมายืนพูดอยู่ตรงนี้ได้อย่างใด?
ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายชมนางว่านางฉลาด นางจึงน้อมรับคำชมไว้
ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“ท่านชมเกินไปแล้ว ความจริงแล้วที่ข้าทำเช่นนี้ก็เผื่อจะทำให้ถวนจื่ออยู่กับข้าต่อไปได้ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้สำหรับเผ่าหงส์ทองคำของพวกท่านนั้นเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก ดังนั้นขอเพียงท่านรับปากไม่ยกเลิกพันธสัญญาของพวกเราอีก อีกทั้งให้ถวนจื่อกลับเข้าตระกูล เช่นนั้นไม่ว่าเงื่อนไขใดที่ท่านกำหนดขึ้น เขาก็จะบุกป่าฝ่าดงทำให้อย่างไม่ลังเล”
ฉู่หลิวเยว่พูดประโยคนี้ด้วยความจริงใจ
เดิมทีนี่ก็เป็นจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ที่นางต้องการเดินทางมาที่นี่
อี้เจาจ้องหน้านางอยู่สักพักก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น
“หากเจ้าคิดจะทำเพื่อมันจริงๆ เช่นนั้นเจ้าควรจะยกเลิกพันธสัญญาด้วยตนเอง”
“มันคือหงส์ทองคำ อสูรศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่สูงศักดิ์และทรงพลัง! เจ้าก็รู้ดีว่าเจ้าเป็นตัวถ่วงที่ใหญ่ที่สุดของมัน!”
การแสดงฝีมือของสัตว์อสูรในพันธสัญญานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้านายของตนเอง
หากเจ้านายเป็นเพียงแค่ขยะไร้ค่า เช่นนั้นต่อให้มันเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลความสามารถในการต่อสู้ของมันก็จะถูกจำกัดเอาไว้
“เผ่าหงส์ทองคำถามว่าสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ถึงพันปี หากสายเลือดนั้นบริสุทธิ์มากเพียงพอ มันก็ยิ่งประเมินค่าไม่ได้ แต่มนุษย์นั้น… ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูง ก็มีชีวิตยืนยาวได้แค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น เมื่อถึงตอนที่เจ้าตาย หรือว่าเจ้าต้องการจะให้มันร่วมตายตกไปพร้อมกับเจ้าด้วยหรือ?”
อี้เจามองไปทางฉู่หลิวเยว่สายตาประชดประชันอย่างไม่ปิดบัง
“ที่บอกว่าทำเพื่อมัน ความจริงแล้ว… เจ้าก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น!”
คำพูดแต่ละคำหนักแน่นดุจศิลา! แทบจะกดทับจนทำให้คนหายใจไม่ออก!
เมื่อได้ยินดังนั้นรอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ จางหายไป
นางหรี่ตามองเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมถามว่า
“ท่านแน่ใจได้อย่างใดว่าข้าจะเป็นตัวถ่วงของถวนจื่อ?”
ใบหน้างดงามของแม่นางเหมือนถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งหนึ่งชั้น ความหนาวเย็นที่แผ่กระจาย ทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน
“เหมือนว่าท่านจะยังไม่ค่อยรู้จักข้าดีนะ ถ้าเช่นนั้นข้าขอแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ”
“ข้า… ซั่งกวนเยว่ ลูกศิษย์สายตรงท่านเจ้าสำนักหลิงเซียว หนานซู่ไหว เป็นทายาทของซั่งกวนจิ้ง ปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธ และเป็นพระชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์! และข้ารู้ว่าฐานะเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกท่านเลย แต่ท่านไม่มีทางไม่รู้ว่า ภูมิหลังของตระกูลข้าเป็นอย่างใด”
แววตาของฉู่หลิวเยว่มีความเย็นชาและเย่อหยิ่งแฝงเข้ามาเล็กน้อย
ความหยิ่งทรนงฝังอยู่ในกระดูกซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของนางด้วย!
“ข้าเพิ่งทะลวงด่านผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงมาได้ไม่นาน ในขณะเดียวกันข้าก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชา ปรมาจารย์โอสถ จริงสิ นอกจากนี้แล้วข้ายังเป็นช่างหลอมอาวุธ จิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่ชื่อเซียว ข้าก็เป็นคนขัดเกลามันด้วยตนเอง”
น้ำเสียงของนางราบเรียบ กระจ่างใสราวกับก้อนหยกกระทบกัน
เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน
“และที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ข้าเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี”
“ท่านคิดว่าข้าจะอยู่ในระดับนี้ตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?”
อี้เจาสะอึกไปในทันที เขาไม่รู้ว่าจะต้องโต้เถียงอย่างใด
ต่อให้เขาจะดูถูกเผ่ามนุษย์ แต่เขาก็รู้ว่าที่ซั่งกวนเยว่พูดออกมาเช่นนี้ นางจะต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่มวลมนุษย์แน่นอน!
หลังจากเงียบไปสักพักในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ดี! ในเมื่อเจ้ามั่นใจในตัวเองเช่นนี้ เช่นนั้น…ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง!”
ตอนที่ 1572 เจรจา
อี้เจายกมือขึ้นแล้วชี้ไปทางถวนจื่อ
“ตราบใดที่เจ้าสามารถช่วยทำให้มันกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ภายในหนึ่งเดือน เช่นนั้นข้าก็จะไม่เอาความเรื่องนี้อีก! จากนี้ไปตั้งแต่เหนือนภาใต้ปฐพี มันจะติดตามเจ้าไปจนตาย และเผ่าหงส์ทองคำจะไม่ซักถามอันใดอีก”
น้ำเสียงอันทุ้มต่ำดังกึกก้องไปทั่วตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง!
ผู้อาวุโสทุกคนตกใจโดยพร้อมเพรียง แล้วหันไปมองอี้เจาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
หรือว่าท่านประมุขจะบ้าไปแล้ว?
คาดไม่ถึงเขาจะตอบตกลงเงื่อนไขของซั่งกวนเยว่จริงๆ แล้วยังลงเดิมพันกับนาง!
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า
“ได้! คำไหนคำนั้นนะเจ้าคะ!”
…
“แอ๊ด…”
ประตูบานใหญ่ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า
คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่รออยู่ภายนอกเงยหน้าขึ้นมามองอย่างกระตือรือร้น
จากนั้นก็เห็นเพียงแค่เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินเยื้องย่างออกมาจากท้องพระโรง
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ไม่มีความโกรธแต่เต็มไปด้วยแรงคุกคาม
คนผู้นั้นก็คือประมุขอี้เจา!
ใบหน้าของพวกเขาไร้อารมณ์และไม่แยแส
กลุ่มคนที่ต้องการทราบเรื่องราวจากปฏิกิริยาของเขาก็เป็นอันต้องผิดหวังไป
แม้แต่ผู้อาวุโสอี้อวี่ที่มีท่าทีสบายๆ มาโดยตลอด ในตอนนี้ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในแววตาของเขาซับซ้อน ทำให้คนยากจะคาดเดา
อี้เจาหยุดยืนที่จัตุรัสหน้าท้องพระโรงแล้วทอดสายตาลงมองด้านล่าง
แววตาของเขาเต็มไปด้วยแรงกดดันเหมือนกับสายฟ้า ทำให้ผู้คนตกตะลึงไปโดยไม่รู้ตัว
คนที่วิพากษ์วิจารณ์เสียงดังก็เงียบเสียงลงมาในทันทีจากนั้นก็โค้งคำนับทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง
“คารวะท่านประมุข!”
อี้เจาพยักหน้าจากนั้นก็หันไปมองทางด้านหลัง
“ออกมาเถอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็มีสีหน้ามึนงงแล้วมองหน้ากันไปมา
ผู้อาวุโสทั้งห้าก็อยู่ที่นี่ แล้วท่านประมุขกำลังเรียกใครอยู่…
ทันใดนั้นเองก็มีคนที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขาจึงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“ซั่งกวนเยว่หรือ? หรือว่าหงส์ทองคำตัวนั้น?”
“น่าจะเป็นเด็กใหม่มากกว่าละมั้ง? ส่วนมนุษย์ที่ชื่อเยว่ๆ อันใดนั่น ประมุขเกลียดการสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขามากที่สุด ไม่ได้ไล่ให้นางกลับไปในทันทีก็ถือว่าไว้หน้ามากแล้ว จะให้นางมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างใด?”
“นั่นสิ”
“จะว่าไปแล้วพวกเจ้าไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างหรือ? พูดถึงการยกเลิกพันธสัญญา แต่ภายในนั้นกลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเจ้าหมอนั่นจะทะลวงด่านมาได้ครึ่งทาง ตอนนี้มันก็ถือว่ามันเป็นหงส์ทองคำตัวหนึ่ง ตามหลักการแล้วมันไม่น่าจะเงียบขนาดนี้นะ?”
“มีประมุขและผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่ แม้ว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็สามารถระงับได้ มันจะมีอันใดน่าแปลกใจอีก?”
เสียงซุบซิบกระจายภายในกลุ่มคน
สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปที่หน้าประตูตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงบานใหญ่ด้วยความสงสัยและสำรวจ
มีคนบางส่วนที่ไม่สามารถก้มหน้าก้มตาได้อีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นมองเหมือนกลัวจะพลาดเหตุการณ์สำคัญใดไป
…
เงาร่างอันอรชรเดินออกมาจากด้านหลังของประตูบานใหญ่อย่างเชื่องช้า
ในขณะนี้ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
แสงอาทิตย์อัสดงสะท้อนเข้าที่ร่างของนาง ทำให้เงาร่างของนางทอดยาว เหมือนกับขับไล่ความเย็นยะเยือกภายในท้องพระโรงออกไปจนหมดสิ้น
คนผู้นั้นคือแม่นางคนหนึ่ง
นางสวมชุดกระโปรงสีแดงที่เรียบง่าย ที่เอวมีสายรัดหยกสีดำทำให้เปิดเผยส่วนเว้าส่วนโค้งของแม่นางคนนั้น
ลายเส้นทุกอย่างบรรจบกันอย่างเหมาะสมเหมาะเจาะ
ผมสีดำขลับของนางถูกเกล้าขึ้นด้วยปิ่นปักผมสีดำลายดอกท้ออย่างเรียบง่าย
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องดอกท้อดอกนั้นเหมือนกับมีชีวิต เปล่งประกายเย็นชา
ทันใดนั้นเองเสียงซุบซิบก็จางหายไปอย่างพร้อมเพรียง
อากาศเหมือนถูกแช่แข็งไปในทันที ภาพเหตุการณ์นิ่งค้าง
สีหน้าของทุกคนแข็งทื่อ ราวกับไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
เหมือนกับสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคน นางจึงเงยหน้าขึ้นมา
ลำคอของนางเรียวระหงเป็นพิเศษ ในตอนนี้นางรวบผมไว้ด้านหลังจนหมด จึงเผยให้เห็นช่วงไหล่ที่งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ
ผิวของนางขาวกระจ่างใสเหมือนกับหยกมันแพะชั้นดี ในตอนที่แสงอาทิตย์ตกลงมาสามารถมองเห็นแสงเรืองรองสีทองอันละเอียดอ่อนจากใบหน้าของนางได้
องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าสมบูรณ์แบบ ความงามเด่นล้ำ
ริมฝีปากแดงยกขึ้น แววตามีความเย็นชา แต่ก็เหมือนประดับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยน
ในตอนนั้นทุกคนมองไปแล้วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากผ่านไปสักพักถึงมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
“นั่นมัน… มนุษย์หรือ? ช้าก่อน! แม่นางคนนั้นก็คือซั่งกวนเยว่หรือ?”
แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของพวกมันจะมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ทุกประการ แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น ลมปราณดั้งเดิมย่อมเป็นหงส์ทองคำอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่แม่นางที่เดินออกมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงจะต้องเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน!
“คาดไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์รอดชีวิตออกจากที่แห่งนี้ได้!”
บางคนรู้สึกตกใจอย่างห้ามไม่อยู่
มิน่าล่ะที่เขาจะตกตะลึงขนาดนี้
หลายปีที่ผ่านมานี้ มนุษย์ที่เดินทางมาถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงได้นั้นมีจำนวนน้อยมาก
แต่คนที่จะมีคุณสมบัติเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวงนั้นแทบจะไม่มีเลย
ตอนนี้ซั่งกวนเยว่ไม่เพียงเข้าไปด้านในได้ อีกทั้งยังสามารถออกมาอย่างไร้บาดแผล แล้วพวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างใด?
… ก่อนหน้านี้คนในเผ่าจำนวนไม่น้อยต่างคิดว่าหลังจากยกเลิกพันธสัญญาไปแล้ว ต่อให้ท่านประมุขไม่เอาชีวิตของนางในทันที แต่นางก็น่าจะอยู่ได้ไม่นาน
สำหรับพวกเขาแล้วการทำพันธสัญญากับหงส์ทองคำถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัปยศอดสูอย่างยิ่ง!
“ได้ยินมาว่าซั่งกวนเยว่ผู้นี้ในหมู่มวลมนุษย์นางมีฐานะไม่ต่ำต้อย ท่านประมุขจึงอยากจะไว้ชีวิตนาง เพื่อลดปัญหาการมารบกวนของพวกมนุษย์ละมั้ง?”
ทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา ในขณะเดียวกันก็ใช้สายตากวาดสำรวจฉู่หลิวเยว่อย่างละเอียดลออ
แต่ฉู่หลิวเยว่เลือกที่จะเมินเฉยกับสายตาเหล่านี้
นางเดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย
ถวนจื่อเกาะอยู่บนไหล่ของนาง แต่กลับฝังศีรษะของตัวเองเอาไว้ใต้ปีก
มันต้องการจะแสดงความไม่พอใจของตนเองต่อเผ่าหงส์ทองคำ
ฉู่หลิวเยว่จึงหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ และพูดปลอบกับมันว่า
“ถวนจื่อ พวกมันกำลังมองเจ้าอยู่นะ หากเจ้าทำเช่นนี้อยู่ตลอด ไม่แน่พวกมันอาจจะคิดว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาดตาขาวก็ได้นะ”
พรึ่บ!
ในตอนนั้นถวนจื่อก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที มันเชิดศีรษะขึ้น ดวงตาดำขลับส่องสว่าง แล้วกวาดสายตามองไปจนทั่ว
ใคร!
ใครกันที่กล้าดูถูกมัน!
หลังจากกวาดสายตามองไปหนึ่งรอบ ถวนจื่อก็ลดแรงกดดันลงก่อนจะสยายปีกขึ้น
แต่ว่าในครั้งนี้มันไม่ได้หดตัวกลับไป แต่กลับมองรอบข้างเป็นครั้งคราว
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้น
นางกับถวนจื่อมีจิตเชื่อมโยงกัน นางจะไม่รู้ได้อย่างใดว่าถวนจื่อกำลังคิดอันใดอยู่?
มันอยากจะกลับมาดูสักครั้ง เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของตนเองใช้ชีวิตอยู่กันอย่างใด
ไม่ว่าอย่างใดก็ตามเลือดชนิดเดียวกันก็ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของพวกมัน
ด้วยพลังแห่งสายเลือดเช่นนี้ทำให้พวกมันหวนคิดถึงและสงสัยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
มันแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจและเตรียมตัวจะตัดขาดกับที่แห่งนี้ทุกเมื่อก็เพื่อนาง
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่อยากให้มันทำเช่นนั้น
อีกทั้งตอนนี้ในที่สุดสายตาของพวกมันก็หยุดลงที่ร่างของถวนจื่อ
“คือว่า… นี่คือหงส์ทองคำในตำนานตัวนั้นหรือ?”
“ดูแล้วธรรมดาอย่างยิ่ง เหมือนไม่มีอันใดพิเศษเลยละมั้ง?”
“หรือว่าพวกเจ้าไม่ได้สังเกต มันกำลังเกาะอยู่บนไหล่ของมนุษย์ผู้นั้นนะ? แบบนี้ยังไม่พิเศษอีกหรือ?”
อี้หรานไพล่มือไว้ด้านหลังหนึ่งข้างและมองตรงไป
เพียงแค่มองครู่เดียวเขาก็ขมวดคิ้วขึ้น ความรังเกียจฉายชัดอยู่ในแววตาอย่างรวดเร็ว
“ไม่เหมาะสม!”
ในตอนนั้นเองอี้เจาก็มองมาทางนี้อย่างกะทันหัน
“อี้หราน เจ้าพาซั่งกวนเยว่ไปที่หุบเขาเฟิ่งหวงที”
…………….