ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1567 ประมุข
ตอนที่ 1567 ประมุข
…………….
หากบอกว่าครั้งแรกนั้นที่ถวนจื่อสามารถเปิดม่านพลังได้นั้นเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ว่าในตอนนี้ดูจากสถานการณ์ด้านหน้า ไม่ว่าอย่างใดคนที่อยู่ภายในท้องพระโรงก็ไม่สามารถพูดคำนั้นออกมาได้
ถ้าแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าพลังแห่งสายเลือดบริสุทธิ์…
“ซี๊ด…”
ผู้อาวุโสอี้อวี่พยายามสงบสติอารมณ์ลง แต่หลังจากระงับไปหลายครั้ง ก็ไม่สามารถระงับได้ แต่อ้าปากพะงาบๆ
“พลังแห่งสายเลือดนี้ นับว่ายอดเยี่ยมที่สุดในหมู่เด็กรุ่นใหม่แล้วสินะ?”
เสียงของเขานั้นไม่ดัง แต่คนอื่นกลับได้ยินอย่างชัดเจน เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนจึงมีสีหน้าซับซ้อน
นับเพียงแค่รุ่นใหม่เท่านั้นหรือ?
ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมม่านพลังได้อย่างอิสระและผ่อนคลายเช่นนี้!
เห็นได้ชัดว่าแม้หงส์ทองคำตัวนี้จะอายุยังน้อย แต่กลับมีความสามารถเช่นนี้ นอกจากคำว่า “พรสวรรค์” แล้ว พวกเขาก็คิดคำอื่นที่จะมาบรรยายไม่ออก
“นี่มัน… ไร้สาระเกินไปแล้ว! มันเห็นม่านพลังเผ่าของพวกเราเป็นอันใด? คาดไม่ถึงว่ามันจะกลั่นแกล้งเช่นนี้! ไม่ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว!”
ผู้อาวุโสอี้กงรู้สึกเสียหน้าไปอยู่นาน ก่อนจะพูดตำหนิออกมาอย่างยากลำบาก
ก่อนจะหันไปสบสายตากับคนอื่น
กลั่นแกล้ง?
ก็เพราะว่าคนผู้นั้นมีความสามารถอย่างใดเล่า!
พวกเขาเองก็อยากจะทำเช่นนี้เช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีพรสวรรค์ไม่ใช่หรือ!
สิ่งที่เรียกว่าไม่เคารพ… อาจจะเป็นเพราะว่าหงส์ทองคำตัวนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าม่านพลังนี้คือสิ่งใด แต่แค่ว่ามันเห็นเป็นของเล่นที่น่าสนใจเท่านั้นเอง!
มันเรียกว่าไม่ให้เกียรติขนาดนั้นเลยหรือ?
ผู้อาวุโสอี้กงเพิ่งพูดประโยคนั้นจบก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก
หากเป็นคนอื่นก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในท้องพระโรง และคนที่เหลือคือคนที่มีตำแหน่งสูงในเผ่าหงส์ทองคำ
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มันคือเรื่องอันใดกันแน่
ที่เขาพูดออกมาสองประโยคนั้น ความจริงแล้วมันก็น่าขันเล็กน้อย
แต่เขานั้นวิตกมากเกินไป
… พิธีกราบไหว้บรรพบุรุษที่ใกล้จะถึงนี้ เขาจัดเตรียมวางตำแหน่งให้กับอี้หรานเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่เวลามาถึง ก็สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น
แต่ว่าในตอนนี้กลับมีคนที่มีพรสวรรค์อย่างเฉิงเหย่าจิน[1]ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน การเปลี่ยนแปลงนั้นมันยิ่งใหญ่มากเกินไป!
แล้วเขาจะไม่กังวลได้อย่างใด?
หากเป็นคนที่มีพรสวรรค์ธรรมดาก็ช่างเถอะ แต่ว่ามันกลับแสดงพลังสายเลือดอันบริสุทธิ์ที่จะสามารถพบเห็นได้ในรอบพันปี!
จึงทำให้เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก!
หากเกิดความผิดพลาดขึ้น ความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เท่ากับต้องสูญเปล่า!
ผู้อาวุโสอี้อวี่ยกเปลือกตาขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วเหลือบสายตามองมาทางเขา ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“โชคดีที่ไม่ได้ฆ่าพวกนางตั้งแต่ตอนแรก สายเลือดอันบริสุทธิ์นี้ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง หากเขาตายไป เผ่าหงส์ทองคำของพวกเราจะต้องเกิดการสูญเสียอันยิ่งใหญ่แน่นอน”
ผู้อาวุโสอี้กงมีสีหน้าย่ำแย่มากขึ้นกว่าเดิม
น่าเสียดายที่เรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นความจริง เขาไม่สามารถเถียงได้เลยแม้แต่ครึ่งคำ
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นต้นกล้าที่ไม่เลว”
หลังจากท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบ ในที่สุดอี้เจาก็พูดขึ้น
เขายืนอยู่ที่ด้านหน้าสุด และหันหลังให้กับผู้คนทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา
ฟังจากน้ำเสียงก็ไม่สามารถคาดเดาอันใดได้
“แม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะเคยทำพันธสัญญากับมนุษย์ แต่สายเลือดที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ ก็รอให้มันยกเลิกพันธสัญญาเสีย แล้วค่อยสั่งสอนมันดีๆ เสียหน่อยก็พอแล้ว”
เมื่อพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ
บอลแสงขนาดใหญ่กลายเป็นลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนและสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
ถวนจื่อยืนอยู่ด้านข้างม่านพลังและเล่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ก่อนที่มันจะเข้ามามันสามารถสัมผัสได้ว่าม่านพลังนี้อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่อยากให้ฉู่หลิวเยว่มาเสี่ยงอันตราย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันสามารถเข้ามาในม่านพลังได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
อีกทั้งหลังจากเข้ามาแล้ว เหมือนว่าม่านพลังนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
สัมผัสที่อันตรายนั้นจางหายไปแล้ว กลับกลายเป็นความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
ไม่เพียงแต่ไม่มีความกังวลแล้ว มันยิ่งเล่นยิ่งติดใจ
ฉู่หลิวเยว่ยืนมองอยู่ด้านข้าง ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
แม้ว่านางจะไม่ทราบสถานการณ์ที่ชัดเจน แต่…ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังที่ใช้เข้าออกภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง มันไม่มีทางถูกเปิดปิดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ครั้งนี้ที่อีกฝ่ายยอมให้นางเข้ามาเดิมทีต้องการจะตำหนิและทดสอบพวกนาง ยิ่งไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นแน่นอน
ถ้าเช่นนั้น… ก็เหลือเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น
… ถวนจื่อไม่ธรรมดา
ก่อนหน้านี้นางก็ไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน
แม้กระทั่งในตอนแรกนางก็คิดไม่ถึงว่าถวนจื่อที่เป็นไก่ฟ้าเก้าสีจะสามารถทะลวงด่านเป็นหงส์ทองคำได้
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ นางจึงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองมากยิ่งขึ้น
นางเงยหน้าขึ้นมองด้านหน้า
ภายในม่านพลังสีทองชาดนั้นมีพื้นที่ขนาดใหญ่
เมื่อกวาดสายตามองไป พื้นที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
ภูเขาทอดยาวสลับซับซ้อน ป่าไม้เขียวขจี
ต้นไม้โบราณตระหง่านสูง ต้นไม้แต่ละต้นเหมือนมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ลำต้นหลายคนโอบ
ต้นไม้ทรงพุ่มแผ่กระจาย กิ่งก้านสาขาอุดมสมบูรณ์
พลังฟ้าดินเข้มข้น ขอเพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายได้
ทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
มีเพียงยอดเขาสูงตระหง่านที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเลยแม้แต่น้อย ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยสีดำเกรียม เหมือนกับถูกเพลิงเผาไหม้โหมกระหน่ำ
เมื่อเห็นยอดเขานั้นฉู่หลิวเยว่ก็รู้ได้ทันทีว่า จุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้จะต้องเป็นที่นั่นอย่างแน่นอน!
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วหันไปมองตำแหน่งที่อยู่บนยอดเขา
ตำหนักขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ณ ที่แห่งนั้น
แม้ว่าอยู่ห่างไกลกันขนาดนี้ นางก็ยังสามารถสัมผัสได้แรงกดดันอันตึงเครียดนี้
ในตอนที่มองไปนั้น เหมือนสามารถสัมผัสได้ถึงสายตาจากตำหนักแห่งนั้นและมองมายังร่างของนางอย่างแม่นยำ!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นสะท้านไป! จิตใต้สำนึกเกิดความระมัดระวังขึ้นมาในทันที! กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างตึงเกร็ง!
ถวนจื่อเองก็เหมือนสามารถสัมผัสอันใดได้บางอย่าง จึงขยับเข้ามาใกล้นางแล้วเงยหน้ามองไปยังจุดนั้น
วินาทีต่อมาพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของนางก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างกะทันหัน!
นางก้มหน้ามอง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบรับ ในตอนนั้นโลกก็เหมือนหยุดหมุนในทันที!
หลังจากนั้นร่างกายของนางเหมือนถูกดึงด้วยพลังอันใดบางอย่าง!
ทันใดนั้นนางก็ตกอยู่ในความดำมืดทันที!
…
ยังดีที่ความรู้สึกเช่นนี้คงอยู่ไม่นาน หลังจากผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าปลายเท้าทั้งสองข้างของนางนั้นเหยียบลงกับพื้นดินแล้ว
แต่ทว่าความมืดมิดที่อยู่ด้านหน้าก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
นางหรี่ตามอง ในขณะที่ยังไม่สามารถมองสถานการณ์รอบข้างได้อย่างชัดเจน แต่ความเย็นก็ปกคลุมที่ร่างกายของนางหนึ่งชั้นแล้ว
นางรวบรวมสมาธิแล้วมองรอบด้านในทันที!
ที่นี่คือวัดแห่งหนึ่ง
ทั้งงดงาม ยิ่งใหญ่ โบราณและมีมนต์ขลัง
พื้นใต้ฝ่าเท้าถูกปูด้วยหยกสีดำมันเงา กระจ่างใสจนสามารถสะท้อนเห็นเงาของนางอย่างชัดเจน
และภายในจำนวนนั้นก็มีแสงสีทองชาดสว่างพร่างพราวราวกับดวงดารา กระจายดารดาษ ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
นางผงะไปเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น
ด้านบนยังเป็นโดมลักษณะดั่งเดิม
มันถูกแกะสลักมาจากหยกขาวกระจ่างใสและแวววาว ด้านบนมีดวงดาวพร่างพราวส่องสว่างจำนวนนับไม่ถ้วน
ความจริงแล้วจุดดวงดาวที่อยู่บนพื้นคือแสงสะท้อนจากด้านบนโดม
เมื่อยืนอยู่ภายใน มักจะก็ทำให้คนคิดว่านี่คือภาพมายา
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
นางถอนสายตากลับอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปมองที่ด้านหน้า
ในท้องพระโรง มีคนหกคนยืนอยู่ตรงบันไดและกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือ ชายชราผู้หนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีขาว ใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ท่าทางสงบนิ่ง
แต่ที่สะดุดตาที่สุดเพราะเขามีผมสีแดงทอง
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถดึงสติกลับมาได้แล้ว
…คนผู้นี้จะต้องเป็นประมุขแห่งเผ่าหงส์ทองคำแน่นอน!
[1] เฉิงเหย่าจิน หนึ่งในยี่สิบสี่ขุนนางยุคเจินกวน มีบรรดาศักดิ์ หลูกว๋อกง เดิมเป็นขุนพลเอกของกองกำลังหว่ากัง ต่อมาแตกคอกับหลี่มีจึงมาเข้าร่วมกับหวังซื่อชง แต่เห็นว่าหวังซื่อชงไม่ใช่ผู้นำที่ดี จึงมาเข้าร่วมกับหลี่ซื่อหมิน พร้อมกับฉินซู่เป่า ร่วมอยู่ในเหตุการณืประตูเสวียนอู่ด้วย และเป็นกำลังหลักของกองทัพถังในหลายสงคราม
…………….