ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1560 ไม่ทราบ
ตอนที่ 1560 ไม่ทราบ
…………….
อี้เหวินจั๋วเหลือบสายตาหันกลับไปมอง ในแววตามีความสงสัยอยู่เล็กน้อย
ซั่งกวนเยว่น่าจะเพิ่งฟื้นได้ไม่นาน ตามหลักการแล้วหนานซู่ไหวและพวกน่าจะต้องพะเน้าพะนอนางอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงปล่อยให้นางมาที่นี่คนเดียว?
อีกทั้งตอนนี้ยังมาตามหาจวินจิ่วชิง
“ก่อนหน้านี้พวกเราเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน และยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ เพื่ออธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ชัดเจน”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“นี่คือถิ่นของท่าน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อข้าอยู่ที่นี่ข้าจะทำอันใดได้เล่า?”
นี่นางกำลังกระทบกระเทียบใคร?
สีหน้าของอี้เหวินจั๋วเย็นชามากยิ่งขึ้น
“พวกเจ้าไปคุยกันให้ชัดเจนไป”
เมื่อพูดจบ เขาก็เหลือบสายตามองจวินจิ่วชิงอย่างสื่อความหมาย
“อย่าล่าช้า เสร็จแล้วก็รีบกลับไปฝึกซ้อม”
จวินจิ่วชิงพยักหน้าแล้วตอบรับ
“ขอรับ”
…
ภายในห้อง ฉู่หลิวเยว่และจวินจิ่วชิงกำลังนั่งเผชิญหน้ากัน
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดอยู่ แต่ว่าภายในห้องมีม่านพลังปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ทั้งสองคนจึงไม่กังวลว่าจะมีคนอื่นได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน
บรรยากาศเย็นยะเยือก อากาศเหมือนถูกแช่แข็ง
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา
“จวินจิ่วชิง ส่งบิดาของข้ากลับมาเสียดีๆ บุญคุณความแค้นระหว่างข้าและเจ้า สามารถหลบล้างไปได้ในครั้งนี้”
จวินจิ่วชิงรู้ดีว่าที่นางมาที่นี่ก็เพื่อเรื่องนี้
เมื่อได้ยินดังนี้ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้ากลับสงบราบเรียบ
“ข้าไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ใด”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เย็นชาขึ้นมาในทันใด!
นางยืดเหยียดหลังตรง ไหล่ผึ่งผาย ดวงตาดำขลับเหมือนหยกดำ แล้วจ้องไปที่จวินจิ่วชิงตาเขม็ง
ทันใดนั้นเองมุมปากของนางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่อยากพูดคุยกับข้าด้วยความสันติ”
“ข้าไม่ทราบจริงๆ”
จวินจิ่วชิงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาที่ลึกล้ำแฝงไปด้วยความไม่แยแส ระลอกคลื่นที่ไม่อาจคาดเดาพัดเข้ามา
“ตอนแรกข้าก็จะพาเขาไป เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากลับมา แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว อีกทั้งความทรงจำยังฟื้นคืน เช่นนั้นสำหรับข้าแล้ว เขาก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป ข้าจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเจ้า”
ดูจากสีหน้าของจวินจิ่วชิงแล้ว หัวใจของฉู่หลิวเยว่ก็ดำดิ่ง
“ในตอนแรกข้าให้คนพาเขาไปที่สุสานสังหารเทพ…”
ฉู่หลิวเยว่หน้าเปลี่ยนสีในทันที
“จวินจิ่วชิง!”
สุสานสังหารเทพ!
นั่นเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดของอาณาจักรเสิ่นซวี่!
ด้วยระดับฝีมือของฉู่หนิงแล้ว เขาไปที่นั่นมีโอกาสรอดเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น!
จวินจิ่วชิงยกมือขึ้น
“วางใจเถอะ เป็นเพียงแค่รอบนอกเท่านั้นไม่อันตรายถึงชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ส่งคนไปคอยสอดส่องอยู่ตลอด ข้าจะเอาชีวิตของเขาไปเหตุใด?”
ฉู่หลิวเยว่สะกดกลั้นเพลิงโทสะที่พุ่งพล่านภายในใจลง
แม้ว่านางจะไม่ชอบพูดคุยและติดต่อกับจวินจิ่วชิง แต่ก็ต้องยอมรับว่า คำพูดของเขานั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ในตอนแรกเขาเพียงแค่ใช้ฉู่หนิงมาข่มขู่นาง
ดังนั้นเขาจึงจะต้องระมัดระวังรักษาชีวิตของฉู่หนิงให้ดี
“ในเมื่อเจ้าให้คนส่งเขาไปที่สุสานสังหารเทพ แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงพูดว่าไม่รู้เสียแล้วล่ะ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ
จวินจิ่วชิงหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“คำถามนี้ เจ้าควรจะไปถามฉู่หนิงหรือบางทีอาจจะเป็นตัวเจ้าเอง”
ฉู่หลิวเยว่ผงะไป
จวินจิ่วชิงพูดต่อว่า
“หลังจากคนของข้าไปส่งฉู่หนิงที่สุสานสังหารเทพแล้ว ก็ยังดีๆ อยู่ แต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในค่ำคืนหนึ่ง คนของข้าก็ถูกฆ่าตายทั้งหมด ฉู่หนิงหายตัวไป”
“นั่นก็เป็นวันที่เจ้าเรียกอาณาเขตเซียนเทพกลับมา และเป็นวันเดียวกับความทรงจำของเจ้าฟื้นคืน”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามอง
“จริงหรือ?”
จวินจิ่วชิงเคาะนิ้วกับที่เท้าแขนเบาๆ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้าขอพูดอย่างไม่ปิดบัง ในบรรดาคนของข้าที่ข้าส่งไปนั้น มีคนหนึ่งอยู่ในระดับผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูง อีกสามคนอยู่ระดับครึ่งเทพ นี่คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า แต่ในครั้งนี้ข้าก็ต้องสูญเสียอย่างหนักเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งใครเป็นคนลงมือ ข้าก็ยังไม่รู้”
“อย่าพูดถึงฉู่หนิงเลย ต่อให้อีกสิบฉู่หนิง มันก็ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ข้าต้องเสียไป”
คำพูดของจวินจิ่วชิงไม่น่าฟังเล็กน้อย แต่กลับดูตรงไปตรงมาอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่น
นางรู้ถึงสถานะในตระกูลของจวินจิ่วชิงเป็นอย่างดี เขาไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุดด้วยซ้ำ ครั้งนี้ต้องสูญเสียยอดฝีมือไปสี่คน เขาจะต้องได้รับความกดดันเป็นอย่างมากแน่นอน
เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้
“ตอนที่ได้รับข่าว เจ้าก็สลบไปแล้ว หรงซิวก็เฝ้าอยู่ที่เขาจิ่วเหิงโดยตลอด แม้ว่าข้าอยากจะบอกเจ้า แต่ก็ไม่มีโอกาส”
จวินจิ่วชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงแหบพร่าระคนเกียจคร้านดังขึ้นในลำคอ และยังแฝงด้วยท่าทีที่ประชดประชันอย่างไม่ปิดบัง
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิด
หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วตอนนี้ฉู่หนิงจะอยู่ที่ใดกันแน่?
“ระหว่างเจ้ากับฉู่หนิงน่าจะขาดการติดต่อไปแล้ว นอกจากเจ้าสามารถตามหาเขาได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าวันนั้นมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น และแน่นอนว่าบางทีเจ้าอาจจะต้องถามตัวเองด้วย… ก่อนหน้านี้เจ้าล่วงเกินคนไว้เป็นจำนวนมาก คนที่รอจะฉวยโอกาสจากจังหวะนี้ก็คงจะมีไม่น้อยไม่ใช่หรือ?”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เย็นยะเยือก พร้อมหันไปมองทางจวินจิ่วชิง
ในตอนนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน
“ในวันนี้ข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้า หากข้ารู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
เมื่อพูดจบนางก็เดินออกไป
คนของจวินจิ่วชิงตายหมดแล้ว น่าจะไม่เหลือเบาะแสอันใดให้สืบค้น
จึงไม่มีความจำเป็นที่จะซักถามต่อ
ตอนที่นางเดินไปถึงหน้าประตู เสียงของจวินจิ่วชิงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังอย่างกะทันหัน
“หากตอนแรกเจ้าไม่ยืนหยัดที่จะกลับมา และอยู่กับข้าที่เป่ยหมิง เรื่องเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง
แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูเกียจคร้าน และมีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่สีหน้ากลับเย็นชาเป็นอย่างมาก
สำหรับผู้อื่นแล้วการหลงลืมอดีตอาจจะเป็นเรื่องที่เศร้าสลดมากที่สุด
แต่สำหรับฉู่หลิวเยว่เป็นการพ้นทุกข์อย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดายที่นางดื้อรั้นมากเกินไป อีกทั้งหรงซิว…
ก็ตามใจนางมากเกินไป
สี่สายตาของคนสองคนประสานกัน
หลังจากผ่านไปสักพักฉู่หลิวเยว่ก็ถามขึ้นมาว่า
“ตอนที่ข้าออกจากสำนักมา คนที่รู้เรื่องนี้มีจำนวนไม่มาก แม้กระทั่งหรงซิวก็ยังมารู้ในภายหลัง แต่เจ้า… รู้เรื่องนี้ได้อย่างใด?”
ภายในห้องปกคลุมด้วยบรรยากาศเย็นๆ ทุกอย่างหยุดนิ่ง
จวินจิ่วชิงออกมาด้วยความชั่วร้ายและท่าทางกำเริบเสิบสาน
“ข้ามีวิธีของข้าเอง”
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าถามต่อไปก็คงไม่ได้คำตอบ ดังนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป
จนกระทั่งร่างของนางหายไปจากครรลองสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของจวินจิ่วชิงจึงได้จางลง
เขาหลับตาลงแล้วนั่งอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง อากาศรอบกายถูกกดจนมีอุณหภูมิต่ำ
หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปทางห้องของอี้เหวินจั๋ว
…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่เล็กน้อย
เดิมทีนางคิดว่า หากได้พบกับจวินจิ่วชิงแล้ว จะสามารถทำให้เขาส่งท่านพ่อกลับมาได้
คิดไม่ถึงเลยว่าระหว่างนี้เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ครั้งที่แล้วนางกับท่านพ่อได้ขาดการติดต่อไป ตอนนี้ก็ไม่มีข่าวคราวอันใดเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เขาจะยังอยู่ที่สุสานสังหารเทพ แต่ที่แห่งนั้นกว้างขวางเป็นอย่างมาก เป็นความเวิ้งว้างอันไร้ที่สิ้นสุด เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร
หลังจากกลับมาที่เขาจิ่วเหิง เดิมทีฉู่หลิวเยว่คิดว่าจะมาปรึกษากับหรงซิว แต่กลับพบว่าหรงซิวไม่อยู่
เขาน่าจะอยู่ที่หอระฆังบูรพกษัตริย์…
ฉู่หลิวเยว่คิดได้เช่นนั้น จึงเดินกลับเข้าไปที่ห้องพักของตนเอง
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาที่บานหน้าต่าง ภายในห้องมีเพียงแสงสีทองเรืองรอง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ยังนึกถึงเบาะแสอันใดไม่ออก ดังนั้นจึงต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
นางกลั้นลมหายใจแล้วหลับตาลง
ไข่มุกธารางดงามที่ลอยอยู่ภายในตันเถียนอย่างสงบนิ่ง
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังครุ่นคิด ไข่มุกธาราเม็ดนั้นก็เปลี่ยนรูปร่างไป ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นหน้ากระดาษที่ไม่สมบูรณ์แผ่นหนึ่ง
มันทั้งกระจ่างใส โปร่งแสง และเปล่งประกาย!
…………….