ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1559 พบเจอเขา
ตอนที่ 1559 พบเจอเขา
…………….
ซั่งกวนจิ้งค่อนข้างไม่เห็นด้วย
“เยว่เออร์ ประมุขของหงส์ทองคำมีนิสัยเย่อหยิ่งที่มันส่งจดหมายมาครั้งนี้ มันยิ่งไม่ต้อนรับผู้มาใหม่ หากเจ้าไป เจ้าจะต้องได้รับความอยุติธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน”
พูดถึงการได้รับความไม่ยุติธรรม
ความจริงแล้วดูจากนิสัยและบุคลิกของอีกฝ่าย หากฉู่หลิวเยว่ปฏิบัติตามที่จดหมายบอก และไปตามนัดด้วยตนเอง ไม่แน่ว่าสิ่งที่รอนางอยู่อาจจะเป็นความอัปยศอดสูที่ไม่สามารถจินตนาการได้
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้นางทนทุกข์ทรมานเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะขึ้นมาพร้อมพูดว่า
“องค์ไท่จู่ แม้ว่าถวนจื่อจะเลื่อนขั้นเป็นหงส์ทองคำอย่างกะทันหัน แต่ถ้าตามกฎแล้ว เมื่อมันสืบทอดสายเลือดนี้ มันก็จะต้องเดินทางกลับไปที่นั่นสักครั้ง ถือว่าเป็นการกลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ข้ากับถวนจื่อก็วางแผนว่าจะเดินทางไปกันอยู่แล้ว เพียงแค่ก่อนหน้านี้พวกเราไม่มีเวลา รอจนข้ามีโอกาสจึงได้ไป ในเมื่อตอนนี้ประมุขของพวกมันส่งจดหมายมากระตุ้นพวกเราเช่นนี้ ครั้งนี้ก็ถือโอกาสไปเสียหน่อย”
“ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังเป็นห่วงเรื่องอันใด ถวนจื่อเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาของข้า หากอีกฝ่ายต้องการให้ข้ายกเลิกพันธสัญญานี้ ข้าย่อมไม่มีวันตอบตกลงแน่นอน แต่ที่ข้าไปในครั้งนี้ความจริงแล้วก็เพื่อไปพูดคุยกับพวกมันอย่างตรงไปตรงมา”
“ถ้าครั้งนี้ไม่ไป พวกมันไม่ยอมเลิกราแน่นอน และเรื่องราวก็ต้องยุ่งยากมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
คำพูดของฉู่หลิวเยว่ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไป
ความจริงแล้วพวกเขาทุกคนก็รู้ดีว่าเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่พูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริง
ตราบใดที่ถวนจื่อยังเป็นหงส์ทองคำ และยังคงติดตามฉู่หลิวเยว่ พวกมันไม่มีทางนั่งเฉยๆ โดยไม่สนใจอย่างแน่นอน
จดหมายที่ส่งมาจากประมุขในครั้งนี้ พวกมันให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มากเลยทีเดียว
หนานซู่ไหวขมวดคิ้ว
“แต่หากเจ้าไปในครั้งนี้ จะต้องเผชิญอันตรายอย่างมากแน่นอน ถ้าเช่นนั้น…ข้าส่งจดหมายกลับไปอีกหนึ่งฉบับ นัดสถานที่อื่นกับพวกมัน”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“อาจารย์ นั่นจะนับเป็นการขอโทษถึงหน้าประตูได้อย่างใด?”
หนานซู่ไหวกลับไม่สนใจแล้วแค่นหัวเราะออกมา
“อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลมีตำแหน่งสูงส่ง แต่พวกเราสำนักหลิงเซียวก็ไม่ใช่สัตว์กินพืช! จะปล่อยให้พวกมันมารังแกได้อย่างใด!”
ก่อนหน้านี้โหมวเหยาบุกเข้ามาในสำนักก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต
หากไม่ใช่เพราะฉู่หลิวเยว่จัดการสังหารเขาได้ในภายหลัง และเก็บกวาดเรื่องราวทั้งหมด หนานซู่ไหวไม่มีทางปล่อยมันไปอย่างแน่นอน
แต่อย่างใดเขาก็ยังจดบันทึกความแค้นของไท่ซวีเฟิ่งหลงเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่าตอนนี้กลับถึงคราวของหงส์ทองคำ!
ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ! อีกทั้งยังย่ำแย่มากกว่าเดิม!
“เจ้ารออยู่ในสำนัก ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะทำลายสำนักทั้งสำนักได้!”
ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่าหนานซู่ไหวกำลังเป็นห่วงตนเองอยู่ แต่ในเวลาเช่นนี้ นางไม่อยากจะเพิ่มความยุ่งยากให้กับสำนักเลย
จริงๆ
“อาจารย์”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า
“ทางสำนักเพิ่งจะผ่านพ้นความยุ่งยากมาไม่น้อย ในช่วงเวลาสำคัญอย่างเช่นตอนนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องทนกระแสลมปากที่แหลมคมเพราะเรื่องเหล่านี้”
ในตอนนี้นางกำลังมึนงงสับสน ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ภายนอก แต่เพียงแค่พิจารณาเล็กน้อยก็สามารถคาดเดาได้แล้ว
เขาหมื่นเมรัยถูกทำลายแล้ว ผู้อาวุโสหลายคนในสำนักก็ได้รับบาดเจ็บ
ตอนนี้สำนักหลิงเซียวไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว
ซั่งกวนจิ้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
เรื่องนี้สามารถวางใจได้เล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
เห็นได้ชัดว่าคนที่อีกฝ่ายต้องการพบก็คือนาง องค์ปฐมกษัตริย์มีสถานะพิเศษ หากติดตามไปด้วย เผ่าหงส์ทองคำก็ไม่สามารถพูดอันใดได้มาก
และสิ่งนี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับทางสำนัก
หนานซู่ไหวไม่ได้โน้มน้าวนางอีก เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่มีท่าทางยืนหยัดหนักแน่นจึงถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“อาจารย์พวกมันได้พูดถึงเวลาและสถานที่นัดแล้วหรือยัง?”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้น
หงส์ทองคำเป็นเผ่าที่ลึกลับมาโดยตลอด มนุษย์รู้เพียงแค่พวกมันอาศัยอยู่ภายในภูเขาศักดิ์สิทธิ์เฟิ่งหวง แต่รายละเอียดที่ชัดเจนกลับไม่มีใครทราบเลย
หนานซู่ไหวพูดขึ้นเสียงทุ้ม
“พวกมันให้เวลาหนึ่งเดือน ส่วนสถานที่นั้น… ถวนจื่อที่มีสายเลือดหงส์ทองคำสามารถไปได้อย่างแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมาครึ่งคำ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เวลายังมีเหลือเฟือ
นางผงะไป สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“ไม่ทราบว่า… ตอนนี้จวินจิ่วชิงอยู่ที่ใดหรือ?”
“ข้าต้องการพบเขา”
…
“ซั่งกวนเยว่ผู้นั้นตายยากเสียจริง”
อี้เหวินจั๋วพูดไปพลาง พร้อมจัดการกับขี้เถ้าที่อยู่ในกระถางไปพลาง
ภายในอากาศมีกลิ่นหอมที่ขมขื่นเล็กน้อย
“บนตัวของนางมีไพ่ไม้ตายอยู่ไม่น้อย ที่สามารถรอดพ้นอันตรายในครั้งนี้ไปได้ เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์เมล็ดนั้น นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก”
จวินจิ่วชิงยืนอยู่ด้านหลังของอี้เหวินจั๋วใบหน้าไร้อารมณ์ และพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง”
อี้เหวินจั๋วหยุดการกระทำไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“กระบี่ชื่อเซียว หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ อสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัว…ไม่ว่าจะหยิบของสิ่งใดขึ้นมา ก็ล้วนทำให้คนทั้งโลกอิจฉา แต่นางเพียงคนเดียวกลับครอบครองทั้งหมดนั้น โชคชะตาเช่นนี้ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์แล้ว มิน่าล่ะหลายปีผ่านมาขนาดนี้ นางก็ยังสามารถเรียกอาณาเขตเซียนเทพออกมาได้อีกครั้ง และทะลวงสู่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงได้โดยตรง”
ขณะที่พูดเขาก็หันหน้ามามองจวินจิ่วชิง
“เจ้าเองตอนแรกก็กำลังจะทะลวงด่านผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงแล้ว แต่ระหว่างนั้นก็ล่าช้าไปหลายปี และเพิ่งจะสำเร็จภายในตอนนี้ คนในตระกูลจำนวนไม่น้อยหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าเพราะเรื่องนี้”
คำพูดเหล่านี้เขาไม่เคยปิดบังจวินจิ่วชิง
เขาแค่อยากทำให้จวินจิ่วชิงรู้ว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายอย่างมาก!
ถ้าเจ้าไม่แข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็ทำได้เพียงรอคนอื่นมาฆ่า!
จวินจิ่วชิงหลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อย
“จิ่วชิงทราบแล้ว หลายปีมานี้ทำให้อาจารย์ต้องเป็นห่วงแล้ว”
“ยังดีที่เจ้าสามารถทะลวงด่านได้อย่างราบรื่น คนเหล่านั้นจึงไม่ได้พูดอันใดอีก”
อี้เหวินจั๋ววางของในมือลง
“ซั่งกวนเยว่ผู้นั้นมีสมบัติอยู่ไม่น้อย แต่เจ้าก็มีเหมือนกัน คัมภีร์วิทยายุทธและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าเคยให้เจ้า เจ้าต้องศึกษามันให้ดีๆ เล่า”
“ขอรับ”
อี้เหวินจั๋วจ้องหน้าเขา
“ในปีนั้น ฝีมือและคุณสมบัติของศิษย์พี่ของข้าเหนือกว่าไม่น้อย แต่สุดท้ายตำแหน่งเจ้าสำนักก็ยังตกอยู่ที่เขา! ตอนนี้อาจารย์ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเจ้าแล้ว! เจ้าจะต้องเอาชนะซั่งกวนเยว่ให้ได้! อาจารย์เคยแพ้มาแล้วหนึ่งครั้ง ข้าไม่อยากแพ้เป็นครั้งที่สอง เข้าใจหรือไม่?”
จวินจิ่วชิงเงยหน้าขึ้น สีหน้าไร้คลื่นลม
“จิ่วชิงทราบแล้ว”
อี้เหวินจั๋วมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำอยู่ครู่หนึ่ง
“อาจารย์ขอเตือนเจ้า เพื่อซั่งกวนเยว่หรงซิวได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว เจ้า…”
ก๊อกๆ
อี้เหวินจั๋วยังพูดไม่ทันจบประโยค ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ในขณะเดียวกัน เสียงอันเย็นชาและกระจ่างใสก็ดังมากขึ้น
“รองเจ้าสำนัก ซั่งกวนเยว่มาขอเข้าพบขอรับ”
อี้เหวินจั๋วมีใบหน้าเย็นชามากขึ้น
“นางมาที่นี่เหตุใด?”
หลายวันมานี้ที่เขาอยู่ที่สำนัก ซั่งกวนเยว่ก็มาที่นี่น้อยครั้งมาก
วันนี้ที่นางมาอย่างกะทันหัน จะต้องมีปัญหาอันใดอย่างแน่นอน!
สีหน้าของจวินจิ่วชิงกลับเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย
นี่นาง… ฟื้นแล้วหรือ?
อี้เหวินจั๋วหรี่ตาเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
เขาต้องการดูว่าซั่งกวนเยว่ผู้นี้วางแผนอันใดไว้กันแน่!
แอ๊ด…
ประตูบานใหญ่เปิดออก พริบตาเดียวอี้เหวินจั๋วก็มองเห็นซั่งกวนเยว่ที่นั่งอยู่ในห้องโถงได้ในทันที
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ข้างกายของนางไม่มีใคร
คาดไม่ถึงว่านางจะมาที่นี่เพียงคนเดียว
อี้เหวินจั๋วกวาดสายตาสำรวจรอบข้าง ท่าทีไม่มีความอดทน
“ซั่งกวนเยว่? เจ้ามาที่นี่เหตุใด?”
ซั่งกวนเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่สายตามองผ่านไปที่ด้านหลังของเขา
“รองเจ้าสำนัก ที่ข้ามาในวันนี้เพื่อมาหาจวินจิ่วชิง”
…………….