ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1558 ขออนุญาต
ตอนที่ 1558 ขออนุญาต
…………….
“ยกเลิกพันธสัญญา! ขอขมาถึงหน้าประตู?”
คนทั้งหลายล้วนตื่นตะลึงกันทั่วถ้วน
เผ่าหงส์ทองคำทะนงตัวมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ยอมรับในพันธสัญญาของนางหนูเยว่เออร์กับหงส์ทองคำตัวนั้นเดิมก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ข้อเรียกร้องข้อนี้ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว!
“นี่ล้อกันเล่นหรืออย่างใด? สัตว์อสูรในพันธสัญญาของนางหนูเยว่เออร์ติดตามนางมาหลายปี ร่วมทางกันมาตั้งแต่ยังเป็นไก่ฟ้าเก้าสีจนบุกทะลวงกลายเป็นหงส์ทองคำ มาบัดนี้พวกมันบอกให้ยกเลิกก็ต้องยกเลิกอย่างนั้นหรือ? ช่างไร้สาระสิ้นดี!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่มีอุปนิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอดก็ขมวดคิ้วอย่างทนไม่ไหวเช่นกัน
ดูก็รู้ว่าระหว่างแม่หนูผู้นั้นกับเจ้าตัวกลมต่างฝ่าฟันความลำบากด้วยกันมาไม่น้อยกว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้
บัดนี้เผ่าหงส์ทองคำกลับส่งสารมาตามใจ บอกให้พวกเขายกเลิกพันธสัญญาเสีย มีที่ไหนในใต้หล้าบ้างที่ทำกันเช่นนี้!
ผู้อาวุโสเหวินซีลอบถอนใจ
หลังรู้ว่าผู้ส่งสารเป็นใคร ในใจของเขาก็บังเกิดความกังวลขึ้นมาน้อยๆ รู้สึกได้เลยว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับนางหนูเยว่เออร์อย่างแน่นอน
ทว่าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าอีกฝ่ายจะเอาแต่ใจไร้เหตุผลเช่นนี้
“เรื่องในสำนักที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกมันเองก็คงรู้หมดแล้ว แม้ถวนจื่อจะถือกำเนิดเป็นไก่ฟ้าเก้าสี ทว่าตอนนี้มันกลายเป็นหงส์ทองคำไปแล้วจริงๆ มันผู้นั้นจะออกหน้าจัดการย่อมเป็นเรื่องปกติ”
หนานซู่ไหวกล่าว
กำแพงมีหู ประตูมีช่อง ยิ่งไปกว่านั้นครานี้การเคลื่อนไหวของสำนักใหญ่โตเสียปานนั้น
แม้พวกเขาจะพยายามปิดข่าวสุดความสามารถ แต่บัดนี้เกรงว่าอาณาจักรเสิ่นซวี่คงรู้กันทั้งบางแล้ว
“แต่ไม่จำเป็นต้องมีท่าทีแข็งกร้าวขั้นนี้หรอกกระมัง?”
ผู้อาวุโสเหวินซีเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
สารฉบับนี้ถูกเขียนส่งให้เจ้าสำนักโดยตรง แต่เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายมิคิดไว้หน้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว
มิแปลกใจเลยว่ายามเจ้าสำนักอ่านสารจบ สีหน้าถึงได้เย็นเยียบลงแบบนั้น
“…คราก่อนโหมวเหยาเคยประสบพบเจอความลำบากในเขตของพวกเรามาไม่น้อย ไหนจะยังมีเรื่องของมันอีก”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยเดาออกมา
มิอาจโทษเขาได้เรื่องแผนสมคบคิดที่ว่า เพียงแต่โหมวเหยาผู้นั้นโอหังเสียยิ่งกว่าอะไร ทั้งยังจิตใจคับแคบนัก เรื่องราวคราก่อนย่อมมิอาจปล่อยผ่านได้ขนาดนั้น
หนานซู่ไหวผงกศีรษะรับ
“ไท่ซวีเฟิ่งหลงกับหงส์ทองคำเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลสองเผ่าใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างสองเผ่านับว่าเบาบางมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะไม่ได้แตกหักกันซึ่งหน้า แต่กลับมีการตีกันในที่ลับอยู่ไม่น้อย สำหรับพวกมันแล้ว สายเลือดของเผ่าทำพันธสัญญากับมนุษย์ย่อมมิใช่เรื่องน่าเชิดชูอันใด ถึงขั้นนับได้ว่าเป็นจุดด่างพร้อยได้เลยด้วยซ้ำ”
“ตอนนี้ข่าวนางหนูเยว่เออร์ทำพันธสัญญากับหงส์ทองคำย่อมกระจายออกไปเป็นแน่แล้ว จุดสำคัญอยู่ที่ว่านอกจากนี้แล้ว นางยังทำพันธสัญญากับอินทรีสามตาอีกด้วย”
คนธรรมดายามได้ยินเรื่องแบบนี้ ความคิดแรกที่ผ่านเข้าหัวมาย่อมต้องตกตะลึงและสงสัยใคร่รู้
อย่างไรเสียการทำพันธะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัวในเวลาเดียวกันเป็นเรื่องที่หาได้ยากอยู่แล้ว
ทว่าถ้าลอยไปถึงหูเผ่าหงส์ทองคำเมื่อไร ย่อมมิใช่เรื่องดีอะไรแน่
“เผ่าหงส์ทองคำคงถูกเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงหัวเราะเยาะมาเพราะเรื่องนี้เป็นแน่”
ดังนั้น ท่าทีของพวกมันจึงออกมาแข็งกร้าวเช่นนี้
คนทั้งหลายต่างเงียบเสียงลงโดยพลัน
คำพูดนี้ของหนานซู่ไหวใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
“มิต้องพูดถึงเยว่เออร์เลย เรื่องนี้เป็นข้าก็ไม่มีทางตอบรับ”
ซั่งกวนจิ้งพลันเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าสีหน้ากลับหนักแน่นอย่างมาก
อีกฝ่ายมิได้มองฉู่หลิวเยว่อยู่ในสายตาแต่แรกแล้ว!
ช่างอัปยศอดสูเสียนี่กระไร!
“ผู้อาวุโสซั่งกวนโปรดวางใจ เยว่เออร์เป็นศิษย์ของข้า เรื่องครานี้ข้ากับท่านมีจุดยืนเดียวกัน”
หนานซู่ไหวคลายสีหน้าลงโดยพลัน
“ข้าจะตอบสารกลับไปคุยกับพวกมันให้รู้เรื่องด้วยตัวเอง! เรื่องนี้มิอาจเจรจาด้วยได้เด็ดขาด!”
ตอนนี้นางหนูเยว่เออร์ยังคงหมดสติ ฝั่งหงส์ทองคำกลับเขียนสารเช่นนี้มา นับว่ารังแกกันเกินไปแล้ว!
“ข้าไปเอง”
สุ้มเสียงติดแหบพร่าน้อยๆ พลันแว่วดังขึ้นมาจากด้านข้าง
คนทั้งหลายต่างหันศีรษะไปมองอย่างตื่นตกใจ พบว่าประตูเรือนถูกคนเปิดออก เงาร่างเพรียวเบาเดินสาวเท้าออกมาหยุดยืนอยู่ที่บานประตู
เป็นฉู่หลิวเยว่นั่นเอง
แววตาหรงซิวสั่นไหวน้อยๆ เขารีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาเป็นคนแรก
ฝีเท้าของเขาไม่รีบร้อน หากแต่ความเร็วกลับว่องไวนัก
เวลาชั่วพริบตา คนก็ไปถึงหน้าประตูแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ?”
หรงซิวยื่นมือออกไปทาบหน้าผากนาง
ฝ่ามือหนาอบอุ่นนัก กระแสความอุ่นร้อนที่ทาบหน้าผากแผ่ขยายไปทั่วร่างกาย
ฉู่หลิวเยว่ฉีกยิ้มน้อยๆ
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
นางเผยหน้ากลางอรุณ คงเป็นเพราะนอนหลับนานเกินไป ครั้นเพิ่งตื่น ดวงหน้าจึงยังแฝงแววแดงระเรื่อน้อยๆ
นัยน์ตาดำขลับใสกระจ่าง เป็นประกายดุจดวงดารา
เรือนผมดำเงางามของนางปรกลงมายุ่งเหยิงอยู่บ้าง บนร่างสวมเพียงชุดคลุมตัวนอกสีขาว
หรงซิวกวาดตามองทั้งตัวของนางอย่างรวดเร็ว แววตาลึกล้ำขึ้นน้อยๆ
รอบเอว…ดูจะเล็กลงกว่าเดิมอีก
หรงซิวส่งเสียง ‘อืม’ เบาๆ คราหนึ่ง ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสีดำออกมาสวมพาดบนตัวนาง
ร่างกายพลันรู้สึกหนักขึ้นในทันใด ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
นางไม่หนาวเสียหน่อย
ทว่าหรงซิวกลับมิหยุดการเคลื่อนไหว ทั้งยังช่วยนางจัดคอเสื้ออย่างระมัดระวัง
หลังจากจัดแจงเสร็จเรียบร้อย เขาก็ถอยหลังมาครึ่งก้าว พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“อากาศหนาว อย่าปล่อยให้ตัวเย็น”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว แสงอาทิตย์กำลังพอดี นางถูกห่อตัวด้วยเสื้อคลุมหนาใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องร้อนแน่ จะไปรู้สึกเย็นได้อย่างไร?
ทว่ายามสบเข้ากับนัยน์ตาหงส์ลึกล้ำที่แสนจะราบเรียบ ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ก็สั่นไหวน้อยๆ สุดท้ายก็ยอมผงกศีรษะรับรัวเร็ว
“เยว่เออร์”
พวกซั่งกวนจิ้งเองก็เดินมาถึงแล้ว ต่างกวาดตามองหน้าด้วยสีหน้าปลื้มปิติ
ยามเห็นว่าสภาพจิตใจนางปกติดี บาดแผลบนตัวบนหน้าเองก็เริ่มจางหายไปไม่น้อยแล้ว ทุกคนจึงวางใจลงได้เปลาะหนึ่ง
“เดิมพวกข้าคิดว่ายังต้องรออีกระยะหนึ่งเลยกว่าเจ้าจะฟื้น ร่างกายเป็นอย่างใดบ้างเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่ยกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ วาดเป็นรอยยิ้มส่งให้
“ขอบคุณองค์ไท่จู่และท่านอาวุโสทั้งหลายที่เป็นห่วง เยว่เออร์ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
ความจริงนางรู้สึกตัวตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว เพียงแต่ร่างกายอ่อนล้าเกินไป จึงมิอาจตื่นขึ้นมาได้
บัดนี้รักษาตัวจนใกล้หายดีแล้วถึงสามารถยันตัวลุกขึ้นมาได้
“เช่นนั้นก็ดี!”
หนานซู่ไหวถอนใจแผ่วเบา สายตาที่มองนางเปี่ยมด้วยความเอ็นดูถึงที่สุด
“ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
ในใจของฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกอุ่นวาบ นางส่ายศีรษะ
“ความจริง ต้องบอกว่าข้าต่างหากที่ลากสำนักมาเกี่ยวข้องด้วย…”
หนานซู่ไหวเบิกตากว้าง
“นางหนูนี่ พูดจาไร้สาระอันใดออกมากัน!”
ใครจะกล้าพูดเล่าว่าครานี้เป็นเพราะลูกศิษย์สุดที่รักของเขา หนานซู่ไหวที่ก่อเรื่อง เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ รู้ว่าต่อหน้าอาจารย์ย่อมมิอาจพูดเรื่องนี้ออกมาได้ จึงกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปจนสิ้น
หรงซิวรู้ถึงความคิดของนางก็พลันหัวเราะออกมาเสียงเบา
“ทุกสิ่งทุกอย่างในสำนักเริ่มกลับเข้าที่ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป”
ฉู่หลิวเยว่ถึงได้วางใจจริงๆ เสียที
นางพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ได้รับผลลัพธ์ตอบกลับมาเช่นวันนี้ นางก็นับว่าไร้สิ่งใดให้เสียใจแล้ว
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หันมองหนานซู่ไหวอีกครา
“ท่านอาจารย์ บนสารได้เขียนบอกวันเวลาไว้หรือไม่?”
หนานซู่ไหวตะลึงไปครู่หนึ่ง ถึงรู้สึกตัวว่านางกำลังถามเรื่องอะไร จึงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นอย่างอดไม่อยู่
เดิมเขาคิดจะปฏิเสธไปตรงๆ ทว่ายามมองเห็นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่แล้วพลันบังเกิดความลังเลขึ้นมาเสียได้
“เจ้า…คิดจะไปจริงหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ถวนจื่อเป็นสัตว์อสูรในพันธะของข้า แต่ก็เป็นสัตว์ในเผ่าหงส์ทองคำด้วย รอบนี้ข้าไม่ไปไม่ได้”
…………….