ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1557 ลมพัดหวนขึ้น
ตอนที่ 1557 ลมพัดหวนขึ้น
…………….
เป็นทั้งคำอนุญาต และเป็นทั้งคำสัญญา
…
หลังจากฉู่หลิวเยว่เอ่ยประโยคนี้จบ ก็สลบเหมือดคาอกหรงซิวไปทั้งอย่างนั้น
นางใช้พลังของตนจนหมดสิ้นไปนานแล้ว เพียงแต่พึ่งพาแรงใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้นถึงยังคงฝืนอยู่ต่อได้อย่างยากลำบาก
หลังเห็นว่าค่ายกลกระสวยสวรรค์จัดการแก้ปัญหาใหญ่ได้แล้ว ใจของฉู่หลิวเยว่ก็ผ่อนคลายในพลัน สุดท้ายก็ฝืนต่อไม่ไหว จมลงสู่ห้วงภวังค์
การหลับใหลครานี้กินเวลายาวนานถึงหนึ่งเดือน
…
ณ เขาจิ่วเหิง
ภายในห้องโถงใหญ่ มีคนจำนวนไม่น้อยนั่งแบ่งกันสองฝั่ง
“นางหนูเยว่เอ๋อร์หมดสติไปนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่ฟื้นกัน?”
หนานซู่ไหวถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ซั่งกวนจิ้งชะงัก ก่อนเอ่ยว่า
“ระยะนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมายนัก แรงกายแรงใจของนางถูกใช้ไปจนหมดสิ้น บัดนี้ได้พักผ่อนเสียที หลับไปนานหน่อยถือเป็นเรื่องปกติ”
ในหมู่ของผู้อยู่ในเหตุการณ์ เกรงว่าเขาคือคนที่เข้าใจดีที่สุดว่าเด็กคนนั้นผ่านความยากลำบากมามากแค่ไหน
มองจากมุมของคนนอกแล้ว อาจรู้สึกว่าที่ฉู่หลิวเยว่สามารถบุกทะลวงจากระดับแปดขั้นกลางมาจนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงได้ติดๆ กันในเวลาไม่กี่เดือนสั้นๆ ช่างเป็นชะตาชีวิตที่ยอดเยี่ยมนัก
ทว่าใครเล่าจะรู้บ้างว่าระหว่างทางนางต้องประสบพบเจอสิ่งใดมาบ้าง!
โดยเฉพาะตอนที่นางหวนเข้าสู่อาณาจักรเซียนเทพ ถูลู่ถูกังจนบุกทะลวงสู่ระดับเทพขั้นสูง…
คนธรรมดาใช้เวลาหลายสิบปียังทำไม่สำเร็จ นางทำสำเร็จทั้งหมดได้ในเวลาไม่กี่เดือนสั้นๆ จะไม่เหนื่อยล้าเลยได้อย่างไรกัน?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซ่อมแซมค่ายกลกระสวยสวรรค์ล่าสุดเพื่อพลิกวิกฤตให้กลับคืนมาดี
นั่นเรียกได้ว่าแทบผลาญทุกอย่างของนางเลยทีเดียว
หนานซู่ไหวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ผ่อนคลายลงไปบ้าง
“ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล หลายปีมานี้…นางหนูนั่นต้องลำบากไม่น้อยทีเดียว อย่างไรเสียเรื่องพวกนั้นของสำนักก็มอบให้พวกเขาจัดการเถิด ปล่อยให้นางหนูเยว่เออร์ได้พักผ่อนเต็มอิ่มก็พอ”
เพราะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยตั้งแต่ตอนนั้น จึงทำให้คนเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ ทุกวันพวกเขาจะพากันมานั่งที่นี่สักพักหนึ่ง น่าเสียดายที่ป้อนยาก็แล้ว ลองหาวิธีก็แล้ว คนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นแม้แต่นิดเดียว
จะหลับไปถึงเมื่อไรกันหนอ ในใจพวกเขาล้วนไร้เบาะแสโดยแท้ จึงพากันกระวนกระวายอยู่ไม่สุข
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั่งอยู่ด้านข้าง เขามองซั่งกวนจิ้ง ก่อนจะหันไปมองหนานซู่ไหวพลางลอบถอนใจออกมาเงียบๆ
ความจริงแล้วเขามีเรื่องมากมายอยากถามนัก หากแต่ระยะนี้นางหนูเยว่เออร์ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ ใจของคนใหญ่โตทั้งหลายล้วนอยู่ที่นางทั้งสิ้น
เขาจึงไม่ได้ถามซักไซ้มากมายอีก
อีกทั้งในหมู่คนใหญ่คนโตเหล่านี้ เห็นชัดเลยว่าพวกเขาล้วนเข้าใจกันและกันโดยไม่ต้องพูดออกมา ทั้งยังไม่เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องของนังหนูเยว่เออร์เลยแม้แต่คราเดียว
เช่นว่าปีนั้นเหตุใดถึงหลงเหลืออาณาเขตเซียนเทพเอาไว้ที่เขาเฝิงหมิน แล้วเหตุใดถึงได้จากไปกะทันหันตั้งหลายปี ไม่มีข่าวคราวส่งมาแม้แต่น้อย
ยามปรากฏตัวอีกครา ก็เปลี่ยนตัวตนใหม่ทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง
กระทั่งเรื่องที่ว่าความทรงจำของนางขาดหายไปในระหว่างนั้นอีก
หลังจากความวุ่นวายที่เขาหมื่นเมรัย นางยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะลงไปให้ได้ เป็นเพราะว่าต้องการชดใช้ความผิดที่หงส์ทองคำกลืนกินพลังทัณฑ์สวรรค์แค่นั้นจริงๆ หรือ?
อีกอย่าง ยังมีเรื่องที่พำนักของเจ้าสำนักในหลายปีมานี้อีก…สรุปแล้วเขาไปไหนกันแน่? เหตุใดถึงได้กลับมาในช่วงวิกฤตสุดท้ายกัน?
หลังเรื่องราวจบสิ้นลากยาวมาถึงตอนนี้ ก็มีคนหลงเหลืออยู่ในสำนักไม่มากนัก
ปริศนาครั้งแล้วครั้งเล่าทำเอาเขาวุ่นวายอย่างมาก ใจเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
ทว่าตอนนี้ ความใคร่รู้และความไม่เข้าใจเหล่านั้นล้วนทำได้แค่ระงับมันไว้ชั่วคราวเท่านั้น
นอกบานประตูพลันแว่วเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย
คนทั้งหลายพากันทยอยแหงนศีรษะขึ้น ที่เดินเข้ามาหาใช่คนอื่นไกล เป็นหรงซิวที่ช่วงนี้คอยดูแลฉู่หลิวเยว่อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดนั่นเอง
หนานซู่ไหวผุดลุกขึ้นคนแรก
“หรงซิว นางหนูเยว่เอ๋อร์เป็นอย่างใดบ้าง?”
หรงซิวมีสีหน้าเรียบนิ่ง
“ยังไม่ฟื้นขอรับ”
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างเผยสีหน้าผิดหวัง
แม้นจะเดาได้ แต่พอได้ยินคำพูดนี้ ก็มิอาจเลี่ยงความรู้สึกโหวงในใจได้อยู่ดี
“แต่ว่าบาดแผลบนตัวนางรักษาจนใกล้หายดีแล้ว”
แม้บาดแผลของนางจะสาหัส แต่บัดนี้นางก้าวสู่ระดับเทพขั้นสูงอีกครั้งแล้ว พลังการฟื้นฟูร่างกายย่อมดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
เหตุผลที่ครานี้หมดสติไปนานเพียงนี้ก็เหมือนที่ซั่งกวนจิ้งพูดไม่มีผิด ก่อนหน้านี้นางล้าเกินไป จึงต้องการการพักผ่อนอย่างมาก
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี…”
คนทั้งหลายสบสายตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะพากันพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แม้คนจะยังไม่ฟื้น
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกข้าก็วางใจแล้ว เจ้าไปดูแลนางต่อเถอะ พวกข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
มีหรงซิวอยู่ ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วจริงๆ
หรงซิวผงกศีรษะรับ
“น้อมส่งทุกท่าน”
คนทั้งหลายจึงหยัดกายเดินมุ่งหน้าไปยังด้านนอก
…
ทันทีที่เดินมาถึงประตู พลันยินเสียงความผันผวนแว่วดังเข้ามา
หว่างคิ้วของหรงซิวกระตุกน้อยๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นเบาๆ
ค่ายกลของเขาจิ่วเหิงพลันเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
เงาร่างอันคุ้นเคยกระโจนเข้ามาอย่างว่องไว
“เจ้าสำนัก!”
คนมาใหม่รีบร้อนผลุนผลันเข้ามา หว่างคิ้วประดับด้วยความวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย
เป็นผู้อาวุโสเหวินซีนั่นเอง
“เหวินซี เจ้ามาได้อย่างใดกัน?”
หนานซู่ไหวเดินออกประตูไป ยามเห็นคนมาใหม่ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
คำนวณเวลาคร่าวๆ แล้ว บัดนี้ผู้อาวุโสเหวินซีควรกำลังจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสำนักอยู่
ผู้อาวุโสเหวินซีสาวเท้ามาข้างหน้า แล้วยื่นขนหงส์ทองคำที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือส่งให้พลางนิ่วหน้า
“เจ้าสำนัก เผ่าหงส์ทองคำส่งสารมา”
“หงส์ทองคำหรือ?”
หนานซู่ไหวรับขนเส้นนั้นมา
ขนทั้งเส้นเป็นสีทองบริสุทธิ์ แข็งกล้าดั่งเหล็ก ทั้งยังปกคลุมขนทั้งเส้นด้วยแรงกดดันมหาศาลรางๆ ชั้นหนึ่ง
นี่เป็นเครื่องหมายของเผ่าหงส์ทองคำจริงๆ
“ถูกต้อง อีกอย่างสารฉบับนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่เปิดดูเนื้อความในได้”
ผู้อาวุโสเหวินซีกล่าวเสริม
“แต่ไหนแต่ไรมาพวกมันติดต่อกับเผ่ามนุษย์นับครั้งได้ เหตุใดวันนี้ถึงได้เขียนสารส่งมาหาพวกเรากัน?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพึมพำอย่างแปลกใจไม่น้อย
หนานซู่ไหวกลับนึกบางอย่างออกในบัดดล สีหน้าพลันแข็งกร้าวขึ้นมา
เขาออกแรงน้อยๆ ที่ปลายนิ้ว ขนเส้นนั้นพลันทอแสงเจิดจ้าในทันที
จากนั้น พลันมีตัวอักษรขีดเขียนปรากฏขึ้นกลางอากาศ
หนานซู่ไหวจ้องมันเขม็ง ยามอ่านได้ครึ่งหนึ่งก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
รอจนกระทั่งอ่านสารทั้งหมดจบ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมอย่างเต็มที่ เคลือบไว้ด้วยไอเย็นชั้นหนึ่ง
ไม่นานนัก ตัวอักษรเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไป
ส่วนขนสีทองบริสุทธิ์เส้นนั้นก็เผาไหม้กลายเป็นเถ้าอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะปลิวหายไปตามลม
“เจ้าสำนัก พวกมันว่าอย่างใดบ้าง?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
พวกเขายืนอยู่ด้านข้าง มิอาจดูได้ว่าบนนั้นเขียนอะไรไว้กันแน่
หนานซู่ไหวชะงักไปพักหนึ่ง
“นี่เป็นสารเขียนมือจากหัวหน้าเผ่าหงส์ทองคำ”
คนทั้งหลายต่างตื่นตกใจกันถ้วนทั่ว
“หัวหน้าเผ่ารึ? แต่มันมิได้เผยตัวออกมาหลายร้อยปีแล้วมิใช่หรือ? ได้ยินว่าอุปนิสัยเองก็หยิ่งยโสนัก จึงมิเคยติดต่อกับเผ่ามนุษย์มาก่อน”
เผ่าหงส์ทองคำเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาล ในกมลสันดานของพวกมันล้วนแต่หยิ่งผยองนัก
ทว่าหัวหน้าเผ่าตัวนี้กลับพิเศษยิ่งกว่า
ได้ยินว่าครานั้นมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ต้องการสมุนไพรรักษาตัวหนึ่งที่มีเพียงเผ่าหงส์ทองคำเท่านั้นที่มีในครอบครอง ดังนั้นจึงไปเยือนถึงถิ่นเพื่อร้องขอ
ผลลัพธ์คือรอหน้าประตูเขตของเผ่าหงส์ทองคำอยู่สามวันสามคืน อีกฝ่ายกลับมิยอมออกมาพบหน้ากันแม้แต่น้อย
สุดท้ายผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นจำต้องจากไปด้วยความผิดหวัง อีกทั้งหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีโรคร้ายติดตัว ชั่วชีวิตมิอาจพัฒนาขีดจำกัดพลังของตนได้อีก
ทุกคนได้ยินดังนั้นแล้ว ต่างก็ถอนใจไม่หยุด
ไม่คิดไว้หน้ากระทั่งผู้แข็งแกร่งศักดิ์สิทธิ์ เห็นชัดถึงความหยิ่งผยองที่เผ่าหงส์ทองคำมี!
ทว่าตอนนี้ เหตุใดมันถึงได้ส่งสารมาหากัน?
หนานซู่ไหวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“มันต้องการให้นางหนูเยว่เอ๋อร์ยกเลิกพันธสัญญากับหงส์ทองคำตัวนั้น แล้วไปขอขมาถึงหน้าประตูด้วย!”
…………….