ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1540 ช่วยชีวิต
ตอนที่ 1540 ช่วยชีวิต
…………….
คำพูดนี้ของซั่งกวนจิ้งหนักแน่นนัก มิได้ไว้ไมตรีแก่อี้เหวินจั๋วเลยแม้แต่น้อย
ทั้งยังวาดฝ่ามือฟาดลงบนดวงหน้าของเขาต่อหน้าพวกผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนอย่างแรงด้วย!
สีหน้าของอี้เหวินจั๋วซีดขาว เขาสะบัดชายเสื้อคลุมอย่างแรง ก่อนทำท่าจะลงมือโต้กลับ!
“ผู้อาวุโสซั่งกวนเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ พันปีก่อนก็กวาดล้างศัตรูแก่อาณาจักรเสิ่นซวี่จนราบคาบ สถานะสูงส่งยิ่ง เหวินจั๋ว ท่าทีเช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างใด คิดจะลงมือหรือ?”
เมิ้งเหล่าที่อยู่ด้านข้างพลันเปิดปากแทรกขึ้นมา
แม้นน้ำเสียงจะราบเรียบ ทว่ากลับแฝงไปด้วยความเย็นเยียบอยู่หลายส่วน
อี้เหวินจั๋วอับจนคำพูดโดยพลัน
สถานะรองเจ้าสำนักของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธแล้วก็มิอาจนับว่าเป็นอันใดไปได้โดยแท้!
ต้องรู้ก่อนว่า กระทั่งทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่ ปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธเองก็ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแนวหน้าที่ทำกระไรตามใจได้ทั้งนั้น
ต่อให้เทียบกับระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ขั้นเดียวกัน ก็ยังคงมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่ากระทั่งเซียนหมอระดับปรมาจารย์อยู่ดี!
เขากำหมัดแน่น ก่อนจะกล้ำกลืนคำพูดลงคอไปอย่างยากลำบาก
“ท่านอาจารย์ มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านบอกว่ากลับมาครานี้ จะไปหาของที่หอระฆังบูรพกษัตริย์?”
จวินจิ่วชิงพลันเอ่ยปากออกมาทำลายบรรยากาศอันเย็นยะเยือก
“ตอนนี้สถานการณ์ของเขาหมื่นเมรัยเองก็มั่นคงขึ้นบ้างแล้ว มีพวกเมิ้งเหล่าอยู่ที่นี่ ท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลหรอกขอรับ”
คำพูดนี้นับว่าหาทางลงให้อี้เหวินจั๋วโดยแท้จริง ทำให้คำพูดก่อนหน้านี้ที่ฟังดูเย็นชาของเขา ทั้งกิริยาล่วงเกินที่ทำออกไปทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะเป็นห่วงสำนักทั้งสิ้น
อี้เหวินจั๋วยอมรามือในที่สุด เขาแค่นเสียงเย็นเยียบ
“แต่ก็หวังว่าค่ายกลกระสวยสวรรค์นี่จะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้ก็แล้วกัน!”
พูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อคลุมคราหนึ่ง ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังหอระฆังบูรพกษัตริย์
จวินจิ่วชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองเขาหมื่นเมรัย สุดท้ายแล้วก็ตามอี้เหวินจั๋วไป
ไม่ช้า เงาร่างของคนทั้งสองก็จากไปไกล
อี้เหวินจั๋วเป็นรองเจ้าสำนัก แม้นสิทธิ์ส่วนใหญ่จะอยู่ในมือของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน หากแต่คุณสมบัติในการไปเยือนหอระฆังบูรพกษัตริย์ยังคงมีอยู่
“ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ เขาจะสะสมความกราดเกรี้ยวเอาไว้ไม่น้อยเลย”
เมิ้งเหล่ามองตามหลังของพวกเขาไปพลางขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงแค่นเสียงเย็นเยียบในลำคอ
“แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ?”
นึกย้อนไปถึงปีนั้น อี้เหวินจั๋วตั้งใจแน่วแน่ว่าจะชิงเอาตำแหน่งเจ้าสำนักมาให้ได้
หลังจากตำแหน่งเจ้าสำนักตัวจริงถูกส่งต่อให้ศิษย์น้อง เขาก็ยังเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ไม่หายเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในใจเขาก็บังเกิดความรู้สึกโกรธแค้นอยู่เต็มอก
โกรธแค้นเจ้าสำนักรุ่นก่อนที่ยังเป็นอาจารย์ของเขา ทั้งยังโกรธศิษย์น้องของตน ผู้เป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบัน
หลายปีก่อน เจ้าสำนักจากไป หลังมอบอำนาจส่วนใหญ่ให้แก่ปั๋วเหยี่ยน อารมณ์ไม่พึงพอใจของเขาก็ทะยานถึงขีดสุด
หากเรื่องราวมิเป็นเช่นนี้ เขาเองก็คงไม่ออกจากสำนักหุนหันเพียงนั้น ทั้งยังไม่กลับมาอีกหลายปี อีกทั้งในช่วงระยะเวลานี้
เขาก็มิได้ถามไถ่ข่าวคราวของสำนักอีกเลย
อี้เหวินจั๋วรู้สึกมาโดยตลอดว่าทุกคนในใต้หล้าล้วนปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมต่อเขา ทว่ากลับมิเคยนึกย้อนถึงตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
เขามิเคยคิดมาก่อนว่าเหตุใดตำแหน่งของเจ้าสำนักถึงมิตกถึงเขา แลเหตุใดทุกคนถึงได้รังเกียจเขาปานนี้
“สำนักประสบภยันตราย ความคิดแรกของเขากลับคิดถึงแค่ตัวเอง ตั้งแต่ที่เขากลับมา เขาเคยทำอันใดเพื่อศิษย์และสำนักบ้างหรือยัง?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงไม่ชอบใจในตัวเขามานานแล้ว หากแต่ก่อนหน้านี้เขายังอดกลั้นมาโดยตลอด
หากแต่เรื่องราวครานี้ ทัศนคติแลความคิดของอี้เหวินจั๋วช่างทำให้คนรู้สึกขยาดถึงขีดสุดโดยแท้
“พอได้แล้ว ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้ว”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกลับใจกว้างต่อเรื่องนี้นัก
“จากนี้ต่อไปอีกหนึ่งเดือน คอยเฝ้าระวังค่ายกลกระสวยสวรรค์ให้ดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
ทุกคนต่างก็ผงกศีรษะรับ มิได้เอ่ยสิ่งใดถึงเขาอีก
“เมิ้งเหล่า”
ซั่งกวนจิ้งพลันเปิดปากขึ้น
“เกี่ยวกับเรื่องที่ก่อนหน้านี้เยว่เออร์อยู่ในสำนัก มิทราบว่า… ท่านพอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
ความจริงแล้วเขาก็ดูออกว่าในสำนักมีผู้อาวุโสจำนวนไม่น้อยที่รักใคร่เอ็นดูนังหนูเยว่เออร์
ทว่าเมื่อตรึกตรองได้ว่าเมิ้งเหล่ามีสถานะสูงสุดในสำนัก อีกทั้งยังช่วยนางเฝ้าดูอาณาเขตเซียนเทพมาหลายปี ถามเขาเองคงจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่สุด
เมิ้งเหล่าโบกมือหยอยๆ
“ท่านไม่ต้องเกรงใจไป เรียกข้าว่าเมิ้งเซียนก็พอแล้ว ส่วนเรื่องของนังหนูเยว่เออร์… จะว่าไปเรื่องก็ยาวจริงๆ…”
เขาหรี่ตาลงราวกับกำลังระลึกถึงเรื่องอันใดบางอย่าง
“ต้องพูดก่อนเลยว่าตอนที่นังหนูเยว่เออร์เข้าสำนักมาได้ใหม่ๆ แท้จริงแล้วนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้…”
…
เขาหมื่นเมรัยถูกค่ายกลกระสวยฟ้าปกคลุมทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
เรียกได้ว่าหนาแน่นจนอากาศแทบลอดผ่านไม่ได้
หากดูจากภายนอกแล้ว จะเห็นเพียงภูเขาครึ่งลูกที่ถูกหั่นผ่าออกพร้อมด้วยเส้นโครงสีเงินที่เกี่ยวรัดพัดรึงกันจำนวนนับไม่ถ้วน
บนกลางอากาศ ทั้งสี่ทิศล้วนมีผู้อาวุโสคอยประจำเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
ไอเย็นอันน่าหวาดหวั่นดูจะถูกผนึกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งไร้ซึ่งวี่แววของการเคลื่อนไหวอันน่าผวาเยี่ยงก่อนหน้านี้
ทว่าบรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่ายังต้องจับตาดูค่ายกลกระสวยสวรรค์ต่ออีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ดังนั้นพวกเขาจึงมิกล้าวางใจลงได้เต็มที่
บรรดาศิษย์ทั้งหมดล้วนแต่อาศัยอยู่ในเขตแดนของตน ไม่ว่าจะพักผ่อนหรือฝึกปรือฝีมือก็ตาม
กระทั่งคนที่ไปจัตุรัสชิงหมิงเองก็จากกันไปจนแทบไม่เหลือแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเขาหมื่นเมรัยในวันนั้นเป็นดั่งก้อนหินหนักอึ้งที่กดทับจิตใจของคนจำนวนไม่น้อย
หากค่ายกลกระสวยสวรรค์ยังไม่ถูกยับยั้งโดยสมบูรณ์ ใจของพวกเขาก็มิอาจสงบนิ่งลงได้
แน่นอนว่ายังมีคนจำนวนหนึ่งที่กังวลเรื่องของหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ที่ยังคงติดอยู่ข้างในนั้นยิ่งกว่า
…
“ผ่านไปสามวันแล้ว ค่ายกลกระสวยสวรรค์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ เกล็ดน้ำแข็งบนเขาหมื่นเมรัยเองก็ลดลงแล้ว มิรู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะออกมาได้ตอนไหน”
บรรดาคนจากตระกูลหลัวพากันมารวมตัวกันอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง
คนที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมาคือหลัวเยี่ยนหมิงนั่นเอง
เดิมทีพวกเขาวางแผนว่าจะมาแลกเปลี่ยนวิชาฝึกปรือฝีมือด้วยกัน ทว่าทุกคนล้วนไม่มีกะจิตกะใจจะทำ จึงต้องหยุดพักแผนนี้ไว้ชั่วคราว
ในตอนนี้ ความสนใจของพวกเขาล้วนหยุดอยู่บนเขาหมื่นเมรัยกันทั้งสิ้น
จัวเซิงเกาศีรษะแกรกๆ อย่างอดไม่อยู่
“นี่… หรงซิวกับฉู่… กับซั่งกวนเยว่ล้วนแต่เป็นระดับเทพขั้นสูงกันทั้งนั้น หรงซิวไหนจะมีร่างศักดิ์สิทธิ์อีก! น่าจะ… น่าจะออกมากันได้กระมัง? อีกอย่างซั่งกวนเยว่เองก็มีไพ่ลับอยู่ในมือเป็นสิบเลยไม่ใช่หรือไรกัน?”
แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ดวงตาเองก็ฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด
พลังของคนทั้งสองแข็งแกร่งมากจริงๆ ทั้งยังมีไพ่ลับแข็งแกร่งเต็มไปหมด
ทว่าครานี้เขาหมื่นเมรัยเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น เกรงว่า… จะมิอาจจัดการได้ง่ายดายปานนั้น!
“หนึ่งเดือนหลังจากนี้ เขาหมื่นเมรัยน่าจะถูกทลายจนราบเป็นหน้ากลองเลยกระมัง?”
หลัวซือซือพึมพำเสียงต่ำอย่างเหม่อลอย
คนทั้งหลายต่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
หากถึงเวลานั้นแล้วคนทั้งสองยังไม่ออกมา…
ค่ายกลกระสวยฟ้าน่าหวาดผวาเพียงนี้ กระทั่งเมิ่งเหล่ากับซั่งกวนจิ้งยังจนปัญญาทำอันใดไม่ได้ พวกเขาจะไปทำอันใดได้กันเล่า?
“อือ? สองคนนั้นมาทำอันใดที่นี่กัน?”
ทันใดนั้นเอง สายตาจัวเซิงก็หยุดชะงัก ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
คนทั้งหลายมองตามสายตาของเขาไป ก่อนจะพบว่าบนยอดเขาฝั่งตรงข้าม มีคนสองคนกำลังยืนพูดคุยอันใดกันอยู่บนไหล่เขา ทั้งยังทำท่าทำทางใส่กันและกันด้วย
ดูเหมือนว่ากำลังพูดคุยเรื่องราวอันใดบางอย่างกันอยู่
“นั่นมัน… หลินจือเฟยกับมู่หงอวี่นี่?”
หลัวซือซือรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“เหตุใดพวกเขาสองคนถึงมาอยู่ด้วยกันได้เล่า?”
“ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้หลินจือเฟยเคยได้ชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ช่วยชีวิตเอาไว้ คงจะเป็นซั่งกวนเยว่กระมัง ส่วนมู่หงอวี่ก็เป็นเพื่อนสนิทของนาง แต่สองคนนี้มิเคยรู้จักกันมาก่อนมิใช่หรือ?”
นั่นหมายความว่า สองคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคนที่วิตกกังวลเรื่องสถานการณ์บนเขาหมื่นเมรัยมากที่สุดแล้ว เพียงแต่มิรู้ว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ไปเพื่อเหตุใด?
…
บนไหล่เขาฝั่งตรงข้าม หลินจือเฟยจ้องไปยังมู่หงอวี่เขม็ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าทำแบบนี้แล้วจะช่วยพวกเขาออกมาได้?”
…………….