ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1539 ไว้หน้า
ตอนที่ 1539 ไว้หน้า
…………….
ด้านนอกเขาหมื่นเมรัย ภายใต้การจับจ้องของสายตานับไม่ถ้วน ค่ายกลกระสวยสวรรค์ปกคลุมไปทั่วยอดเขาสูงใหญ่โดยสมบูรณ์
เส้นโครงสีเงินทุกสายล่องลอยแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง ผ่าแบ่งเอาเขาหมื่นเมรัยออกเป็นสองส่วนในชั่วพริบตา!
เกล็ดน้ำแข็งสีเลือดที่ปกคลุมทั่วยอดเขาเริ่มละลาย จากนั้นก็หยดร่วงลงสู่พื้นดิน
ฝูงชนต่างเฝ้ารอดูอย่างเงียบงัน ตาก็จ้องเขม็งไปยังบนตาน้ำที่อยู่บนยอดเขา
คลื่นน้ำกระเพื่อมไหว หากแต่ท้ายที่สุดแล้วก็มิได้บังเกิดการเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาแม้แต่นิด
อีกทั้งเงาร่างสองร่างที่พวกเขาต้องการพบก็ไม่โผล่ออกมาแม้แต่เงา
เวลาดูจะเคลื่อนผ่านไปอย่างยากเกินจะรับไหว
…
ประกายแสงส่องสว่างทะลุผ่านชั้นเมฆหนาสาดส่องลงบนผืนดิน
ทุกสิ่งทุกอย่างประหนึ่งถูกยกเอาผ้าแพรโปร่งสีดำออก เผยให้เห็นรูปร่างแต่เดิมของพวกมันออกมา
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเงื้อศีรษะขึ้นมองอย่างเหม่อลอยอยู่หลายส่วน
ฟ้าสว่างแล้ว
ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก
“ปั๋วเหยี่ยน เกล็ดน้ำแข็งที่ปกคลุมบนยอดเขารอบๆ ละลายหายไปหมดแล้ว”
สุ้มเสียงของผู้อาวุโสฮวาเฟิงฟังดูสั่นเครือไม่น้อย
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมองตามสายตาของเขาไป กลับพบว่าภายใต้แรงกดดันมหาศาลของค่ายกลกระสวยสวรรค์ที่แผ่กระจายไปโดยรอบ มาบัดนี้กลับละลายหายไปจนหมดแล้ว
มีเพียงบนยอดเขาหมื่นเมรัยเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือเกล็ดน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่บ้าง
รอบๆ ยอดเขาที่ตาน้ำตั้งอยู่ยังมีเกล็ดน้ำแข็งอยู่มาก หากแต่ดูแล้วก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ค่ายกลกระสวยสวรรค์ดูไปแล้วมีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง ก่อนจะเริ่มรวบรวมพลังจากโดยรอบทั้งหมดมาไว้ ณ ใจกลางเพื่อเตรียมจัดการกับเกล็ดน้ำแข็งส่วนที่เหลือ
ในตอนนั้นเอง เส้นโครงสีเงินเหล่านั้นจึงมาปกคลุมรวมตัวกันอยู่บนเขาหมื่นเมรัยเพียงที่เดียวแล้ว
ทว่า… เขาหมื่นเมรัยในตอนนี้อยู่ในสภาพหลุมบ่อย่ำแย่จนแทบจำเค้าลางไม่ได้แล้ว
มันมินับว่าเป็นเขาลูกหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ หากแต่เปลี่ยนไปเป็นก้อนหินขนาดมหึมาที่ถูกขัดเจียระไนไว้เสียมากกว่า
รูปทรงของมันบิดเบี้ยว ก่อให้เกิดเป็นรูปร่างประหลาดตา
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้คนตื่นตกใจยิ่งกว่าเก่าคือ จนกระทั่งตอนนี้ ก้อนหินที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ยังคงหมุนวนเชื่องช้าตามค่ายกลกระสวยสวรรค์อย่างต่อเนื่อง
เส้นโครงทุกสายดูไปแล้วสว่างเรืองรองจับตานัก ทว่ากลับแฝงไว้ซึ่งรังสีสังหารนับไม่ถ้วน!
พวกเขาล้วนรู้แจ้งแก่ใจดีว่าพลังของค่ายกลกระสวยสวรรค์อันนี้น่าหวาดหวั่นถึงเพียงใด!
ทันทีที่สัมผัสโดน มันก็จะจัดการบีบรัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้มิให้มีโอกาสตอบโต้!
นั่นรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบที่อยู่ข้างในนั้นด้วย!
พื้นที่ที่บรรดาเกล็ดน้ำแข็งสีเลือดเหล่านั้นเหือดหายไปล้วนปรากฏเป็นพื้นที่สีดำไหม้เกรียม ดูแล้วไร้ซึ่งแววชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
พอเห็นภาพได้เลยว่า หากคิดจะฟื้นฟูทุกสิ่งให้กลับมาอยู่ในรูปแบบเดิมต้องผลาญเวลาและแรงกำลังไปไม่รู้กี่มากน้อย
“นี่มัน… คือสิ่งใดกันแน่…”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจับจ้องเขม็งไปยังตาน้ำ อดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงต่ำออกมา
ราวกับว่าเพราะถูกค่ายกลกระสวยสวรรค์ยับยั้งเอาไว้ ใจกลางตาน้ำจึงมิมีน้ำพุหลั่งไหลออกมาอีก ทั้งฟื้นฟูกลับไปอยู่ในสภาพแต่เดิม
ผิวน้ำมิอาจกระเพื่อม บริเวณรอบตาน้ำเองก็จับตัวแช่แข็งเป็นเกล็ด
ทว่าระหว่างที่ตาน้ำกำลังไหลทะลักก็ปรากฏเป็นผิวน้ำสีดำทมิฬลึก ทำให้มองไม่เห็นถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน
ก้อนหินสีเทาที่ถูกวางซ้อนทับกันเป็นชั้นที่ตั้งอยู่โดยรอบ บัดนี้เองก็ถูกพลังของค่ายกลกระสวยสวรรค์บีบรัดจนแตกกระเจิงกลายเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน
ภาพฉากนี้ทำให้ผู้คนที่ได้ยลมองต่างครุ่นคิดลึกล้ำ
เพราะว่าก้อนหินที่ล้อมรอบตาน้ำอยู่นั้นมีความพิเศษยิ่งนัก ถูกทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าลงตั้งมาหลายปี ฟาดฟันรอยเอาไว้ด้านบนไม่น้อย หากแต่มิเคยถูกทำลายแม้แต่น้อย
มาบัดนี้ ยามอยู่ต่อหน้าค่ายกลกระสวยสวรรค์ กลับมิมีกระทั่งแรงที่จะใช้ดิ้นรนต่อต้านเลยด้วยซ้ำ
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าคนทั้งสองที่อยู่ภายในตาน้ำจะ…
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนวดหว่างคิ้วของตน รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ
คนทั้งสองมีสถานะสำคัญอย่างยิ่งยวด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกที่เจ้าสำนักและบรรดาผู้อาวุโสมีต่อเด็กทั้งสองคนนั้นที่นับว่าไม่เลวเลยมาโดยตลอด
หากว่าเกิดขึ้นจริงละก็…
เขามิกล้าคิดไปมากกว่านี้แล้ว
หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็เบนสายตามองไปทางผู้อาวุโสท่านอื่น
“ฮวาเฟิง วั่นเจิง แล้วก็โอวหยาง แล้วก็…”
เขายังคงเรียกชื่อผู้อาวุโสต่ออีกสองสามท่าน
“พวกเจ้าทั้งหมดรั้งรออยู่ที่นี่ก่อน ส่วนคนอื่นกลับไปพักผ่อนพลางๆ แล้วกัน”
หลังจากต้องเผชิญความยากลำบากมาทั้งคืน ทุกคนต่างก็หมดเรี่ยวแรงกันเต็มที
กระทั่งพวกวั่นเจิงเองก็ยังคงยืนหยัดได้เพราะพึ่งพาแรงใจที่มี
“ทันทีที่ค่ายกลกระสวยสวรรค์เปิดใช้งาน มันจะยังคงมีผลต่อเนื่องถึงหนึ่งเดือน ภายในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ ทุกวันจะต้องมีคนมารับผิดชอบคอยเฝ้าดูอยู่ที่นี่ ดังนั้นหนึ่งเดือนนี้ พวกเราจะลดการป้องกันลงไม่ได้เด็ดขาด จะต้องระมัดระวังถึงขีดสุด เข้าใจกันใช่หรือไม่?”
พูดอีกอย่างก็คือนี่เป็นสงครามที่ยืดเยื้อฉากหนึ่ง
หากวันที่สองพวกเขาคลายแนวป้องกันลง ก็ไม่แน่ว่าจะตกม้าตายก็เป็นได้
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยเช่นนี้ บรรดาผู้อาวุโสต่างก็เข้าใจถึงผลลัพธ์ดี จึงพากันผงกศีรษะรับอย่างเห็นด้วย
“แล้วก็ หลังจากกลับไปแล้ว เอาใจใส่เรื่องสภาพจิตใจของพวกศิษย์สำนักด้วย”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนลอบถอนใจ
แม้นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่เขาหมื่นเมรัยครานี้จะมิได้สร้างความสูญเสียใหญ่โต หากแต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเป็นกังวลแลกระวนกระวายของบรรดาศิษย์ได้
ในช่วงระยะเวลานี้ สำนักหลิงเซียวมีปัญหายืดเยื้อพอทำให้ผู้คนรู้สึกย่ำแย่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นครานี้…
“ภายในหนึ่งเดือนนี้ ห้ามผู้ใดเข้าออกสำนักได้ตามใจโดยเด็ดขาด! เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดต้องมารายงานต่อข้า ข้าจะเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างเอง!”
บรรดาผู้อาวุโสต่างตื่นตกใจ
ทว่าหากลองคิดกลับกันแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาเฉพาะกิจ การทำเช่นนี้เองก็พอเข้าใจได้
หลังจากตอบรับคำเรียบร้อบแล้ว ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็พากันแยกย้ายกลับไป
เหลือเพียงพวกผู้อาวุโสวั่นเจิงเท่านั้นที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ที่นี่
“ผู้อาวุโสซั่งกวน ท่านเองก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามออกไป
“ที่นี่มีพวกข้าคอยเฝ้าดูอยู่ ทันทีที่… ทันทีที่สองคนนั้นออกมาแล้ว รับรองว่าพวกข้าจะไปแจ้งท่านเดี๋ยวนั้นทันที”
ซั่งกวนจิ้งส่ายศีรษะ
“ข้าจะอยู่ที่นี่ ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจข้า”
ในนัยน์ตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด ใต้ตาเองก็ปรากฏรอยคล้ำจางๆ
ดูไปแล้วอ่อนระโหยโรยแรงยิ่ง
ความจริงแล้ว แม้นตัวเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ทว่าร่างศักดิ์สิทธิ์หลับใหลยาวนานกว่าหมื่นปี ทั้งยังถูกพรากวิญญาณไป ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็รีบรุดตามสำนักหลิงเซียวมายังบุพกาลชายแดนเหนือด้วย
เดิมทีเขาก็มิได้ใส่ใจดูแลสภาพร่างกายตนเองมากนัก พละกำลังทั้งหมดจึงมิอาจเทียบได้กับจุดสูงสุดของชีวิตในปีนั้นได้
นี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดผู้อาวุโสฮวาเฟิงถึงได้วิตกกังวลเรื่องเขาปานนั้น
เมื่อเห็นท่าทียืนกรานของซั่งกวนจิ้ง ริมฝีปากของผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็สั่นระริก ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไปเงียบๆ
“เข้าใจแล้ว หากท่านต้องการอันใด ขอแค่บอกก็เป็นอันใช้ได้”
เขากำหมัดแน่น
“พวกข้าจะอยู่รอไปกับท่าน”
ซั่งกวนจิ้งพยักหน้ารับ สุ้มเสียงทุ้มต่ำเจือความแหบพร่าน้อยๆ
“ขอบคุณมาก”
“เพ้อเจ้อกันจริงๆ”
ด้านข้างพลันแว่วเสียงเยาะเย้ยเย็นเยียบของอี้เหวินจั๋วดังขึ้นมา
“ค่ายกลกระสวยสวรรค์เปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ยังมิอาจหลบหนีจากมันได้! ยังต้องพูดถึงสองคนนั้นอีกหรือ?”
เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าหรงซิงและซั่งกวนเยว่ต่างก็เป็นอัจฉริยะวัยเยาว์ที่อยู่อันดับต้นๆ ของคนรุ่นหลัง
อายุเท่านี้ก็สามารถบุกทะลวงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงได้ ทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่เองก็มีนับคนได้
แต่นั่นแล้วอย่างใดเล่า?
ระดับเทพขั้นสูง ก็แค่ระดับเทพขั้นสูงเท่านั้น!
“เจ้า…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่ได้ยินประโยคนี้
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องลำบากให้เจ้ามาใส่ใจเลย”
ซั่งกวนจิ้งดึงผู้อาวุโสฮวาเฟิงเบาๆ เป็นเชิงปราม สายตาเย็นเยียบปรายมองไปยังอี้เหวินจั๋ว
“ในเมื่อเจ้าไม่ใช่เจ้าสำนัก อำนาจส่วนใหญ่ในสำนักก็ไม่ได้อยู่ในมือเจ้า มันไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหรงซิวแล้วก็เยว่เออร์เลย พวกข้ายังไม่ทันพูดอันใดด้วยซ้ำ แล้วเจ้าถือสิทธิ์อันใดมาสอดปากพล่ามไปทั่วกัน?”
สีหน้าของอี้เหวินจั๋วพลันเย็นยะเยือกลงในพริบตา “เจ้า…”
“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นแก่หน้าสำนักหลิงเซียวถึงได้ไว้หน้าเจ้าสามส่วน เจ้าอย่าคิดได้คืบจะเอาศอกเทียว!”
…………….