ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1531 เจ้าสำนัก / ตอนที่ 1532 แย่ที่สุดก็แค่ตายไปด้วยกัน
ตอนที่ 1531 เจ้าสำนัก / ตอนที่ 1532 แย่ที่สุดก็แค่ตายไปด้วยกัน
…………….
ตอนที่ 1531 เจ้าสำนัก
ไม่ว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะพูดอะไร เขาเองก็เป็นบุคคลทรงคุณวุฒิของสำนักหลิงเซียวเช่นกัน
ยามเจ้าสำนักไม่อยู่ หลายปีมานี้ก็เป็นเขาที่ดูแลกิจทุกอย่างในสำนัก
แม้จะไม่ได้คุณงามความดีอะไร แต่ก็ยังทำงานหนัดอยู่เสมอ
และก่อนหน้านี้ เขาก็ปฏิบัติตนเช่นนี้มาตลอด
อี้เหวินจั๋วที่ไม่คิดจะถามไถ่ กลับเข้ามาตำหนิติเตียนเขาเสียได้ เกินไปมากจริงๆ
แต่เหมือนว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง
เขาโค้งคำนับด้วยความสุภาพ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า
“ท่านรองเจ้าสำนักกลับมาแล้ว พวกเราดีใจอย่างยิ่ง เป็นปั๋วเหยี่ยนเองที่ไร้ความความสามารถ ไม่อาจจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ จนทำให้ท่านผิดหวัง”
ถึงเขาจะพูดแบบนี้ แต่สีหน้าของเขานั้นมิได้ดูเย่อหยิ่งหรือถ่อมตนเกินไป ราวกับไม่ได้สนใจข้อกล่าวหาของอี้เหวินจี๋วเลยสักนิด
“แต่ท่านโปรดวางใจ ทางเราได้คุมสถานการณ์ไว้แล้ว และกำลังพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องบานปลายแน่นอน”
อี้เหวินจั๋วเกลียดสีหน้ามั่นใจของเขายิ่งนัก!
ก็แค่ผู้อาวุโสลำดับขั้นปกติทั่วไปนำนักวิชา แต่มักทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง ราวกับสูงส่งกว่ารองเจ้าสำนักอย่างเขาตลอด!
“พูดน่ะมันง่าย!”
อี้เหวินจั๋วแค่นเสียงเย้ยหยัน
“หลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบนเขาหมื่นเมรัย แล้วไยตอนนี้มันถึงเกิดขึ้นได้!”
เขาย้ำเท้าไปข้าวหน้า พลันเขยิบเข้าประชิดตัวผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน พลางกดเสียงต่ำ
“เป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้า ปั๋วเหยี่ยน เจ้าเองก็น่าจะรู้มิใช่รึว่ามันร้ายแรงแค่ไหน!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหลุบตาลง หากแต่ยังคงสีหน้าเรียบนิ่งไว้เช่นเดิม
“ปั๋วเหยี่ยนทราบดี และไม่ขอผ่อนปรนหรือหลบเลี่ยงความผิดใดใด หลังจากเรื่องนี้จบลง ปั๋วเหยี่ยนพร้อมรับโทษทัณฑ์”
ที่เขาจะสื่อก็คือ ตอนนี้ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหา ไม่ใช่เวลามาหาว่าใครถูกใครผิด
ทว่าคำตอบนั้นกลับยิ่งทำให้อี้เหวินจั๋วไม่พอใจ
“แล้วอย่างใดอีก? ลมปราณเหมันต์รั่วไหลออกมาจากตาน้ำแล้ว ถือเป็นสถานการณ์วิกฤต ต้องรับเปิด ค่ายกลกระสวยสวรรค์! ผนึกเขาหมื่นเมรัยในทันที!”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลายคนพลันตกตะลึง
แม้แต่นัยน์ตาของจวินจิ่วชิงเองก็ปรากฏร่อยรอยประหลาดใจ
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ในที่สุดสีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ผันแปร
“นางหนูเยว่เออร์ยังอยู่ในตาน้ำ หากเปิดใช้งานค่ายกล แม้แต่นางเองก็จะถูกพลังของมันบดขยี้ไปด้วย!”
ค่ายกลกระสวยสวรรค์คือค่ายกลระดับสูงสุด และอันตรายถึงชีวิต!
และพอถึงตอนนั้น ก็เกรงว่าอาจจะออกมาไม่ได้!
“ล่วงเลยมาเพียงนี้แล้ว! ยังคิดว่าควบคุมสถานการณ์ได้อีกหรือ!”
อี้เหวินจั๋วราวหมดความอดทน
“ปั๋วเหยี่ยน คิดดูให้ดีๆ! สุดท้ายแล้วชีวิตของศิษย์คนหนึ่ง หรือคนทั้งสำนักหลิงเซียวที่สำคัญกว่ากัน!”
“ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในสำนักหลิงเซียวแล้ว ซั่งกวนเยว่คือเด็กสาวในตอนนั้น…แต่นางก็สร้างปัญหาไว้เช่นเคย! เมื่อก่อนนางก่อเรื่องไว้มามาย แต่เพราะมีเจ้าสำนักคุ้มกะลาหัว ถึงไม่มีใครกล้าทำอันใดนาง แต่ครั้งนี้…นางทำผิดมหันต์!”
อี้เหวินจั๋วตวาดลั่น พลางชี้นิ้วไปทางเขาหมื่นเมรัย
“กษายะหางวายุของนางทะลวงเป็นหงส์ทองคำได้อย่างไร มิต้องให้ข้าพูด พวกเจ้าก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกระมัง! ตอนนี้นางเต็มใจกระโดดลงไปเพราะรู้สึกผิด แล้วพวกเจ้ายังลังเลอันใดอีก? ผิดก็คือผิด ย่อมต้องได้รับโทษ!”
“ท่านรองเจ้าสำนัก ยังมิแน่ชัดว่ากษายะหางวายุของเยว่เออร์ เกี่ยวข้องกับตาน้ำหรือไม่ เราจะติต่างไปโดยพลการได้อย่างไร? อีกอย่าง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ปัญหาแบบอื่น! อย่างไรเสีย นางก็เป็นถึงลูกศิษย์ของเจ้าสำนัก ทายาทของผู้อาวุโสซั่งกวน ชายาเอกแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์! จักลงโทษนางง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างใด!”
“ท่านหายไปจากสำนักนานหลายปี อาจมีทราบว่าเกิดเรื่องขึ้นมากมาย…”
“อย่างอื่นข้ามิอาจกล่าวได้ แต่ถ้าเจ้าสำนักอยู่ที่นี่ตอนนี้ เขาจะเห็นด้วยกับข้าแน่นอน!”
อี้เหวินจั๋วกระหยิ่มยิ้มเยาะ
“ปั๋วเหยี่ยน เจ้าว่า ตอนที่เจ้าสำนักหายตัวไป นั่นเพราะตาม ‘ห่วง’ ใครกันล่ะ?”
ตอนที่ 1532 แย่ที่สุดก็แค่ตายไปด้วยกัน
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเจ็บแน่นไปทั่วทรวงอก นัยน์ตาสั่นไหวลุกลี้ลุกลน
บรรดาผู้อาวุโสรอบตัวเขาพลันขมวดคิ้ว แล้วหันมามองด้วยความตกใจ
อะไรกัน?
จากที่อี้เหวินจั๋วกล่าวมา หรือว่าการที่เจ้าสำนักปลีกตัวออกไปในปีนั้น จะเกี่ยวกับแม่หนูนั่นจริงๆ?
“ท่านรองเจ้าสำนัก เรื่องนี้ยังมิอาจสรุปได้ ทุกอย่างยังเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น การที่ท่านกล่าวเช่นนี้โดนปราศจากหลักฐาน เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกำหมัดแน่น
“หากคำพูดเหล่านี้แพร่งพรายออกไป ไม่เพียงแต่ทำให้เยว่เออร์เสียหายแล้ว ยังส่งผลต่อชื่อเสียงขอเจ้าสำนักด้วย ดังนั้นโปรดระวังคำพูดของท่านด้วย!”
“หลักฐานรึ?”
อี้เหวินจั๋วหรี่ตาลง พลันยิ้มเยาะในทันใด ราวกับไม่สนใจคำพูดของเขา
“ทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว ยังต้องการหลักฐานอันใดอีก?”
“ก่อนที่นางหนูผู้นั้นจะมาที่นี่ สำนักของเราล้วนสงบสุขดี ทว่าแต่ตั้งที่นางเข้ามา ก็ทำให้ทั้งสำนักวุ่นวายไปหมด! กี่ครั้งแล้วที่เจ้าสำนักต้องคอยเก็บกวาดให้นาง? สุดท้ายแล้ว จนกระทั่งในยามที่น้องกำลังจะจากไป เขาก็ยังต้องตามเช็ดตามล้าง สะสางเรื่องวุ่นวายให้นางไม่หยุด!”
“ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางจริงๆ ล่ะก็ แล้วเจ้าจะอธิบายอย่างใด ว่าเหตุใดหลังจากที่นางออกจากสำนัก เจ้าสำนักถึงได้หายตัวตามไปด้วย?”
“หลายปีมานี้ ไม่มีข่าวคราวจากนางเลย ทางเจ้าสำนักเองก็ไม่มี! แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไร้วี่แวว! เขาให้ความสำคัญกับสำนักวิชามาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะมีใครหรือมีเรื่องอะไรให้ห่วง เขาจะออกไปจากสำนักตั้งหลายปี แล้วไม่มีทีท่าว่ากลับมาเช่นนี้หรือ?”
และซั่งกวนเยว่ผู่นั้นเอง ก็เป็นศิษย์ที่รักที่สุด!
อี้เหวินจั๋วกล่าวพลางโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น พร้อมจ้องมองผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจนแทบสิงร่าง แล้วกระซิบเสียงเบา
“แล้วก็ ตอนที่เขามอบหน้าที่ให้เจ้าดูแลสำนักต่อ เขาไม่ได้พูดอันใดกับเจ้าจริงๆ หรือ?”
อี้เหวินจัวพูดแบบนี้ ขณะแค่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน
เพราะตอนนั้น เขาเองก็ยังอยู่ในสำนักวิชาด้วย
แต่เจ้าสำนักกลับมอบอำนาจทุกอย่างในสำนักวิชา รวมทั้งอำนาจที่ควรจะป็นของรองเจ้าสำนักอย่างเขา ให้ปั๋วเหยี่ยนเพียงคนเดียว!
ซึ่งมันไม่ต่างจากการตบหน้าเขากลางสาธารณชนเลย!
เนื่องด้วยเหตุประการฉะนี้ ทำให้อี้เหวิจั๋วฉุนเฉียวอย่างมาก และออกไปจากสำนักทันที หลังจากนั้นหลายปี เขาก็เพิกเฉยต่อเรื่องต่างๆ ในสำนักเช่นกัน
ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์ปกครองสำนัก แล้วจะให้เขาเป็นห่วงเป็นไยเหตุใด?
หากมิใช่ว่าครั้งนี้เขาได้ยินว่าเกิดเรื่องมากมายขึ้นในสำนักหลิงเซียวติดต่อกัน บวกกับถ้าจวินจิ่วชิงไปเชิญเขาให้กลับมาดูด้วยตัวเอง เขาคงไม่คิดจะกลับมา
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกำมือแน่นจนเส้นเลือดขึ้นหลังมือ แต่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง
เขาพูดอย่างใจเย็น
“เจ้าสำนักกล่าวเพียงว่า ให้ข้าดูแลสำนักวิชาให้ดีที่สุด นอกเหนือจากนั้น เขาไม่ได้พูดอันใดอีก”
อี้เหวินจั๋วกูร้องในใจด้วยความไม่เชื่อ เขายืนตัวขึ้นและถอยหลังไปสองก้าว และผละตัวออกห่างจากผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
เขาทำทีปัดเสื้อผ้าราวปัดสิ่งสกปรก
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนทำเป็นไม่เห็นอากัปกริยานั่น
“ในเมื่อเขาว่าเช่นนั้น งั้นเจ้าก็จงทำเสีย หากไม่อยากเปิดใช้งานค่ายกลกระสวยสวรรค์ แล้วเจ้าคิดหรือว่าวิธีอื่นจักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นบนเขาหมื่นเมรัยได้?”
อี๋เหวินจั๋วหัวเราะเยาะ หัวตาและเรียวคิ้วของเขาเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน
อย่าว่าแต่ปั๋วเหยี่ยนเลย ต่อให้ตอนนี้ผู้อาวุโสทุกคนในสำนักร่วมมือกัน ก็มิอาจรับมือกับสถานการณ์นี้!
หากเจ้าสำนักกลับมา คงจะพอมีหวังบ้าง
แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?
“เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นในยามที่พวกข้าได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนัก แน่นอนว่าพวกข้าต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด และหากเกิดอันใดขึ้น ปั๋วเหยี่ยนผู้นี้จะรับผิดชอบเอง”
แต่ไหนแต่ไรผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั้นมีนิสัยอ่อนโยนแลสงบนิ่ง แต่มีเพียงคนที่รู้จักเขาดีเท่านั้น ที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนใจแข็งมากๆ
ไม่เช่นนั้น เจ้าสำนักคงไม่วางใจปล่อยปล่อยให้เขาจัดการเรื่องทุกอย่างในสำนักหรอก
“เจ้า…”
อี้เหวินจั๋วคิดไม่ถึงว่ายามนี้แล้ว ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะยังกล้าเถียงเขาอยู่อีก
“เช่นนั้นก็รอดูว่าเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือไม่!”
“ถ้าเขาคนเดียวเอาไม่อยู่ เช่นนั้นก็เพิ่มข้าเข้าไปด้วยประไร?”
จู่ๆ เมิ้งเหล่าที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมาเนือบๆ
อี้เหวินจั๋วชะงัก
“เมิ้งเหล่า? นี่ท่าน…”
เมิ้งเหล่าถือเป็นผู้อาวุโสระดับสูง และสถานะของเขาในสำนักเองก็ไม่ธรรมดา
ต่อให้เห็นอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ยังหลุดเสียงเรียก ‘เมิ้งเหล่า’ ด้วยความเคารพ
ดังนั้นในยามนี้ แม้ว่าอี้เหวินจั๋วจะโกรธเกรี้ยวเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเมิ้งเหล่าโดยตรง
“เมิ้งเหล่า ท่านเองก็อนุญาตให้พวกเขาทำตัวเหิมเกริมเช่นนั้นหรือ? เพียงเพื่อแม่หนูผู้นั้น”
หึ
ดูเหมือนเมิ้งเหล่าจะไม่ได้มีความอดทนขนาดรอฟังเขาพูดจบได้ พลันยักไหล่แล้วหัวเราะเบาๆ
“ข้าช่วยดูแลอาณาเขตเซียนเทพให้เด็กคนนั้นมานานหลายปี และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่ได้ออกจากเขาเฝิงหมินมาหลายปีแล้ว เหวินจั๋ว หากอิงจากวิธีการพูดของเจ้า เช่นนั้นข้าไม่เหิมเกริมเอาแต่ใจตัวเองกว่าอีกหรือ?”
อี้เหวินจั๋วถึงกับพูดไม่ออก
เขาสามารถตำหนิผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนได้ แต่ไม่สามารถเถียงเมิ้งเหล่าได้
“อีกอย่าง หลายปีที่ผ่านมา เจ้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องในสำนักสักเท่าใด ตอนนี้เจ้าวางใจเถอะ แค่ปล่อยให้พวกเขาจัดการก็พอแล้ว”
แม้ว่าเมิ้งเหล่าจะระบายยิ้มให้เขา แต่คำพูดนั้นที่กล่าวมานั้น กลับหยาบคายไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด
ใบหน้าของอี้เหวินจั๋วมืดมน หากแต่ทำได้เพียงระงับเพลิงโทสะในใจไว้
“…ตกลง”
เพราะคนผู้นั้นคนเดียว!
ครั้นเรื่องทั้งหมดพัฒนาไปถึงจุดที่ยากเกินจะรับมือ ก็ดูสิว่าพวกเขาจะยังมั่นอกมั่นใจอยู่อีกหรือไม่!
…
ทั่วทั้งสี่ทิศเงียบกริบมากกว่าเดิม
บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่แล้ว ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเพราะการกลับมาของอี้เหวินจั๋ว
จวินจิ่วชิงหันไปมองเขาหมื่นเมรัยด้วยสายตาเย็นชา
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปยังหรงซิวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
ขณะนี้ค่ายกลสีทองรอบตัวของหรงซิวจางหายไปแล้ว ทว่าใบหน้านั้นยังคงสงบนิ่งและไม่สะทกสะท้าน
จวินจิ่วชิงส่งกระแสจิตออกไปเบาๆ
สุ่มเสียงวี่หวิวราวเสียงยุงลอยสายหนึ่ง ลอยเข้าไปในหูของหรงซิว
“นี่เจ้าปกป้องนางแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ในที่สุดหรงซิวก็ดึงสายตาออกมาจากภาพตรงห้า แล้วหันไปมองเขา
ชายทั้งสองมองหน้ากัน ราวเกิดประกายไฟปลิวว่อนในอากาศ! อายสังหารแผ่กระจายเป็นวงกว้าง!
หรงซิวหรี่ตาเรียวคมราวปักษาลงเล็กน้อย
จวินจิ่วชิงเบ้ปากเยาะเย้ย
“ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่พัฒนาเหมือนเดิม”
“ข้านึกว่าประสบการณ์ครั้งที่แล้ว จะสอนบทเรียนให้เจ้าเสียอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าคงประเมินเจ้าสูงเกินไป”
แม้ว่าเขายังรู้เลยว่าควรจะทำเช่นไรเพื่อป้องกันมิให้นางกลับมา ด้วยเหตุนี้ เขาถึงได้พาตัวฉู่หนิงไป และพาเขาไปยังที่ที่ห่างไกลจากสำนักหลิงเซียวหลายพันลี้
นั่นเพราะเขาไม่อยากให้นางมาที่นี่อีก
น่าเสียดายที่…
นางมิใช่แค่กลับมาเท่านั้น แต่ยัง…จำเรื่องในอดีตได้ด้วย!
เช่นนนั้นการคืนอาณาเขตเซียนเทพ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี!
จวินจิ่วชิงหลุบมองด้านล่างอย่างเย็นชา
ภูเขาหมื่นเมรัยกำลังจะระเบิด…
ค่ายกลสีทองนั้นคงคุมมันได้อีกไม่นาน!
และฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านในก็จะเป็นคนแรกที่รับผลกระทบ!
ถ้าครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้นอีก เขาไม่เชื่อว่าหรงซิวจะยังเหลือพลังพอช่วยให้พานางไปเกิดใหม่ได้!
คำพูดเหล่านี้ช่างบาดหูนัก
เดิมทีจวินจิ่วชิงคิดว่าหรงซิวจะโกรธตน
แต่กลับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกฝ่ายชะงักไปพักหนึ่ง ราวไตร่ตรองคำพูดของเขา
ก่อนจะหยกยิ้มออกมาทันที
พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังชัดเจนในหูของจวินจิ่วชิง
“นางคือสตรีของข้า ไม่ว่านางจะทำอันใด ข้าจะทำด้วย”
แย่ที่สุด ก็แค่ตายไปด้วยกัน
…………….