ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 208-2 หลักการของนายผู้หญิง
….นับว่าบังเอิญจริงๆ
แม่สามีและสะใภ้ทั้งสองคนถอนหายใจคราวหนึ่งให้แก่สภาพการณ์ที่ยากเข็ญและหนทางแสนยาวไกลที่ทำให้ส่งความลับต่อกันไม่สะดวกเอาเสียเลย …ฮูหยินซูจึงสั่งความไปว่า “เดิมทีการรายงานชัยชนะที่ซีเหลียงก็เป็นเรื่องดี แต่เวลานี้บ้านเราเดิมทีก็ทำให้ฮ่องเต้ทรงระแวงแล้ว รายงานชัยชนะครานี้กลับค่อนข้างไม่ถูกกาลเทศะ ทว่าข่าวใหญ่เช่นนี้ก็ไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ ไม่แน่ว่าหากจงใจยื้อเวลาออกไปก็ยังทำให้ ฮ่องเต้นึกว่าบ้านเราคิดการใดอยู่เสียอีก! ดังนั้น ข้าจึงหารือกับท่านพ่อของพวกเจ้าสักพัก และตัดสินใจจะรายงานอาการบาดเจ็บของเฟิงเอ๋อร์ให้หนักสักหน่อย”
สักพักหนึ่ง นางจึงว่า “เจ้าไปดูแลเขาที่ซีเหลียงก็จะดูสมจริงขึ้นสักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ กล่าวว่า “ไม่ทราบว่าสะใภ้ไปครานี้ต้องไปนานเท่าใดเจ้าคะ?”
“เรื่องนี้ก็ยังบอกได้ไม่แน่ชัด” ฮูหยินซูเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ก็ผู้ใดจะรู้ว่าเหตุการณ์ในลำดับต่อไปจะเป็นเช่นใด? ตลอดหลายปีมานี้บ้านเรามีอิทธิพลเกรียงไกร จึงทำให้ทั้งในตระกูลสูงศักดิ์ …ทั้งฝ่ายราชสำนักและราษฎรมีหลายคนที่อิจฉาริษยา หวังได้เห็นบ้านเราถูกข่มเหง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลหลิว ดีชั่วอย่างไรเฟิงเอ๋อร์ก็มีชัยชนะครั้งใหญ่ในคราวนี้ ต่อให้ต่อไปต้องพักรักษาตัวอยู่เฉยๆ ที่ซีเหลียง พอถึงเวลาที่ต้องมาคำนวณความชอบก็ไม่ได้ต้องเสียหน้าอันใด”
เว่ยฉางอิ๋งคำนวณดูคนที่ไปที่ซีเหลียงอย่างรวดเร็ว นอกจากเสิ่นจั้งเฟิงสามีของนางแล้ว ก็ยังมีกู้อี้หรานสวามีของพระธิดาเฉิงเสียน กู้ซีเหนียนน้องชายร่วมตระกูลของกู้อี้หราน บุตรหลานตระกูลเติ้ง เติ้งจงฉี …ฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินซูแล้ว ชัยชนะใหญ่คราวนี้เป็นผลงานของเสิ่นจั้งเฟิงผู้เดียว คนเหล่านี้ไม่ว่าจะไม่มีส่วนร่วมจริงๆ หรือว่าเป็นเท็จ จะอย่างไรก็ไม่มีส่วนแบ่งด้วย
เช่นนั้นตอนนี้เสิ่นจั้งเฟิงกำลังพักรักษาตัว แม้ซีเหลียงจะเป็นเขตอิทธิพลของ ตระกูลเสิ่น แต่ก็เป็นโอกาสให้พวกพ้องเหล่านี้ได้สร้างความชอบบ้าง อย่างไรก็ไม่ควรให้พวกเขาไปชายแดนเสียเที่ยว
การได้ไปอยู่ร่วมกับสามีย่อมเป็นเรื่องดี แต่วันคืนที่ได้ไปพบกันครานี้ไม่อาจกำหนดได้ …เว่ยฉางอิ๋งอดถามไม่ได้ว่า “แล้วกวงเอ๋อร์เล่าเจ้าคะ?”
หากทางตระกูลร้องขอให้เสิ่นจั้งเฟิงเก็บตัวอยู่ที่ซีเหลียงสักสิบปีแปดปี แล้วบุตรชายคนโตของทั้งสองคนจะทำเช่นใด หรือจะให้อยู่กับท่านปู่ท่านย่าตลอดไป?
ฮูหยินซูขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของสามี ตัดสินใจไปเยี่ยมเขาที่ซีเหลียงด้วยตนเอง หากจะพาบุตรชายคนโตของพวกเจ้าไปด้วยพร้อมกันก็มิเป็นไร เพียงแต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่? ซีเหลียงหนาวเย็น กวงเอ๋อร์ก็ยังเล็กเพียงนี้ เขาจะทานแรงกระเทือนตลอดทางไหวหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าสิ่งที่แม่สามีพูดมาเป็นเรื่องจริง พลันเอ่ยไปอย่างร้อนรนสับสนว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ แต่ท่านพี่ยังไม่เคยพบกับกวงเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ…”
“เจ้าพูดเช่นนี้เหมือนเด็กจริงๆ” ฮูหยินซูอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วเตือนไปอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าก็แค่บอกว่ายังไม่ได้กำหนดเวลาเอาไว้ หมายถึงไม่รู้ว่าจะให้เจ้าไปอยู่ที่นั้นปีหรือสองปี ผู้ใดจะให้พวกเจ้าอยู่ที่ซีเหลียงตลอดชีวิตเล่า? ครั้งพวกเขาไปชายแดนก็มิใช่บอกว่าไปสามปีรึ? พอถึงยาม ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของเฟิงเอ๋อร์จะดีหรือไม่ก็ควรกลับมาเมืองหลวงแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่ารักษาหายแล้วกลับมา ก็กลับมารักษาตัว …อย่างไรเสีย ผู้ใดก็ล้วนรู้ว่าซีเหลียงหนาวเย็นนักหนา!”
เมื่อเห็นสะใภ้ขมวดคิ้วไม่ส่งเสียง เห็นชัดว่านางกำลังลำบากใจที่จะเลือกระหว่างสามีและบุตรชาย ฮูหยินซูเอ่ยเสียงหนักไปว่า “การแยกจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนย่อมตัดใจลำบาก โดยเฉพาะที่เวลานี้เจ้ามีบุตรชายที่รักผู้นี้ผู้เดียว! เพียงแต่ฉางอิ๋ง เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ เจ้าไม่ได้เป็นเพียงแม่ของกวงเอ๋อร์ ที่สำคัญไปกว่าก็คือ เจ้าเป็นภรรยาของเฟิงเอ๋อร์! เป็นว่าที่นายผู้หญิงแห่งตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงของเรา!”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึง แล้วเงยหน้าขึ้นมาทันใด
ฮูหยินซูชี้ไปที่นอกประตู แววตาไร้ความโศกไร้ความยินดี แล้วพูดออกมาทีละคำว่า “ทิศทางนั้นเป็นคฤหาสน์ที่เป็นสินติดตัวของซิ่วเอ๋อร์ เพราะยามจี้อ๋องอยู่ในเมืองหลวงก็ล้วนมีจวนอ๋อง เดิมทีไม่คิดจะจัดหาคฤหาสน์ให้นางเป็นสินติดตัว ทว่าสวนดอกไม้ในจวนอ๋องไม่ถูกใจนาง ท่านพ่อของพวกเจ้าเร่งให้ซื้อ คฤหาสน์หลังใหญ่นั่นเอาไว้ ตกแต่งตามความต้องการของนาง แล้วเอาใส่ไว้ในบัญชีสินติดตัว แต่ซิ่วเอ๋อร์แต่งงานไม่ทันไรก็ต้องติดตามจี้อ๋องไปที่แคว้นศักดินา นานๆ จึงจะได้กลับมาสักหน ต่อให้กลับมาแล้วก็มิใช่ว่าจะมีเวลาไปอยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นสักวันสองวัน แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังปล่อยให้ว่างเอาไว้ไม่ยอมให้คนเช่า ล้วนเป็นเพราะหญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้นภายในนั้นล้วนเป็นข้าและท่านพ่อเจ้าไปเลือกหาและจัดวางด้วยตนเองพร้อมกันกับนาง! ผู้ใดจะคิดว่าวันหนึ่งนางกับสามีจะถูกขับออกจากจวนจี้อ๋อง และดีที่ยังมีคฤหาสน์หลังนั้นเอาไว้พักกาย?”
“คิดว่าเจ้าก็คงรู้ว่านั่นคือนามของข้า ซิ่วเอ๋อร์ …นางเป็นลูกสาวคนโตของข้ากับท่านพ่อของพวกเจ้า ข้าและท่านพ่อของพวกเจ้าเห็นนางเป็นมุกในฝ่ามือเสมอมา …แม้นางและหนิงเอ๋อร์ล้วนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้า แต่ข้าจะพูดความจริงจากใจสักคำ ข้าชื่นชอบซิ่วเอ๋อร์มากกว่าหนิงเอ๋อร์!” ฮูหยินซูเอ่ยเสียงเบา “แต่ยามนี้สามีของนางถูกปลดจากตำแหน่งอ๋อง และถูกขับออกมาจากจวนอ๋อง …พวกบ่าวจะมีโอกาสอาศัยความวุ่นวายหยิบคว้าสิ่งของหนีไปสักเท่าใด หรือจะมีคำครหานินทาอีกสักเท่าใด …ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ แม้แต่จะรีบไปปลอบโยนนางสักคำสองคำ หรือส่งคนไปปลอบนางสักคำสองคน ข้าก็ยังทำไม่ได้! เพราะข้าไม่รักซิ่วเอ๋อร์เช่นนั้นรึ? เพราะข้าเกรงกลัวฮ่องเต้ จนแม้แต่ลูกสาวแท้ๆ ก็ยังไม่กล้าไปดูแลรึ? เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่! ทว่าเพื่อเป็นผลดีต่อตระกูลเสิ่น และเพื่อเป็นผลดีต่อซิ่วเอ๋อร์! ข้าจึงทำได้เพียงคล้ายกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น!”
“นายผู้หญิงของตระกูลหนึ่ง ไม่เพียงแค่จัดการดูแลงานในเรือนให้ดีก็จะสามารถเป็นได้” ฮูหยินซูยื่นมือที่บำรุงรักษามาอย่างพิถีพิถันออกมา แล้วค่อยๆ ดึงแขนเสื้อขึ้น พอสายตาของเว่ยฉางอิ๋งกวาดไปก็ต้องร้องอ๊ะออกมาคำหนึ่ง …เห็นว่าบนลำแขนที่ยังคงขาวนวลเนียนของฮูหยินซู กลับมีรอยเล็บกรีดลึกลงไปในเนื้อทั้งยังมีเลือดซิบ!
ฮูหยินซูลดตาลงจับจ้องที่บาดแผล สีหน้าอาการสงบนิ่ง เอ่ยไปอย่างราบเรียบว่า “นี่เป็นรอยที่ตอนได้ยินว่าทางซิ่วเอ๋อร์เกิดเรื่อง แล้วจิตใจสับสนวุ่นวายจึงหยิกตัวเองโดยไม่ทันระวังตัว” นางดึงแขนเสื้อลงเพื่อปิดบังบาดแผลไว้ แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความรู้สึกใดว่า “ฉางอิ๋ง เจ้าจำไว้ให้ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดของนายผู้หญิงผู้ปกครองเรือนก็คือต้องเห็นแก่ส่วนร่วม! จะเห็นแก่ส่วนร่วมเช่นใด? ต้องรู้จักแยกแยะหนักเบา ค่อยๆ หรือเร่งร้อน ไม่เห็นแก่ความรักที่มีต่อบุตรธิดา ทอดสายตาไปยังทั้งตระกูล ทั้งราชสำนัก กระทั่งทั้งใต้หล้า ….หากไม่มีสายตากว้างไกลเช่นนี้ ในสายตาของสตรีที่พบเจอได้ทั่วไปก็จะมีเพียงสามีและบุตรธิดา ดีงามนั้นดีงามอยู่ ทว่าสตรีเช่นนี้มีนับพันนับหมื่นที่ทั่วทุกมุมเมืองตั้งป้ายเชิดชูความดีงามให้พวกนาง สิ่งที่เรียกขานว่าความดีงามที่พบเห็นได้ทั่วไปเช่นนี้ หากว่าคู่ควรกับว่าที่ประมุขตระกูลเสิ่นของข้าแล้ว เหตุใดยามเหล่าตระกูลเลื่องชื่อคัดเลือกสะใภ้จึงต้องให้ความสำคัญกับลำดับชั้นตระกูลเพียงนี้?! สิ่งสำคัญนั้น แท้จริงแล้วมิใช่เพียงแค่ชั้นตระกูล?! ทว่า มิใช่มีเพียงตระกูลใหญ่โตเท่านั้นหรือ ที่สามารถกล่อมเกลาอบรมทั้งความสง่างาม สายตากว้างไกลและจิตใจที่กว้างขวางเช่นนี้ออกมาได้?!”
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากแน่น …ฮูหยินซูเอื้อมมือไปกดที่ไหล่นาง เอ่ยเสียงหนักๆ ว่า “จำไว้ เจ้าเป็นภรรยาเอกของลูกข้าจั้งเฟิง ต้องเป็นคนที่คอยสนับสนุนเขาให้ก้าวไปทีละก้าวเพื่อได้ก่อร่างสร้างตัว มือคว้าอำนาจสำคัญให้มั่น สืบทอดเกียรติภูมิหลายร้อยปีของตระกูลเสิ่นของเราต่อไป! เป็นนายผู้หญิงปกครองเรือนของทั้งตระกูลเสิ่นในอนาคต! กวงเอ๋อร์มีความสำคัญมาก แต่ตระกูลเสิ่นทั้งตระกูลสำคัญยิ่งกว่า! เจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ยที่เลื่องชื่อด้านบุ๋น แม้จะมีวรยุทธลำเลิศกว่าเรื่องบุ๋นสักอีกเท่าใด แต่เล็กมาเจ้าย่อมเคยได้ยินหลักการที่ว่า ‘เมื่อไม่มีหนังแล้ว ขนจะไปเกาะที่ใด’ มาจนชินหูแล้ว ข้าว่า …คงไม่ต้องให้ข้าบอกให้เจ้าฟังอีกรอบ!”
ฮูหยินซูเก็บมือที่ทาบไหล่นางกลับไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ไปซีเหลียงครานี้ ที่นั่นจะไม่มีคนพูดคำเหล่านี้ให้เจ้าฟังอีก …ในใต้หล้านี้ จะมีความมั่งคั่งร่ำรวยใดที่ไม่ต้องใช้บางสิ่งแลกมา? เจ้าและข้าล้วนเป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งยังแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ เมื่อรู้ว่าสายเลือดสูงส่งและฐานะสูงศักดิ์ที่ตระกูลมอบให้แก่พวกเรานี้ หากมิได้บรรพบุรุษพยายามดำรงรักษาเกียรติของทั้งตระกูลเอาไว้รุ่นแล้วรุ่นเล่า จึงสืบทอดกันมายืนยาวไม่ดับสูญ แล้วทั้งเจ้าและข้าจะมีศักดิ์และสิทธิ์เชิดหน้าชูคออยู่ท่ามกลางผู้คนเช่นนี้ได้อย่างไร? นับแต่โบราณมามีผู้คนมากมาย แล้วเหตุใดตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเลจึงสืบทอดกันมาได้จนบัดนี้? เป็นไปได้หรือว่าในพวกชาวบ้านทั่วไปจะไม่มีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหนือคนปรากฏออกมาบ้างชั่วครู่ชั่วยาม? แล้วเหตุใดที่สุดแล้วตระกูลของพวกเขาก็ยังต้องล่มสลายไป? ตระกูลจะเรืองอำนาจหาใช่ด้วยกำลังของคนผู้เดียว! หากไม่มีความห้าวหาญและสายตาที่ยาวไกลของบรรพบุรุษ แล้วคนรุ่นหลังจะเกิดความทะนงในศักดิ์ศรีตระกูลของตนได้อย่างไร? ก่อนนี้เคยเสพสุขกับเกียรติยศและความมั่งคั่งที่ตระกูลเว่ยและตระกูลเสิ่นเคยนำมาสู่เจ้า ยามนี้ก็ควรเป็นเจ้ามารักษาปกป้องเกียรติและความมั่งคั่งนี้เอาไว้แล้ว!”
“หวังแต่ว่า ยามเจ้าติดตามเฟิงเอ๋อร์กลับมา ข้าจะสามารถสละตำแหน่งนายผู้หญิงแห่งตระกูลเสิ่นนี้ได้อย่างวางใจ! เด็กดี เจ้า…ไปเถิด!”
(จบภาค)
___________________________