ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 27 วันหยุด
เพียงพริบตาก็มาถึงวันหยุดแล้ว ระหว่างนั้นตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่สามารถเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาได้ นางจึงไปดูแม่เฒ่าเติ้งเองอีกหนหนึ่ง ทว่าก็ไม่รู้ว่านางแน่ใจว่าตนไม่มีกำลังเพียงพอหรือเพราะจงใจทำ อาการของแม่เฒ่าเติ้งจึงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ต้นจนยามนี้ยังไม่คงที่เลย
ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในวัยนี้ เพียงแค่ปวดหัวตัวร้อนสักหนล้วนไม่อาจไม่ให้ความสำคัญได้ ประสาอะไรกับอาการวิงเวียนตาลายที่มีอยู่เนืองๆ? จนยามนี้ได้ยินคนบอกว่านางผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สุขภาพจิตก็ย่ำแย่นัก ฮูหยินซูจึงไม่อาจวางใจได้ อย่างไรเสียในบ้านก็มีสะใภ้สามคนแล้ว จึงเพียงแค่สั่งความกลับมาบอกเหล่าสะใภ้ว่าให้คอยช่วยเหลือกัน และดูแลบ้านให้ดี ส่วนตนก็คอยปฏิบัติหน้าที่ลูกกตัญญูอยู่ต่อหน้ามารดา
ทว่าเพราะเสิ่นจั้งเฟิงรับปากเว่ยฉางอิ๋งแล้วว่าวันหยุดครานี้จะอยู่ที่เรือนจินถงเป็นเพื่อนนาง ดังนั้นก่อนหน้านั้นสองสามวัน ทุกวันหลังเลิกงานเขาก็จะไปที่บ้านซู ก่อนนี้เขาไปรับเจ้าสาวที่เฟิ่งโจว เมื่อรีบเร่งกลับมาถึงเมืองหลวงก็แต่งงาน หลังแต่งงานได้พักอีกสองวันก็ต้องไปทำงานแล้ว… เมื่อต้องลำบากติดต่อกันเป็นเวลานานเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงดี วิ่งวุ่นเช่นนี้ได้ไม่ถึงสองวันก็ย่อมต้องมีความอ่อนล้าปรากฏให้เห็นบนใบหน้า
ทั้งฮูหยินซูและท่านลุงท่านน้าของเขาล้วนมองเห็น ต่างพากันเกลี่ยกล่อมเขาว่าคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าเติ้งนั้นมีไม่ขาด บอกเขาว่าอย่าได้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ทว่าแม้เสิ่นจั้งเฟิงจะรับปากเต็มปากเต็มคำ แต่วันต่อก็ยังคงไปคอยดูแลป้อยหยูกยาด้วยความกระตือรือร้นยิ่ง ทันใดนั้นเองชื่อเสียงเรื่องความกตัญญูของเสิ่นจั้งเฟิงที่มีต่อท่านยายก็แพร่สะพัดออกไป ผู้คนต่างพากันบอกว่าคุณชายสามตระกูลเสิ่นนั้นเป็นคนกตัญญูอย่างที่สุด แต่งงานใหม่ยังไม่ครบเดือน ซึ่งควรจักเป็นเวลาที่กำลังหวานชื่นยากจะอยู่ห่างจากภรรยา แต่กลับมาคอยดูแลแม่เฒ่าเติ้งที่จวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่หลานในสายตระกูลซูแท้ๆ ก็ยังไม่เป็นเช่นนี้เลย
…ดังนั้นเมื่อถึงวันหยุดในวันนี้ ปรากฏว่านับแต่ฮูหยินซูไปจนถึงทุกคนในบ้านซูล้วนสั่งอย่างเด็ดขาดว่าให้เขาพักผ่อนอยู่กับบ้าน ห้ามเข้าไปในจวนตระกูลซูแม้แต่ก้าวเดียว!
ฮูหยินซูยังว่ากล่าวตักเตือนเขาเป็นการเฉพาะว่า “เจ้าคิดว่าว่าเจ้ากตัญญูรึ? สองวันมานี้ท่านยายของเจ้าก็อารมณ์ไม่ใคร่ดี บางคราวตื่นขึ้นแล้วมาเห็นหน้าเจ้าอ่อนล้าเช่นนี้ นางย่อมกลัวว่าจะทำให้เจ้าลำบากเพียงแต่ไม่เอ่ยปากเท่านั้น รอจนเจ้าไปแล้ว จึงได้ฝืนตื่นขึ้นมา แล้วตำหนิพวกท่านลุงท่านน้าของเจ้าว่าไม่สงสารเจ้าเอาเสียเลย! อาศัยโอกาสวันหยุด เจ้าจงพักผ่อนให้สบายอยู่ในเรือนจินถงให้ข้าเสียดีๆ ห้ามไปที่ใดทั้งสิ้น! และห้ามกังวลเรื่องใดๆ ทั้งสิ้นด้วย!”
เสิ่นจั้งเฟิงจึงประสานมือน้อมรับอย่างนอบน้อม… ดังนั้นวันนี้เสิ่นจั้งลี่และเสิ่นเหลี่ยนสือจึงอาศัยโอกาสในวันหยุดไปเยี่ยมท่านยายที่จวนตระกูลซู แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับถูกบ้านฝั่งมารดาปิดประตูให้อยู่ข้างนอก เดินวนเวียนอยู่หน้าประตูสักพักจึงไม่อาจไม่กลับบ้านได้
เมื่อกลับมาถึงเรือนจินถง เว่ยฉางอิ๋งกลับเพิ่งตื่นนอน นางไม่รู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงวางแผนใดไว้ เช้านี้ได้ยินว่าเขาจะไปจวนตระกูลซู จึงรู้สึกว่าถูกเขาบิดพริ้วเรื่องที่เขารับปากไว้คราวก่อนเสียแล้ว ทว่าก็ไม่อาจรั้งเสิ่นจั้งเฟิงไม่ให้ไปแสดงความกตัญญูได้ จึงทำได้เพียงหงุดหงิดเท่านั้น เพราะรู้สึกไม่พอใจนางจึงนอนหลับไปอีกสักพัก ยามนี้จึงเพิ่งมาหวีผมแต่งตัว เมื่อส่องกระจกและเห็นเสิ่นจั้งเฟิงเข้ามา นางจึงประหลาดใจ “เหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”
ยามเสิ่นจั้งเฟิงออกไปนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่านางไม่พอใจ แต่จนถึงยามนี้ก็ยังไม่ยอมเอ่ยออกมา จึงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “พวกท่านลุงท่านน้าเห็นว่าหลายวันก่อนข้าคอยไปช่วยเหลือดูแล วันนี้จึงให้ข้ากลับมาพักเสีย บอกว่าท่านยายทางนั้นมิได้ขาดเหลือคนคอยปรนนิบัติดูแล”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้ง และคิดได้ว่าหลายวันก่อนเขาล้วนกลับมาช้า… ที่แท้เพราะรับปากกับตนว่าวันนี้จะอยู่ที่บ้านหรือ? ก่อนนี้นางเอาแต่หวงเรื่องที่ตนกำชับเสิ่นจั้งเฟิงว่าวันนี้อย่าออกไปข้างนอก แต่กลับลืมไปว่าแม่เฒ่าเติ้งยังป่วยอยู่ ว่ากันตามหลักแล้ววันหยุดที่นานๆ จะมีหนหนึ่ง แล้วเสิ่นจั้งเฟิงจะไม่อยากไปเยี่ยมท่านยายได้อย่างไร ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็พยายามหาหนทางรับปากนาง แต่วันนี้นางกลับยังมาไม่พอใจเขาอีก…
นางพลันรู้สึกผิดอยู่ในใจ ใบหน้าก็แดงขึ้นมา แล้วน้ำเสียงก็อ่อนลง กล่าวว่า “เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันแล้ว… วันนี้ก็พักผ่อนให้สบายเถิด”
“ใช่หรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงลูบใต้คาง กลับมีความผิดหวังอยู่ในน้ำเสียง
ตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งเกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้เสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง?”
“ทานกับเจ้าอีกสักหน่อยก็ได้” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
หลังจากทั้งสองคนทานอาหารแล้ว บ่าวก็ยกน้ำชามาให้ล้างปาก เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงบ้วนน้ำชาแล้วก็รับผ้ามาเช็ดที่มุมปากแล้วจึงถามว่า “วันนี้ก็ถึงวันที่บอกแล้ว เจ้าอยากให้สามีอยู่ที่บ้านเพราะเหตุใด บอกสามีได้แล้วกระมัง?”
มือที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังกดผ้าเช็ดปากซับน้ำที่มุมปากพลันชะงัก แล้วก้มหน้าลงขบคิดอย่างรวดเร็ว จึงได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างหัวเราะครึ่งไม่หัวเราะครึ่งว่า “ค่อยๆ คิด ไม่ต้องรีบ ดีชั่วอย่างไรเรื่องในวันนี้ หากเจ้าไม่พูด คิดว่าตกกลางคืนสามีก็จะรู้ได้เอง”
“…” เว่ยฉางอิ๋งส่งผ้าให้แก่ฉินเกอ สะบัดมือเร่งพวกนางให้รีบออกไปสักหน่อย แล้วแค่นเสียงบอกว่า “เช่นนั้นข้าก็จะไม่คิดไปเสียเลย”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบใต้คาง กล่าวว่า “เช่นนั้นสามีจะลองทายดู?”
เว่ยฉางอิ๋งเอียงหน้าไปข้างๆ แล้วว่า “แล้วแต่เจ้า!”
“อิ๋งเอ๋อร์คิดถึงสามีแล้ว และขัดเคืองเรื่องที่สองสามวันมานี้สามีไปทำงาน กลางวันล้วนไม่อาจอยู่กับเจ้า จนเป็นเหตุให้แม้แต่เมืองหลวงเจ้าก็ไม่อยากดูแล้ว คิดแต่เพียงให้วันนี้สามีอยู่กับเจ้าทั้งวันทั้งคืน ใช่หรือไม่?” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวพลางหัวเราะร่า
เว่ยฉางอิ๋งบ่นพลางหน้าแดงหูแดงว่า “พูดจาส่งเดช!”
“หากมิใช่ แล้วไยหน้าเจ้าต้องแดงเช่นนี้?” เสิ่นจั้งเฟิงมองไปรอบๆ แล้วพวกบ่าวก็เดินเรียงแถวกันออกไป เขาลุกจากที่นั่ง เดินมาข้างกายภรรยาอย่างช้าๆ แล้วเอื้อมมือไปเชยคางนางขึ้นมา พลางกล่าวด้วยความเบิกบานใจยิ่ง
เว่ยฉางอิ๋งปัดมือเขาออก “ไม่พูดกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว… ข้าจะไปห้องหนังสือเล็ก”
“สามีไปเป็นเพื่อนเจ้า” เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วมือไปไล้ข้างแก้มนางเบาๆ กล่าวพลางยิ้มอ่อนๆ
ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยิ่งแดงขึ้นกว่าเก่า แล้วตีเขาไปหนหนึ่ง “ห้ามเจ้าไป!”
“เหตุใด?” เสิ่นเฟิ่งเดินตามนางไปพลางยิ้มไปพลาง “ยังกลัวสามีอยู่หรือ?”
“ผู้ใดกลัวเจ้ากัน?” เว่ยฉางอิ๋งกำหมัดและเงื้อมมือใส่เขาอีกครา
เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจนใจว่า “ใช่สิ เจ้ามิได้กลัวสามี สามีไปเป็นเพื่อนเจ้า แล้วเจ้ามีเรื่องใดต้องเป็นกังวลเล่า? ความจริงแล้วคนที่ควรต้องกลัวน่าจะเป็นสามีมากกว่า ดูสิเจ้าดุถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าพอก้าวเท้าเข้าประตูตามเจ้าไป หันหลังมาก็จะถูกเจ้าปิดประตูขังเอาไว้เสียแล้ว ถึงยามนั้นผู้ใดจักรู้ว่าเจ้าจะทำเช่นใดกับสามี? สามีหวาดกลัวที่เจ้าดุร้าย จึงไม่อาจเริ่มจาก…โธ่! คิดดูแล้ว สามีช่างน่าสงสารเสียจริง!”
ตอนนี้ทั้งสองคนออกมานอกประตูแล้ว มองเห็นว่าแม้พวกสาวใช้ที่รออยู่บนระเบียงทางเดินจะพยายามอดกลั้น แต่สองไหล่ของพวกนางกลับสั่นขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งอายเสียจนอยากจะหาโพรงมุดเข้าไปหลบ พลางกระทืบเท้าและขึ้นเสียงว่า “จะ…เจ้าหุบปาก! ข้าจะไปทำ…ทำเรื่องเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร?”
“จริงหรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงทำท่าประหลาดใจ กล่าวว่า “เจ้าจักไม่…สามีจริงๆ หรือ”
ด้วยเกรงว่าเขาจะเอาแต่เอ่ยคำที่ทำให้ตนยิ่งไม่รู้จะเอาหน้าไปไวที่ใดออกมาอีกอย่างไม่ยอมเลิกรา เว่ยฉางอิ๋งอดจะคิดมากไม่ได้ พลันเอื้อมมือไปปิดปากเขาไว้ แล้วลากเขาเดินไปที่ห้องหนังสือเล็ก ทางหนึ่งเดินไป อีกทางหนึ่งก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “มิใช่เจ้าบอกว่าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือเล็กหรือ? รีบไปสิ!”
นางทั้งลากทั้งดึงเขาให้เข้าไปในห้องหนังสือเล็ก เว่ยฉางอิ๋งรีบปิดประตูเอาไว้ แล้วเอื้อมมือไปดึงหูเขาด้วยความเดือดดาลยิ่ง “จะ…เจ้าพูดสิ่งใดกัน!”
ทางหนึ่งเสิ่นจั้งเฟิงก็ยิ้มพลางก้มหน้าลงมาหานาง อีกทางหนึ่งก็แก้ตัวว่า “สามีพูดสิ่งใดไปเล่า?”
“เจ้า…!” เว่ยฉางอิ๋งคิดจะพูดบางสิ่ง แต่ใบหน้ากลับยิ่งแดงขึ้น จึงได้เหยียบเท้าเขาด้วยความโกรธไปเสียเลย “เจ้าหน้าไม่อายจริงๆ คำพูดเช่นนั้นยังกล้าเอ่ยต่อหน้าพวกบ่าว! ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ!”
เสิ่นจั้งเฟิงประหลาดใจ “เจ้าตีสามีก็มิใช่เพียงหนสองหนแล้ว ว่ากันว่าตีก็คือจูบ ด่าก็คือรัก สามีล้วนไม่ได้ใส่ใจ ต่อให้ผู้อื่นรู้เข้าแล้วจักเป็นอย่างไร?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้ง แล้วปล่อยหูเขาออก พลางเอ่ยอย่างระแวงว่า “ที่เจ้าว่าข้าจะปิดประตูแล้ว…เจ้า…คือตีเจ้ารึ?”
“ไม่อย่างนั้นจะเป็นสิ่งใด?” เสิ่นจั้งเฟิงจัดเสื้อผ้าที่ถูกนางดึงจนเบี้ยว พลางย้อนถาม “เจ้าคิดไปถึงที่ใดกัน?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วพลันยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้าพลางกล่าวด้วยโทสะว่า “ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดทั้งนั้น!”
“ความจริงแล้ว…” เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นมาลูบที่ริมฝีปาก จ้องมองนางคล้ายกำลังคิดบางสิ่ง กล่าวว่า “หากเจ้าคิดอยากจะทำเรื่องอื่น สามีก็ยินดีจะให้ความร่วมมือยิ่ง ยามนี้ก็พอดีไม่มีคน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ลองดูสักหน่อย?”
เว่ยฉางอิ๋งลดแขนเสื้อลง ใบหน้าแดงราวกับจะมีเลือดหยดออกมา “ลองดูกะผีสิ! จะ…เจ้าคิดสิ่งใดของเจ้าอยู่?”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ พลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “สามีหมายความว่าหากเจ้าคิดจะคัดอักษรหรือวาดภาพทำนองนั้น ก็สามารถอาศัยจังหวะที่ไม่มีคน ให้สามีช่วยเจ้าฝนหมึกเตรียมกระดาษ… ก่อนนี้เจ้าบอกว่าจะมาที่ห้องหนังสือเล็ก ก็มิใช่จะทำเรื่องเหล่านี้หรอกหรือ? เจ้า… อื่ม เจ้านึกว่าจะทำสิ่งใด?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งลอบกระอักเลือดในใจ ชั่วอึดใจหนึ่งจึงกล่าวว่า “ข้ามิได้คิดสิ่งใดทั้งนั้น…”
“เช่นนั้นอาจอยากดูหนังสือภาพ?” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
เว่ยฉางอิ๋งสับสนว้าวุ่นในใจไปหมด รู้สึกแต่เพียงว่านางขัดเขินจนพูดไม่ออก แล้วรู้สึกว่าตนถูกเขาเย้าแหย่ติดต่อกันสองครั้งสองครา แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับสรรหาเหตุผลต่างๆ ออกมาได้แก้ต่างได้หมด จนปัญญาจะจับได้ไล่ทันเขาจริงๆ ยามนี้รู้สึกแต่เพียงว่าอยากรีบทำสิ่งใดสักเล็กน้อยเพื่อขจัดความขัดเขินไปเสีย ได้ยินคำจึงตอบไปลอยๆ ว่า “ตกลง”
________________________________