ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 25 เสนอให้แต่งงานอีกหน
ช่วงเย็นของวันต่อมา ที่สุดเสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาแล้ว สีหน้าของเขาดูไปแล้วอ่อนล้าหนัก เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าคงเพราะอาการของแม่เฒ่าเติ้งไม่สู้ดีนัก เพียงแต่นางตวนมู่เพิ่งจะเชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวมา หากตนเองเสนอให้ไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาในทันที ก็จะมองดูว่าเป็นการชิงดีชิงเด่นกับพี่สะใภ้รองเอาได้
ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ตวมมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของจี้ชวี่ปิ้งก็ยังไม่อาจช่วยพูดแทนแม่เฒ่าเติ้งได้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะจี้ชวี่ปิ้งพาลโกรธมาถึงแม่เฒ่าเติ้งจนถึงขั้นใด? เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าบ้านซูล้วนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ บางทีอาการของแม่เฒ่าเติ้งอาจไม่ได้สาหัสอย่างที่ตนคิด ตนเองจึงไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงไปล่วงเกินหมอเทวดาท่านหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมอเทวดาที่เคยช่วยชีวิตบิดาของตนให้ต้องมาลำบากใจ เมื่อเป็นดังนี้ เรื่องนี้รั้งรอสักหน่อยค่อยว่ากันจะดีกว่า… อย่างไรเสียก็เป็นพียงท่านยาย หาได้ใกล้ชิดเช่นท่านพ่อท่านแม่ไม่
ทั้งสองคนทานอาหาร อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมาภายในห้อง เว่ยฉางอิ๋งถามว่า “ยามนี้ทานยายเป็นเช่นไรบ้าง?”
เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “เวียนหัวอย่างหนัก… คุณหนูแปดตวนมู่ไปดูมาแล้วก็บอกว่านางไม่อาจรักษาได้ ดีที่ได้หน้าตาของพี่สะใภ้รองนางจึงรีบไปขอคำชี้แนะจากท่านหมอเทวดาจี้” แล้วทอดถอนใจ “เพียงแต่ท่านหมอเทวดาจี้เคยมีเรื่องขัดเคืองกับตระกูลเติ้ง… เมื่อวานไปมาจนยามนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดกลับมา คาดว่าคงไม่อาจขอให้ท่านหมอเทวดาจี้มาช่วยได้”
เว่ยฉางอิ๋งเดาจากน้ำเสียงของเขาว่าหาได้ไม่พอใจตวนมู่ซินเหมี่ยว จึงคิดว่าคงเพราะคนบ้านซูและเสิ่นจั้งเฟิงล้วนไม่รู้ธาตุแท้ของตวนมู่ซินเหมี่ยว?
จึงลองถามไปว่า “ได้ยินว่าคุณหนูแปดตวนมู่เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่านหมอเทวดาจี้ และได้รับความรักใคร่จากท่านหมอเทวดายิ่ง คาดว่าท่านหมอเทวดาคงจะเห็นแก่หน้านางบ้างกระมัง?”
เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “คุณหนูแปดตวนมู่กระตือรือร้นมาก ทว่าท่านหมอเทวดาจี้ไม่เคยให้การรักษาคนตระกูลเติ้งมาก่อนเลย เรื่องนี้ก็ค่อนข้างลำบากอยู่”
…เอ่อ ข้าพอจะรู้นิสัยใจคอของคุณหนูแปดตวนมู่ผู้นี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก พลันรู้สึกขึ้นมาว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ทำทีร้อนอกร้อนใจยามอยู่ต่อหน้า แต่ลับหลังกลับมีท่าทีเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา… เหตุใดจึงเหมือนกันนางหวงเช่นนี้? ยิ่งคิดต่อไปคราก่อนนางหลิวบอกว่า ตอนแรกยามจี้ชวี่ปิ้งไปพักอยู่ที่ตระกูลเว่ยนั้น เพื่อให้สามารถครูพักลักจำวิชาจากเขา ท่านย่าจึงจงใจให้บ่าวข้างกายที่ฉลาดคล่องแคล่วที่สุดไปคอยรับใช้เขาเป็นการเฉพาะ ปรากฏว่าในบรรดาสาวใช้ทั้งกลุ่ม ที่สุดแล้วนางหวงก็ได้รับการชื่นชมจากจี้ชวี่ปิ้งและสอนวิชาแพทย์ให้สองปี
หรือว่า…จี้ชวี่ปิ้งจักชื่นชอบศิษย์ประเภทต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ใจคออำมหิตจนถึงขั้นที่ออกจะเห็นว่าตนเป็นเลิศกว่าผู้อื่น??
เรื่องนี้ช่างไม่เหมือนกับแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเลที่อุทิศตนช่วยเหลือผู้คนที่บาดเจ็บใกล้ตายในจินตนาการเอาเสียเลย!
เสิ่นจั้งเฟิงถือเอาความเงียบงันของนางเป็นความกังวลใจที่มีต่อแม่เฒ่าเติ้ง เขาลูบใบหน้าของนาง แล้วปลอบไปว่า “แม้ท่านยายจะเวียนหัวหนัก แต่เรี่ยวแรงกลับยังดีอยู่ คาดว่าเรื่องของตระกูลจี้ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แรกเริ่มท่านหมอเทวดาจี้อาจยังคิดไม่ตก หากได้คุณหนูแปดตวนมู่ไปเกลี้ยกล่อมอีกสักหน่อยก็คงจักสำเร็จ”
เว่ยฉางอิ๋งไม่พูดจาพลางจับมือเขาออก คิดในใจว่าคุณหนูแปดตวนมู่ที่เจ้าเห็นว่ากระตือรือร้นมาช่วยรักษานั้น เกรงว่ายามนี้จะหลงลืมเรื่องของท่านยายเจ้าไว้บนเมฆหมอกชั้นไหนแล้วกระมัง! ยังจะไปเกลี่ยกล่อมอีก… หากตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนเช่นเดียวกับนางหวงจริงๆ ยามเอ่ยถึงแม่เฒ่าเติ้งกับจี้ชวี่ปิ้งก็จักต้องบอกเช่นนี้ว่า ‘ความเป็นตายของยายแก่ตระกูลเติ้งนั้นเกี่ยวกับศิษย์เรื่องใด ครานั้นบ้านเติ้งบีบบังคับท่านอาจารย์ ศิษย์ล้วนจดจำได้! ท่านอาจารย์คอยดูความกตัญญูของศิษย์เถิด… แล้วท่านอาจารย์จะมีของรางวัลให้แก่ศิษย์หรือไม่?’
หรือไม่อย่างนั้นก็ ‘ยายแก่บ้านเติ้งจะเป็นหรือตายก็มิใช่เรื่องของพวกเราศิษย์อาจารย์ เพียงแต่หากช่วยนางเอาไว้ก็มิรู้ว่าจะมีประโยชน์อันใด? ระยะนี้ท่านอาจารย์มีที่ใดต้องใช้งานตระกูลซูหรือสกุลเติ้งนี่หรือไม่? หากว่ามี ครานี้ศิษย์ก็จะยอมออกแรงให้!’
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปากบอกว่า “วานนี้เจ้าไม่ได้กลับมา…”
“เช่นนั้นจึงคิดถึงสามีแล้ว?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้ม
เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าวว่า “วานนี้พี่รองทั้งตบตีและด่าทอพี่สะใภ้รอง!”
“ฮึ?” เสิ่นจั้งเฟิงสะดุ้งพลางหยุดชะงักไป เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ทะเลาะกันรุนแรงนัก พี่สะใภ้ใหญ่ไปถึงก่อนแต่ก็ยังปรามไว้ไม่อยู่! เคราะห์ดีที่น้องห้าและน้องหกอยู่บ้าน ทั้งสองคนทั้งลากทั้งดึงเอาไว้จึงรั้งพี่รองเอาไว้ได้… วันที่ข้าไปยกน้ำชานั้นเห็นพี่รองเป็นคนที่อ่อนโยนยิ่งผู้หนึ่ง กลับคิดไม่ถึงว่ายามเขาบันดาลโทสะขึ้นมาจะรุนแรงถึงเพียงนี้…”
เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่งจึงถามว่า “ด้วยเรื่องใด? ลวี่เฉียวแท้งลูก?”
“จะมิใช่หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก กล่าวเสียงเบา “ก็ไม่รู้เป็นผู้ใดไปบอกกับพี่รองว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนทำให้ลวี่เฉียวแท้งลูก ปรากฏกว่าพี่รองจึงได้…พี่สะใภ้รอง…”
“ยามนี้ตรวจสอบเรื่องนั้นชัดเจนแล้วหรือไม่?” เสิ่นจั้งเฟิงถามอีก
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ภายหลังน้องห้าและน้องหกพยายามดึงพี่รองเข้าไปดื่มชาสงบสติอารมณ์ ข้าและพี่สะใภ้ใหญ่พาพี่สะใภ้รองไปล้างหน้าแปรงผมที่เรือนหลังพักหนึ่ง สองฝั่งแยกกันไปปลุกปลอบอยู่เป็นนาน พี่รองจึงรับปากว่าจะให้พี่สะใภ้รองอธิบาย ปรากฏว่าพอพี่สะใภ้รองเอ่ยปาก กลับเป็นลวี่เฉียวไม่ระวังทำให้ตนเองแท้งลูก และเพื่อมิให้ตนต้องถูกสอบสวน วันต่อมาจึงได้เอายาขับเลือดมาใส่ไว้ในน้ำชาที่ตนดื่มเพื่อให้ร้ายแก่ผู้อื่น!”
“ในเมื่อเพิ่งจะมาพบยาขับเลือดในวันต่อมาหลังจากแท้งลูก เช่นนี้ก็น่าสงสัย” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างราบเรียบ “ทุกคนในบ้านต่างรู้ข่าวเรื่องนางแท้งลูก หากมีคนทำร้ายนาง ต่อให้เลอะเลือนปานใดก็คงไม่โง่ขนาดใส่ยาต่ออีก…ครรภ์ก็ไม่มีแล้วยังจะแท้งอย่างไรอีก?”
นิ่งไปอีกพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “ซูโหรวอายุได้เจ็บปีแล้ว จนยามนี้ พี่รองก็ยังคงไม่มีบุตรชาย จึงอดจะรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ เรื่องนี้พี่สะใภ้รองไม่ได้รับความยุติธรรมแล้ว…รอให้ท่านแม่กลับมา เจ้าก็ไปบอกกับท่านแม่ ให้ท่านแม่ปลอบพี่สะใภ้รองสักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว… เจ้าก็เหนื่อยแล้ว พวกเรานอนกันเถิด”
จนเช้าวันรุ่งขึ้น ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงลุกขึ้นจากตั่ง นางพลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่ชัดเจนว่า “วันหยุดครานี้เจ้ามีธุระใดหรือไม่?”
เสิ่นจั้งเฟิงเพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง กำลังจะลงจากตั่ง เมื่อได้ยินเสียงจึงหยุดชะงักเสีย แล้วสอดมือเข้าไปในผมของนางพลางลูบไล้ช้าๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “มิใช่บอกแล้วว่าจะพาเจ้าออกไปดูเมืองหลวง?”
“ฮึ?” เว่ยฉางอิ๋งงงงันอยู่สักพัก จึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า คล้ายว่าเขาจะเคยสัญญาไว้เช่นนั้นในวันกลับบ้าน เพียงแต่ครานั้นที่ตนเองเอาแต่จ้องไปนอกรถ ก็หาใช่เพราะอยากเห็นทัศนียภาพของเมืองหลวงไม่ แต่กลับทำให้เขาเข้าใจผิดเสียแล้ว ดังนั้นนางจึงมิได้นำมาใส่ใจ ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะจำได้จริงๆ… นางพึมพำออกมาว่า “ดูเมืองหลวงนั้นยังมิต้องรีบร้อน วันหยุดหนนี้เจ้าอยู่ที่บ้านเถิด”
เสิ่นจั้งเฟิงตอบไปคำหนึ่งก่อนว่า “ได้” แล้วโน้มตัวลงมาพลางถามอย่างสงสัยว่า “เพราะเหตุใด?”
“… ไม่บอกเจ้า!” แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่บอกเรื่องจริงกับเขา นางคิดจะอ้างเหตุผลสักข้อ แต่จนใจเหลือที่สองสามวันมานี้ล้วนไม่ต้องไปคารวะฮูหยินซู ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงยังเอาใจนาง ยามเขาตื่นนอนก็จะพยายามให้เบาไม้เบามือที่สุด นางจึงชินกับการตื่นตอนรุ่งเช้าเสียแล้ว ครานี้แม้จะถูกทำให้ตกใจตื่น แต่นางก็ยังง่วงอยู่มาก ในสมองขบคิดอย่างสับสนอยู่นานก็คิดข้ออ้างดีๆ ไม่ออกสักข้อ จึงบอกปัดไปประโยคหนึ่งแล้วก็ล้มหัวลงนอนต่อ
คล้ายว่าเห็นเสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเสียงดัง กล่าวบางสิ่งแล้วลูบใบหน้านาง แล้วจึงออกจากมุ้งไปเปลี่ยนเสื้อมัดผม
จนรุ่งเช้าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งตื่นนอน พอจักจำได้ว่าตนบอกกับเสิ่นจั้งเฟิงไปแล้วว่าให้เขาอยู่ที่บ้านในวันหยุดคราวหน้า และเสิ่นจั้งเฟิงก็รับปากแล้ว จึงบอกกับนางหวงว่า “อีกสักพักให้สั่งให้คนไปบอกกับพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อให้นางวางใจให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวรักษาตัว”
นางหวงเข้าใจแล้วจึงออกไปเรียกจูหลานนำความไปบอก
ครึ่งชั่วยามจากนั้น จูหลานกลับมาอย่างลิงโลด ในมือถือเงินพวงหนึ่งกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่าต้องให้รางวัลกับข้าน้อยให้ได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เก็บเอาไว้ซื้อลูกกวาดกินเถิด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางยิ้มอย่างมิได้ใส่ใจ
จูหลานได้ยินแล้วก็หัวเราะยกใหญ่บอกว่า “ขอบคุณฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ ทว่าข้าน้อยก็โตเพียงนี้แล้ว ไม่ได้อยากซื้อลูกกวาดกินแล้วเจ้าค่ะ!”
นางเฮ่อบังเอิญอยู่ข้างๆ จึงตำหนิหลานสาวไปว่า “ขอบคุณฮูหยินน้อยก็ขอบคุณไป จะพูดมากไปไย!”
เว่ยฉางอิ๋งปรามนาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาเฮ่ออย่าได้โมโหเลย จูหลานน้อยก็โตแล้ว ข้าจำได้ว่ายามจูหลานเพิ่งจะมาอยู่กับข้าอายุได้เพียงเจ็ดปี คอยคิดแต่อยากจะกินลูกกวาดกับขนมอยู่ทั้งวัน พริบตาเดียวถึงยามนี้ก็ไม่ชอบกินลูกกวาดเสียแล้ว จะว่าไปนี่ก็เป็นเรื่องดีนะ…”
นางหวงจึงกระเซ้าขึ้นว่า “จูหลานน้อยไม่อยากกินลูกกวาดแล้ว แล้วอยากได้สิ่งใด? หรือจะเอาไปซื้อชาดกับแป้งน้ำทาหน้า?”
“ชาดกับแป้งน้ำมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้ตน จะเอาไว้ให้พี่ชายคนใดดูกันนะ?” ฉินเกอและเยี่ยนเกอสบตากันหนหนึ่ง พลางเอ่ยรับอย่างรู้กันอยู่ในใจ
สองสามคนผลัดกันเย้าแหย่จนทำเอาคนฝีปากแก่กล้าอย่างจูหลานพูดแทรกไม่ได้เลย นางอายจนหน้าแดงหูแดง เอาเงินใส่ไว้ในแขนเสื้อ แล้วไปหลบข้างหลังนางเฮ่อ ร้องออกไปด้วยความอายและความโกรธว่า “ท่านป้าท่านฟังสิ! พวกนางรุมรังแกข้า!”
แต่นางเฮ่อกลับคิดขึ้นมาในใจ แล้วอาศัยโอกาสนี้บอกว่า “ฮูหยินน้อย จูหลานก็อายุไม่น้อยแล้ว ยังสามารถปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินน้อยไปอีกสองสามปี เพียงแต่ชีวิตในวันหน้าของนาง…” เพราะเป็นหลานสาว แม้พูดได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจักไม่แล้งน้ำใจต่อคนข้างกาย แต่ลำพังสาวใช้น้อยใหญ่ที่ติดตามมาหลังแต่งงานก็มีถึงแปดคน อย่างไรก็ต้องมีลำดับก่อนหลังสูงต่ำ นางเฮ่อวางแผนให้แก่จูหลาน เรื่องการแต่งงานของบ่าวไพร่นั้นย่อมต้องให้เว่ยฉางอิ๋งอนุญาตแก่จูหลานเป็นอันดับแรกจึงจะดี
จูหลานคิดไม่ถึงว่าป้าแท้ๆ ของตนนอกจากจะไม่ออกปากช่วยตนแล้ว กลับยังพูดไปจริงไปจังขึ้นมาเสียอีก นางจึงเขินอายจนยืนอยู่ในห้องอีกไม่ไหว พลันกระโจนออกมาและวิ่งไปข้างนอกห้อง “ไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว! พวกชอบรังแกคนอื่น!”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางในชุดหลากหลายสีวิ่งออกไปอย่างเร่งร้อน จึงนึกขำอยู่ในใจ “ก็มิใช่พูดเล่นกันสักหน่อย กลับลืมไปเสียว่าพวกนางก็โตแล้ว ฉินเกอ เยี่ยนเกอก็ด้วย หากมีคนที่ต้องใจ ก็เพียงบอกกล่าวกับข้า หากข้าให้ไปได้ก็จะให้ไป”
ฉินเกอและเยี่ยนเกอไม่คิดว่าเมื่อกระเซ้าจูหลานจนหนีออกไป แล้วเรื่องกลับหันมาอยู่ที่ตัวพวกนางแทน จึงตกตะลึงหนหนึ่ง ยิ้มออกมาแล้วว่า “พวกข้าน้อยล้วนต้องปรนนิบัติฮูหยินน้อยไปชั่วชีวิต ฮูหยินน้อยกล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปในทันใด และนึกขึ้นมาได้ว่าพวกของฉินเกอทั้งสี่คนล้วนถูกคัดเลือกออกมาจาก ‘ปี้อู๋’ ไม่เหมือนกับสาวใช้ทั่วไป นางจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน แล้วพูดกับทุกคนว่าในลานบ้านต้องหาตันไม้จำพวกต้นไม้ดอกมาเพิ่มอีกสักต้นสองต้นหรือไม่
เช่นนี้เรื่อยไปจนหลังเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งหลบไปพักผ่อนสักหน่อย เมื่อคิดได้ว่าเพราะออกเรือน หลายวันมานี้จึงไม่ได้ฝึกวรยุทธ์เลย… คาดว่าคงเป็นด้วยเหตุนี้จึงทำให้พละกำลังของนางถดถอยลงไปอย่างมาก และพ่ายแพ้ให้เสิ่นจั้งเฟิงอยู่บ่อยครั้ง…
นางจึงเปลี่ยนเป็นชุดรัดกุม แล้วฝึกเพลงหมัดในลานบ้านรอบหนึ่ง แล้วเอากระบี่เยวี่ยหยวนมาฝึกอีกรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็อดจะมีเหงื่อท่วมตัวไม่ได้
นางเฮ่อมองเห็นจึงเอาผ้าไปเช็ดให้นางหนสองหน สั่งให้คนไปเตรียมห้องอาบน้ำ แล้วนางกับนางหวงก็ช่วยกันปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้างดงามหรูหรา นางหวงเอาผ้ามาช่วยเช็ดผมให้เว่ยฉางอิ๋ง แต่กลับให้นางเฮ่อไปดูพวกสาวใช้ตัวน้อยสักหน่อยว่าอย่าให้พวกนางแอบขี้เกียจกัน เพราะเวลาที่พวกนางอยู่ด้วยกันก็มักจะพากันพูดนั่นพูดนี่ที่ไม่สมควร จักทำลายภาพลักษณ์ของเรือนจินถงเอาได้
ผู้ที่เชื่อถือในความสามารถของนางหวงเป็นที่สุดก็คือนางเฮ่อแล้ว เมื่อได้ยินคำนางเฮ่อไม่แม้จะเอ่ยถามก็พุ่งตรงออกไปหาสาวใช้ตัวน้อยเหล่านั้นทันที…
เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางเฮ่อถูกไล่ออกไปก็ยังไม่ทันคิดสิ่งใด แล้วเห็นนางหวงให้เจวี๋ยเกอและหานเกอที่เป็นเวรรับใช้ยามนี้ออกไป ครานี้จึงเพิ่งรู้สึกขึ้นมาว่านางหวงมีเรื่องอยากจะพูดกับตน จึงถามว่า “ท่านอา?”
นางหวงทำสัญญาณมือให้เสียงเบา แล้วขยับเข้ามาใกล้หูนางกระซิบว่า “เพลานี้ฮูหยินน้อยก็ออกเรือนแล้ว… น้องเฮ่อยังสาวนัก ฮูหยินน้อยดูสิเจ้าค่ะ…”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งงงอยู่สักพักจึงพึ่งเข้าใจความหมายของนางหวง…แม่นมเฮ่อแม้จะถูกเรียกขานว่าท่านอา แต่ยามนี้อายุก็เพิ่งจะสามสิบนิดๆ ยังคงมีเสน่ห์ของหญิงสาวอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบุตรชายของนางเฮ่อตายไปตั้งแต่ยังเล็ก ไร้ทั้งสามีและบุตร แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเลี้ยงดูนางไปจนแก่ แต่พออายุมากแล้วและไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตน วันหน้าก็นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ
ก่อนนี้ฮูหยินซ่งสงสารนางเฮ่อจึงเคยเสนอให้นางแต่งงานใหม่ เพียงแต่นางเฮ่ออาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากเว่ยฉางอิ๋งไป จึงไม่ยอมตอบตกลง ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ออกเรือนแล้วเป็นฮูหยินน้อยแล้ว ผู้ติดตามหลังแต่งงานนับเป็นสมบัติส่วนตัวของนาง ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีก็ไม่สะดวกจะมาก้าวก่าย นางจึงสามารถเป็นคนตัดสินใจให้นางเฮ่อเลือกหาคนดีซื่อตรงมาแต่งงานด้วย ยามนี้นางเฮ่อยังสาว ยังเร่งมีผู้สืบสกุลสักคนได้ทัน ทั้งยังไม่ถึงกับเป็นการบังคับให้นางไปจากเว่ยฉางอิ๋งที่นางเลี้ยงดูมาจนโต…ถือเป็นเรื่องดีงามสำหรับทั้งสองฝ่าย
…ตนยังเด็กอยู่จริงๆ แม่นมที่คอยปกป้องและรักใคร่ตนเช่นนี้ ก่อนที่ตนจะออกเรือนก็ควรคิดการเรื่องนี้ให้นางแล้ว ไม่แน่ว่าแต่แรกนั้นทั้งท่านย่าและท่านแม่ก็คิดเช่นนี้ด้วย เพียงแต่กำลังคิดถึงเรื่องที่ตนต้องแต่งงานมาอยู่ไกลบ้านจึงลืมเอ่ยถึงเรื่องนี้ ปรากฏกว่าตนเองกลับไม่เคยคิดถึงเลย หากมิได้นางหวงเอ่ยเตือน มิใช่ว่าจะถ่วงเวลานางเฮ่อต่อไป?
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็มิได้เป็นคนที่ไม่รู้จักผ่อนปรน นางเฮ่อเลี้ยงดูนางมาจนโต ความผูกพันที่นางมีต่อนางเฮ่อนั้นยังมีเหนือกว่านางหวงเสียอีก ย่อมหวังว่านางเฮ่อจะมีชีวิตที่ดี กำลังจะพยักหน้า แต่พอกลับมาคิด จึงถามว่า “ท่านอาพูดเช่นนี้ หรือว่ามีตัวเลือกอยู่แล้ว? หรือว่า?”
________________________________