ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 21 เรื่องใหญ่ที่แท้จริง
เมื่อกลับถึงเรือนจินถง เสิ่นจั้งเฟิงยังไม่กลับมา แต่บ่าวที่สั่งให้นำจดหมายไปส่งที่จวนตระกูลซ่งกลับมาแล้ว ซึ่งครานี้ผู้ที่วิ่งไปส่งคือหนีห้าวซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของนางหวง หนีห้าวโตกว่าเว่ยฉางอิ๋งหนึ่งปี ยามนี้มีบุตรสาวคนโตและบุตรชายคนรองแล้ว ด้วยเหตุที่นางหวงต้องติดตามเว่ยฉางอิ๋งมา บ้านนางทั้งบ้านจึงอยู่ในรายชื่อบ่าวติดตามเว่ยฉางอิ๋งมายามแต่งงานด้วย สามีและบุตรชายล้วนทำงานในตำแหน่งพ่อบ้าน
เดิมทีแล้วงานส่งหนังสือเช่นนี้จะมิได้ให้เขาทำ ทว่านางหวงอยากให้บุตรชายได้มีโอกาสมาโผล่หน้าโผล่ตาต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งบ้าง จึงได้สั่งให้เขาไปทำ
หนีห้าวรายงานอย่างนอบน้อมผ่านม่านกั้นว่า “คุณหนูใหญ่ซ่งสอบถามว่าฮูหยินน้อยสบายดีหรือไม่ และมีจดหมายตอบกลับมาด้วยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งให้จูหลานออกไปรับจดหมายมา แต่กลับเอาแต่กุมเอาไว้ไม่ยอมเปิดออก แล้วสอบถามไปอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าได้เข้าไปในเรือนหลัง และสอบถามท่านพี่หรือไม่ว่ายามนี้เป็นเช่นไร?”
หนีห้าวกล่าวว่า “เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้อยเพียงได้กล่าวด้วยคุณหนูใหญ่ซ่งสองประโยคผ่านฉากกั้นขอรับ น้ำเสียงของคุณหนูใหญ่ซ่งตื่นเต้นยิ่ง และบอกว่าเมื่อฮูหยินน้อยอยู่ที่บ้านเสิ่นครบเดือนเมื่อใดจักต้องมาเยี่ยมแน่นอนของรับ ข้าน้อยฟังได้ว่าคุณหนูใหญ่ซ่งแจ่มใส่ดีขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งแอบรู้สึกโล่งใจ แย้มยิ้มพลางว่า “ครานี้ลำบากเจ้าแล้ว ฉินเกอไปเอา…”
นางหวงรีบเอ่ยยั้งนางไปว่า “เขาได้วิ่งไปส่งข่าวให้ฮูหยินน้อย ถือเป็นวาสนา จักยังให้ฮูหยินน้อยตบรางวัลอีกได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“ไปเอากลเก้าห่วง[1]ให้หลานสาวตัวน้อยของท่านอาเอาไปเล่น” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะแล้วว่า “ของนี้ยามนี้ก็วางเอาไว้เฉยๆ”
หนนี้นางหวงจึงขอบคุณและยอมรับของ แต่เมื่อเห็นว่าของที่ฉินเกอนำออกมากลับเป็นกลเก้าห่วงที่ทำจากเงินแท้ ความจริงแล้วก็ยังถือเป็นรางวัลอยู่ดี นางหวงบ่นให้เว่ยฉางอิ๋งไปสองสามประโยค เมื่อเห็นนางยืนกรานว่าจะให้ จึงให้หนีห้าวรับไปไว้และออกไปได้
เว่ยฉางอิ๋งถือจดหมายเข้าไปภายในห้อง แล้วนั่งอิงตัวอยู่บนตั่งข้างหน้าต่างทางทิศตะวันตก อดจะฉีกออกมาอ่านไม่ได้… ยามนี้ซ่งไจ้สุ่ยอารมณ์ดียิ่ง เขียนจดหมายมาเต็มสองสามหน้าใหญ่ทีเดียว
นางกระเซ้าเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งแต่งงานใหม่ไปสองสามประโยค บอกว่าวันที่เว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านเสิ่นนั้น นางยังสวมหมวกปิดหน้าวิ่งไปคอยดูที่ร้านสุราข้างทาง ทั้งยังบอกว่าเติ้งจงฉีที่เคยช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ที่แท้แล้วก็อาศัยอยู่ใกล้ๆ จวนตระกูลซ่ง บางครั้งซ่งไจ้สุ่ยยังได้พบกับเติ้งวานวานน้องสาวร่วมท้องของเขา และพูดคุยกันอย่างถูกคอ ยามนี้มักจะนัดคุณหนูตระกูลเติ้งผู้นี้มาสนทนากันในจวน กลับมิได้รู้สึกเหงาเลย ท้ายสุดก็นัดพบกันหลังจากครบหนึ่งเดือน… จนถึงยามนี้ ซ่งไจ้สุ่ยจึงคล้ายเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งเขียนจดหมายมานั้นด้วยวัตถุประสงค์ใด แล้วตอบไปหนึ่งประโยคว่า เรื่องของเว่ยเซิ่งเซียนนั้นนางจะไปขอร้องกับซ่งอวี่วั่งผู้บิดา คาดว่าปัญหาไม่หนักหนา ให้เว่ยฉางอิ๋งมิต้องเป็นกังวล
เมื่อมองเห็นความแช่มชื่นเป็นสุขที่เผยออกมาท่ามกลางตัวอักษรบนกระดาษซึ่งหลั่งไหล่ออกมาดังสายน้ำ เว่ยฉางอิ๋งอดจะรู้สึกไม่ได้ว่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทางนี้นางยังรู้สึกเป็นกังวลกับวันข้างหน้าของซ่งไจ้สุ่ยอยู่เลย ดูไปแล้วตัวซ่งไจ้สุ่ยเองกลับไม่รู้สึกเช่นไร กลับเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในจวน กินๆ เล่นๆ อย่างมีความสุข ในจดหมายยังแนบกระดาษสาดอกท้อมาแผ่นหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นวิธีทำของว่างที่นำมาจากดินแดนต้าสือ[2]ชนิดหนึ่ง!
…ต้องรู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยอยู่ที่เฟิ่งโจวหลายเดือน ไม่ว่าเรื่องอาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ต่างๆ นางล้วนไม่เคยเอ่ยถึงแม้สักคำ! แม้แต่เมื่อแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งไปสอบถามด้วยความห่วงใย นางก็ล้วนตอบไปว่าตนไม่มีสิ่งใดที่ไม่ทานหรือไม่ชอบ
ยามนี้กลับมีแก่ใจศึกษาเรื่องต่างๆ ขึ้นมาเพื่อหาความสุขใส่ตัว…
เว่ยฉางอิ๋งนำจดหมายส่งให้นางหวงดู กล่าวว่า “เช่นนั้นวันพรุ่งท่านอาไปหาท่านหมอเทวดาจี้ต้องตระเตรียมสิ่งใดบ้างหรือไม่?”
นางหวงมองไปรอบๆ ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ท่านหมอเทวดาไม่ใคร่สนใจของนอกกาย เอาของว่างเล็กๆ น้อยๆ ไปก็พอเจ้าค่ะ”
“ท่านอาเพียงสั่งความไปยังห้องครัว หากว่าขาดเหลือสิ่งใดก็ให้คนออกไปซื้อ แล้วมาคิดเงินกับข้า” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว
“ของที่มีในห้องครัวก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ” นางหวงกล่าวยิ้มๆ “ความจริงแล้วเว้นเสียแต่ว่าเป็นคนที่ท่านหมอเทวดาไม่ชื่นชอบ หาไม่แล้ว ท่านหมอเทวดาก็เป็นคนที่พูดจาง่ายเจ้าค่ะ”
ด้วยเหตุที่จี้ชวี่ปิ้งเคยช่วยชีวิตเว่ยจิ้งหงเอาไว้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกใกล้ชิดกับจี้ชวี่ปิ้งโดยสัญชาตญาณ จึงพยักหน้าแล้วว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ครานี้จูเสียนและจูหลานที่อยู่ข้างนอกก็กล่าวคำทักทายด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว ฟังได้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาแล้ว นางหวงรีบเอาจดหมายที่ตนยังอ่านไม่จบเก็บกลับไป แล้วยิ้มและเร่งรัดเว่ยฉางอิ๋งไปว่า “คุณชายกลับมาแล้ว ฮูหยินน้อยรีบไปดูสิเจ้าคะ”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงและกำลังจะสวมรองเท้าผ้า เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้กลับหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ แล้วก็นั่งลงไปอีกครั้ง แสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องใดพลางกล่าวว่า “เขากลับมาก็กลับมา ไยต้องให้ข้าออกไปดูด้วย?”
นางหวงเห็นว่านางคิดอยากจะออกไปชัดๆ แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่ไยดีเสิ่นจั้งเฟิง จึงทั้งรู้สึกโมโหและรู้สึกขำ พลางบ่นว่า “เอาเถิด เอาเถิด หนหน้าข้าน้อยไม่บอกฮูหยินน้อยแล้ว พอใจแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
“อะไรเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นมาแล้วสะบัดมืออย่างไม่พอใจ กำลังจะพูด ประตูก็กลับเปิดออก เสิ่นจั้งเฟิงที่สวมชุดราชองครักษ์ชินเต็มยศก็เดินเข้ามา ที่เอวยังเหน็บดาบประดับทองสำหรับใช้ในพิธีการอยู่
นางหวงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเอาจดหมายซุกไว้ในอก คำนับแล้วว่า “คุณชาย ข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า
เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางเดินออกไปแล้วหันหลังกลับมาปิดประตู จึงช้อนตาขึ้นมามองสามี “กลับมาแล้วหรือ?” เมื่อกล่าวออกไปดังนี้แล้ว ก็รู้สึกคล้ายว่าไม่รู้จะหาเรื่องใดมาพูดอีก จึงยกมือขึ้นมาลูบๆ ที่ผมอย่างเคอะเขิน
เสิ่นจั้งเฟิงปลดดาบลง ยิ้มแล้วว่า “วันนี้กลับมาช้าสักหน่อย”
“หือ?”
“พวกพ้องมายินดีเรื่องที่ข้าแต่งงานใหม่ จึงเชิญคนจำนวนหนึ่งมากินเลี้ยงกันเล็กน้อยข้างนอก” เสิ่นจั้งเฟิงเอาดาบวางไว้บนโต๊ะ นิ่งไปสักพักจึงบอกว่า “วันนี้พระสนมเอกเติ้งนำผลไม้ตามฤดูมาถวายฮ่องเต้ที่ตำหนักเซวียนหนิง เมื่อพบข้าก็เอ่ยถามถึงเจ้า บอกว่ากลางเดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน ให้เจ้าเข้าวังไปให้นางดูสักหน่อย”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นางจะดูข้าทำสิ่งใด?”
“ข้าลองไปถามมา…” เสิ่นจั้งเฟิงเดินเข้ามาแล้วเอื้อมมือไปโอบเอวนางเอาไว้ เว่ยฉางอิ๋งผลักเขาพอเป็นพิธีหนหนึ่ง จากนั้นจึงคล้อยตามยอมเอนตัวเข้าไปในอ้อมอกเขา เมื่อเข้าไปใกล้ปรากฏว่าได้กลิ่นสุรา เสิ่นจั้งเฟิงจับปอยปมข้างหูนางเล่น ปากก็บอกว่า “ฮ่องเต้โปรดองค์หญิงหลินชวนยิ่ง เป็นเหตุให้ทั้งองค์ฮองเฮาและพระสนมเอกล้วนมีประสงค์ให้หลานชายอภิเษกกับองค์หญิง”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่บอกว่า…จางผิงซวี?”
“จางผิงซวี่เปลี่ยนใจแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ กล่าวว่า “วันนี้ยามกินเลี้ยงกัน กู้จื่อหมิงแอบบอกกับข้าว่า ยามเขาและกู้เวยไปเยี่ยมนั้น พบว่าดูไปแล้วจางผิงซวีล้มป่วยไม่เบาเลย แต่กู้จื่อหมิงรู้วิชาแพทย์ จึงอาศัยจังหวะที่ไปเยี่ยมแอบจับชีพจรเขา กลับรู้สึกว่าการเต้นของชีพจรเหมือนเกิดจาก ‘ผงไร้เยียวยา’ มาก”
ผงไร้เยียวยาสามารถทำให้เกิดอาการป่วยหนัก ยังไม่นับเรื่องที่ว่าตำรับยาชนิดนี้เป็นความลับ ทว่าในตระกูลใหญ่หลายตระกูลล้วนมีกันอยู่ หากจะบอกว่าไม่ใช่ความลับ แต่สำหรับหลายๆ คนแม้ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ยามนี้ถึงเวลาที่ต้องกำหนดตัวผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นราชบุตรเขยในองค์หญิงหลินชวนแล้ว แต่จางผิงซวีก็มาแกล้งล้มป่วยหนัก ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่ามีเจตนาใด
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าของสิ่งนี้คล้ายกับกระเรียนระทม เมื่อใช้แล้วก็จะตรวจสอบไม่ได้อย่างง่ายดาย กู้อี้หรานสามารถตรวจพบได้ในขณะแอบตรวจอาการเขา เห็นได้ว่าจะต้องมีวิชาแพทย์ที่ลึกล้ำยิ่ง
แต่ยามนี้นางไม่มีแก่ใจจะมาตื่นเต้นกับความสามารถทางการแพทย์ที่ลึกล้ำของกู้อี้หราน พลันรีบถามไปว่า “ก่อนนี้มิใช่ว่าเขาตกปากรับคำ เหตุใดจึงเปลี่ยนใจเสียแล้ว?”
“จื่อหมิ่งก็ไม่รู้” เสิ่นจั้งเฟิงพลันมีความกังวลขึ้นมาในแววตา กล่าวว่า “เมื่อเลียบๆ เคียงๆ สอบถามดูในตอนนั้น จางผิงซวีใช้ข้ออ้างว่าป่วยหนัก ไร้เรี่ยวแรงจะพูดจา เพื่อเป็นการส่งแขกทางอ้อม แล้ววันนี้ฮ่องเต้ทรงได้ยินข่าวจึงรู้สึกเคลือบแคลงและตรัสกับพระสนมเติ้งว่า ก่อนหน้านี้จางผิงซวีไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย เหตุใดเวลานี้จู่ๆ ก็มาล้มป่วย?”
แม้ฮองเต้จะทรงคร้านเรื่องราชกิจ ทั้งยังมักทำเรื่องตามอำเภอใจ นับตั้งแต่ฮ่องเฮาจนถึงองค์รัชทายาทก็ล้วนแต่งตั้งและถอดถอนโดยใช้ความรักใคร่เป็นที่ตั้ง ทว่าบัลลังก์ของพระองค์ก็ยังคงมั่งคงดังขุนเขาตลอดมา แม้ว่าหลากหลายตระกูลใหญ่ในแคว้นต่างคิดการเพื่อตนเอง แต่ก็เพียงกล้าวางแผนกันอย่างลับๆ เท่านั้น ในทางแจ้งล้วนเคารพนอบน้อมต่อราชสำนักยิ่ง ความจริงแล้วฮ่องเต้ก็หาใช่ผู้ที่ไร้ความสามารถ… เพียงแต่มิได้นำความสามารถมาใช้ในการบริหารแคว้นสักเท่าใดเท่านั้น
เว่ยฉางอิ๋งดาดเดาไปว่า “คงมิใช่ว่าก่อนนี้เขายังไม่มีคนรัก จึงได้ตอบจะอภิเษกกับองค์หญิง แต่มาเดือนนี้กลับพบกับคนที่ต้องใจเข้าให้แล้ว?”
“….ก็อาจเป็นไปได้” เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง กลับเอ่ยออกมาด้วยความสงสัยว่า “แต่วันที่ข้านำราชโองการไปสอบถาม ก็มิได้พูดไปชัดเจน อย่างไรเสียราชโองการก็มิได้ชี้ชัดว่าจะต้องเป็นเขา เพียงแต่ผู้ใกล้ชิดฮ่องเต้เสนอว่า องค์หญิงหลินชวนมักจะกล่าวชมเชยจางผิงซวีว่ามีความสามารถด้านกวีเหนือผู้ใด จึงได้ให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ได้รับการคัดเลือก ความจริงแล้วฮ่องเต้ทรงรู้สึกตลอดมาว่าแม้ฝีมือทางบุ๋นของจางผิงซวีจะดี ทว่าสองมือกลับไร้เรี่ยวแรงกำลัง …แต่หากใจเขามีคนที่รักอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่บอกกับข้าเป็นการส่วนตัว ว่าให้ค่อยๆ ทูลกับฮ่องเต้ให้เขาเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า ฟังดูจากน้ำเสียง เจ้ากับจางผิงซวีก็มิได้ใกล้ชิดกันนักหนา เรื่องใหญ่ขนาดปฏิเสธการแต่งงานกับสตรีในพระราชวงศ์ จางผิงซวีถือสิทธิ์ใดมาเชื่อเจ้า? จึงเอ่ยปากไปว่า “คงเพราะกลัวว่าทางราชสำนักจะลงทัณฑ์”
“องค์หญิงหลินชวนมีนิสัยหยิ่งยโส แม้จะชื่นชอบจางผิงซวี แต่หากรู้ว่าเขาไม่ได้พึงใจ ก็จะไม่ไปรบเร้าเขาแน่นอน” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า กล่าวว่า “จะอย่างไรจางผิงซวีก็เป็นบุตรชายในสายหลักของตระกูลจาง หากเขาไม่พึงใจจะมาเป็นราชบุตรเขยในราชสำนักจริงๆ ก็น่าจะแสดงท่าทีออกมาก่อนหน้านี้ให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันอยู่ในที เพราะอย่างไรเสียฮ่องเต้และองค์หญิงหลินชวนก็มิได้มีท่าทีว่าจะต้องเป็นเขาเท่านั้น กลับเป็นเขาที่ยึดยื้อมาจนถึงยามนี้ ราชโอการกำลังจะสั่งลงมาจึงไม่ได้สั่ง ซ้ำยังมาแกล้งป่วย หากให้องค์ฮ่องเต้และองค์หญิงหลินชวนทรงทราบก็จะยิ่งกริ้ว จางผิงซวีก็นับว่าเป็นคนฉลาด ตามหลักแล้วไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก “บางทีคนที่เขาพึงใจเพิ่งจะได้มาพบเอาสายเกินไป และเพิ่งจะได้มาเห็นในระยะนี้”
“บังเอิญถึงเพียงนั้น?” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก้มหัวลงจูบผมนาง
เว่ยฉางอิ๋งหยิกแขนเขาเบาๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นกังวลกับคนผู้นี้มาก ราวกับว่าเมื่อเขาปฏิเสธงานอภิเษกแล้ว เจ้าก็จักต้องพลอยเดือนร้อนไปด้วย?”
ไม่ว่าจะเป็นจางผิงซวีหรือหลี่ผิงซวี…เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่ามิได้เกี่ยวข้องใดกับบ้านของตน ดีชั่วหากจางผิงซวีต้องโทษก็ดี หรืออภิเษกกับองค์หญิงก็ดี ก็เป็นเพียงเรื่องของตระกูลจาง… อีกประการ นางเพิ่งจะได้ยินนางหวงบอกว่า มารดาใหม่เของหลิวรั่วอวี้เป็นคนตระกูลจาง ยามนี้จึงอดจะรู้สึกไม่ดีต่อตระกูลจางไม่ได้ จึงรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดเสิ่นจั้งเฟิงจึงได้สนใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้
เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ กล่าวว่า “ถูกเจ้ามองออกเสียแล้ว?”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเพียงเอ่ยปากถามไปลอยๆ เมื่อได้ยินคำจึงอดจะตกใจไม่ได้ “เรื่องนี้… เหตุใดจึงเกี่ยวพันกับเจ้า?”
“เรื่องมันยาว…” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งแล้วกล่าวว่า “สามีเพิ่งจะกลับมารู้สึกค่อนข้างเหนื่อย เช่นนั้นเจ้าก็จูบสามีสักหน่อย สามีจะได้มีเรี่ยวแรง จากนั้นจะได้บอกเจ้า…อุ๊!”
…เมื่อรู้วาตนตกหลุมพราง เว่ยฉางอิ๋งจึงเหยียบเท้าเขาไปแรงๆ หนหนึ่ง แล้วแกะมือเขาออก “ใครใช้ให้เจ้าพูดจาส่งเดช!”
เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางไม่พอใจ จึงรีบทำใจดีสู้เสื้อและปลุกปลอบนางว่า “ส่งเดชที่ใดเล่า? เรื่องที่จางผิงซวีล้มเลิกงานแต่งงาน ย่อมเกี่ยวพันกับข้าอยู่แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะพลางมองเขาหนหนึ่ง ออกแรงผลักเขาออก แล้วเดินเข้าไปในมุ้ง เอนกายลงบนตั่งทั้งเสื้อผ้าที่ยังไม่ผลัดเปลี่ยน แล้วหันหน้าเข้าหาผนัง วางท่าทีว่าขัดเคืองและไม่อยากจะสนใจเขา
เสิ่นจั้งเฟิงรีบเดินรวบสามก้าวเป็นสองก้าวไปนั่งที่ข้างตั่ง กุมมือนางและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “จริงๆ จริงๆ เจ้าฟังข้าพูด… หากนับกันตามลำดับแล้ว จางผิงซวีต้องเรียกพวกเราว่าพี่ชายพี่สะใภ้[3] เขาเป็นหลานของท่านอาสะใภ้รอง นับไปแล้วล้วนเป็นญาติกัน เจ้าว่าหากเขาทำให้ฮองเต้กริ้ว แล้วพวกเราจะไม่เป็นห่วงเขาได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ากลับมาอย่างงุนงง แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “นับเช่นนี้ไม่ได้กระมัง? เรื่องนี้อาจใหญ่โตหรือเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องลงทัณฑ์ไปถึงญาติสนิททั้งสามและเครือญาติทั้งสี่ ระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งหลาย หากนับกันไปมาผู้ใดกับผู้ใดเล่าจะไม่ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ มิใช่ว่าทุกคนที่ทำผิดแล้วคนตระกูลใหญ่ทั่วหล้าล้วนต้องพลอยรับโทษทัณฑ์ไปด้วยกระมัง?”
เสิ่นจั้งเฟิงกุมมือนางขึ้นมาจูบเบาๆ ที่ปลายนิ้ว ทอดถอนใจว่า “อิ๋งเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ เรื่องนี้ก็ช่างเถิด หากจะว่าไปเรื่องที่สำคัญที่สุดกลับคืออีกเรื่อง…” เสียงของเขาต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเคร่งขรึม ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยฉกาจ
“เป็นสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งถูกกระตุ้นความอยากรู้ พลันลุกขึ้นมานั่งโดยไม่ทันรู้ตัว พลางถามไป
“นั่นก็คือเมื่อครู่นี้สามีทำให้อิ๋งเอ๋อร์ไม่พอใจด้วยเรื่องเรื่องนี้ หากเทียบกันแล้ว ไม่ว่าตัวเลือกราชบุตรเขยขององค์หญิงหลินชวนจะเป็นผู้ใด จางผิงซวีจะรักใคร่ผู้อื่นอยู่หรือไม่ องค์ฮ่องเต้และองค์หญิงจะกริ้วเพียงใดเมื่อทรงทราบเรื่องที่เขาปฏิเสธการแต่งงาน… เรื่องเหล่านี้จะนับสิ่งใดได้? สามีไม่ระวังทำให้อิ๋งเอ๋อร์ไม่พอใจเสียแล้ว นี่ต่างหากคือเรื่องใหญ่ที่แท้จริงในยามนี้!” เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางแล้วหัวเราะเสียงดัง!
เว่ยฉางอิ๋งโกรธเสียจนพุ่งตัวเข้าในอกเขาและกำหมัดชกสะเปะสะปะไปยกหนึ่ง ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็ยังเย้ายั่วตนอยู่ดี!
__________________________________
[1] กลเก้าห่วง เป็นของเล่นฝึกสมองและความอดทนชนิดหนึ่ง ต้องคิดหาวิธีให้แต่ละห่วงไปคล้องกับแกนกลางให้ได้
[2] ต้าสือ คือ ดินแดนของอาหรับ
[3] พี่ชายพี่สะใภ้ ในที่นี้คือพี่ชายพี่สะใภ้ฝั่งมารดา