ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 201-2 ดูออก
แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พอเขาเอ่ยปากก็ข่มขวัญข้า ก็คงเพราะครั้งอยู่ที่เฟิ่งโจวเคยถูกข้าขู่เข็ญถูกข้าตีมาก่อน จึงรู้สึกไม่พอใจ ปล่อยให้เขาระบายอารมณ์สักสองสามคำเถิด ดีชั่วต่อให้เขายังคงคิดแค้นอยู่ แล้วเขาจะข้ามาตีสักยกต่อหน้าท่านอาหญิงรองหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็มองออกแล้วว่าลูกไม้ตัดไม้ข่มนามเช่นนี้ ใช้ประโยชน์อันใดกับข้าไม่ได้”
เว่ยเจิ้งอินแตะที่หน้าผากนางเบาๆ เอ็ดไปว่า “เช่นนั้นข้าถามเจ้าคำหนึ่ง เจ้าก็ห้ามโกรธเล่า อาหาได้มีความหมายอื่นใด เพียงแค่ไม่เข้าใจเท่านั้น ได้ยินเจ้าอธิบายถึงเว่ยซินหย่งผู้นี้อย่างตั้งอกตั้งใจ และท่าทีที่เจ้ารับมือเขาก็มิใช่ว่าฉลาดเก่งกาจเสียยิ่งนัก? แล้วเหตุใดเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้เจ้าถึงได้เลอะเลือนนัก?”
“หากข้ารู้ ข้าก็จะไม่ทำเรื่องนี้แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางถอนหายใจ
จนถึงเวลาเย็น เว่ยฉางอิ๋งปฏิเสธคำเชิญของเว่ยเจิ้งอินว่าให้ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนค่อยกลับไป และกลับมาถึงจวนราชครู
เมื่อกลับไปแล้วย่อมต้องไปพบฮูหยินซูที่เรือนหลัก ฮูหยินซูกำลังอุ้มหยอกเสิ่นซูกวงอยู่ เด็กที่อายุสามเดือนกว่าหัวเราะเป็นแล้ว เขานอนอยู่ในอกของท่านย่า ดวงตาดำสนิทมองตามกลองป๋องแป๋งที่ท่านย่าส่ายไปมาตรงหน้าเขา และส่งเสียงหัวเราะสดใสออกมาอยู่เรื่อยๆ เมื่อได้ยินเข้า หัวใจของเว่ยฉางอิ๋งก็อ่อนปวกเปียกลงทันใด
เมื่อเห็นว่าสะใภ้กลับมาแล้ว ฮูหยินซูจึงวางกลองป๋องแป๋งลง กล่าวว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ? ได้คารวะท่านอาหกของเจ้าแล้วหรือไม่?”
“เรียนท่านแม่ สะใภ้ได้คาระแล้วเจ้าค่ะ” เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งคิดจะเอ่ยเรื่องที่เว่ยซินหย่งอยากเขามาคารวะเสิ่นเซวียนให้อ้อมค้อมสักหน่อย แต่จนใจเหลือที่เวลานี้บุตรชายของนางอยู่ตรงหน้า สตินางจึงอดกระเจิดกระเจิงไม่ได้ สายตาคอยมองตาม เสิ่นซูกวง ปากก็บอกไปตามตรงว่า “ทั้งความสามารถและหน้าตาของท่านอาหกล้วนเหนือกว่าคนทั่วไป ท่านปู่จึงเขียนจดหมายมาเป็นการพิเศษ และสั่งให้เขานำมามอบแก่ท่านพ่อด้วยตนเอง ครานี้ ท่านอาหกจึงสอบถามมาเป็นพิเศษว่าเมื่อใดจะสะดวกมาคารวะท่านพ่อที่บ้านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูสังเกตเห็นสายตานางแต่แรกแล้ว จึงบอกว่า “ข้าอุ้มกวงเอ๋อร์จนแขนล้าแล้ว หากเจ้าไม่เหนื่อยก็มาเล่นกับเขาสักพักเถิด” เวลานี้เพราะจู่ๆ ก็ไม่มีกลองป๋องแป๋งแล้ว เสิ่นซูกวงร้องอ้อแอ้มีท่าทางไม่พอใจขึ้นมา
เว่ยฉางอิ๋งย่อมยินดีเป็นนักหนา รีบบอกว่า “สะใภ้ไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ!” เมื่อรับบุตรชายมาแล้วส่ายกลองป๋องแป๋งไปมาเขาก็ยิ้มออกมาอีกครา เว่ยฉางอิ๋งพลันดีใจเสียยิ่งนัก
ฮูหยินซูนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ใคร่ครวญถึงเรื่องที่นางมารายงาน
ผ่านไปสักครู่ จึงบอกว่า “ในเมื่อเป็นอาของเจ้า เช่นนั้นหลังเที่ยงวันพรุ่งก็เชิญเขามาที่จวนสักหนเถิด”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มรับและขอบคุณแม่สามี ฮูหยินซูตอบยิ้มๆ ว่า “ก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด”
เพื่อให้ได้อุ้มบุตรชายนานอีกสักหน่อย เว่ยฉางอิ๋งจึงหาเรื่องต่างๆ มาสนทนากับแม่สามี ทว่าเมื่อหาเรื่องอยู่ต่อสักพักก็ต้องลากลับแล้ว ได้แต่เพียงส่งเสิ่นซูกวงคืนแก่แม่สามีด้วยความอาลัยอาวรณ์
เมื่อออกมาจากเรือนหลัก เว่ยฉางอิ๋งก็สั่งความให้ฉินเกอวิ่งไปที่จวนซูคราวหนึ่งเพื่อแจ้งให้เว่ยซินหย่งรู้
เมื่อถึงตอนเที่ยงวันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะให้พวกพ่อบ้านแม่บ้านที่มาขอเข้าพบตลอดช่วยเช้าออกไป สาวใช้ตัวน้อยจูหลานก็ยกชายกระโปรงหัวเราะฮิๆ วิ่งเข้ามารายงานว่า “นายท่านหกของบ้านเรามาเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังสนทนาอยู่ข้างหน้าเจ้าค่ะ” แล้วเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “คนข้างหน้าบอกว่า เวลานี้ท่านเหนียนซึ่งเป็นที่ปรึกษาของคุณชายของเราก็อยู่ด้วย ไม่ทราบว่าท่านประมุขจะให้ท่านเหนียนทดสอบนายท่านหกหรือไม่เจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป หากเขาไม่อาจรับมือเหนียนเซิงย้าวได้ ก็เสียแรงที่ท่านปู่ให้ความสำคัญและสนับสนุนเขามาตั้งหลายปีแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งไม่เคยกังขาในความสามารถและชั้นเชิงของเว่ยซินหย่งเลยแม้แต่น้อย จึงเอ่ยไปอย่างไม่อาทรร้อนใจใดๆ
และเรื่องราวก็เป็นดังนั้นจริงๆ วันนั้นเสิ่นเซวียนให้เว่ยซินหย่งอยู่ทานข้าวเย็นที่จวนราชครู แต่เพราะเว่ยซินหย่งยืนกรานจะว่าต้องลากลับ จึงสั่งให้คนเอารถม้าของตนไปส่งเขากลับจวนซู เมื่อเสิ่นเซวียนกลับมาถึงเรือนหลัก ดื่มน้ำแกงช่วยสร่างเหล้า แล้วก็ทอดถอนใจกับฮูหยินซูว่า “ตระกูลเว่ยกลับมีคนมีความสามารถเช่นนี้! น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง ปล่อยให้ฉางซานกงทาบทามได้และรับไปเป็นหลานของเขาเสียแล้ว! หากได้พบก่อนนี้สักหน่อยจะดีเท่าใด”
ก่อนหน้านี้ ฮูหยินซูก็ได้ยินเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าท่านอาหกที่จู่ๆ ตนเองก็มีขึ้นมาผู้นี้ ‘ทั้งความสามารถและหน้าตาล้วนเหนือกว่าคนทั่วไป’ แม้ว่าตอนนั้นนางจะฟังออกว่าเว่ยฉางอิ๋งมีเจตนาจะแนะนำสนับสนุนเขา ก็นึกแต่ว่าเป็นคำพูดยกย่องธรรมดาทั่วไป จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เมื่อมาได้ยินในยามนี้ก็ประหลาดใจนัก กล่าวว่า “โดดเด่นเพียงนั้นจริงรึ? เหตุใดไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย?”
“เดิมทีเขาเป็นบุตรหลานของจือเปิ่นถัง แต่เวลานี้เข้ามาอยู่ในรุ่ยอวี่ถังแล้ว เห็นชัดว่าครั้งเขาอยู่ที่จือเปิ่นถังนั้น หากไม่เก็บซ่อนความสามารถเอาไว้ ก็ต้องเกิดทำความผิดใดไปเพราะความสามารถของตน ทำให้ไม่ได้รับความสำคัญจากเว่ยฉี จึงได้มาฝากตัวกับรุ่ยอวี่ถัง” เสิ่นเซวียนเอ่ยอย่างหมดคำพูด “หาไม่แล้วเหตุใดจึงต้องคว้าโอกาสที่เว่ยฉางเฟิงฉลองวันเกิดให้แก่เว่ยจื้อเจี่ยวอาจารย์ของเขาเพื่อเข้ามาแนะนำตัวที่รุ่ยอวี่ถังเล่า?”
เขาเสียดายเป็นหนักหนา แล้วรำพันต่อไปว่า “หากได้เจอเขาก่อนนี้สักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหว่านล้อมให้เขามาอยู่ด้วยให้ได้ …เหนียนเซิ่งย้าวที่เป็นที่ปรึกษาของเฟิงเอ๋อร์ผู้นั้นก็นับว่าเป็นคนหนุ่มมากความสามารถแล้ว วันนี้เว่ยซินหย่งเอ่ยปากไปอย่างสบายๆ ก็ทำเอาเขาใบ้กินพูดไม่ออกเลย! ตามความเห็นข้าเว่ยซินหย่งกระทั่งมิได้คิดว่าจะตอบโต้เหนียนเซิงย้าวด้วยซ้ำ คนผู้นี้อายุน้อยๆ ยังอ่อนกว่าเหนียนเซิ่งย้าวสองสามปีเสียอีกก็มีชั้นเชิงวาทศิลป์เพียงนี้แล้ว นับเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า เสียดายนัก ยามนี้ข้างหลังเขามีฉางซานกงอยู่ ต่อให้ไม่เอ่ยถึงความช่วยเหลือที่ฉางซานกงมีให้เราในวันก่อนและที่เป็นดองกันในวันนี้ ให้มีแต่ฝีไม้ลายมือท่านเว่ยผู้นี้อยู่ตรงนั้น ข้าเองก็ยังไม่เหมาะจะไปขุดคนมาจากเขา แต่หากเป็นผู้อื่น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรข้าก็ต้องเอาตัวเขามาให้จงได้ ต่อให้ต้องยกจั้งหนิงให้แต่งงานกับเขาก็ตามที!”
ฮูหยินซูรู้ว่าสามีชื่นชมคนมีความสามารถ แต่เมื่อหลงใหลฝักใฝ่จนถึงขั้นนี้ เห็นชัดว่าเว่ยซินหย่งผู้นี้มีความสามารถที่โดดเด่นเหนือคนทั่วไปจริงๆ แต่เมื่อได้ยินว่าเพื่อจะหว่านล้อมให้เว่ยซินหย่งมาเป็นพวก ก็ถึงกับไม่เสียดายจะยกเสิ่นจั้งหนิงบุตรสาวคนเล็กที่เขารักที่สุดให้ไปแต่งงานกับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า นางจึงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “สะใภ้สามของเราเป็นหลานอาของเว่ยซินหย่ง แต่ท่านกลับจะยกลูกสาวคนเล็กให้แต่งกับเว่ยซินหย่ง แล้วจะนับลำดับญาติกันเช่นใด?”
เสิ่นเซวียนตบมือพลางว่า “ข้าพูดไปเช่นนั้นเอง เฮ่อ!”
________________________