ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 199 พบเว่ยซินหย่งอีกครา
สองวันให้หลัง ของกำนัลที่เว่ยฉางอิ๋งเตรียมส่งกลับไปที่บ้านมารดก็จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว หลี่ว์เฉิงยังไม่ทันออกเดินทาง เว่ยซินหย่งก็เข้ามาในเมืองหลวงแล้ว
เดิมทีเขามีเรือนพักที่เมืองหลวงอยู่แล้ว แต่เวลานี้ในเมื่อมาเป็นบุตรบุญธรรมในรุ่ยอวี่ถังแล้ว และเรือนพักแห่งนั้นก็ไม่มีคนอาศัยอยู่มานาน ทั้งยังไปมาไม่สะดวก จึงเดินทางไปคารวะเว่ยเซิ่งอี๋ที่เรือนก่อน
เว่ยฉางอิ๋งได้รับข่าวจึงเรียกหลี่ว์เฉิงมาสอบถาม “ท่านอาหกผู้นี้คิดจะไปอยู่ที่เรือนของท่านอารองหรือ?”
หลี่ว์เฉิงส่ายหน้าพลางว่า “คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมังขอรับ เพราะอย่างไรฮูหยินรองก็เสียไปแล้ว คนที่ดูแลเรือนหลังในจวนของนายท่านรองก็เป็นฮูหยินน้อยทั้งสอง นายท่านหกก็ยังเป็นหนุ่มแน่น แม้ทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันคนละรุ่นแต่ก็ไม่สะดวกจะมาพบปะกัน ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูรองและคุณหนูสามล้วนกำลังไว้ทุกข์อยู่ จึงไม่สะดวกมาต้อนรับนายท่านหกขอรับ”
“ท่านย่าบอกไว้หรือไม่ว่าเมื่อเขามาที่เมืองหลวงแล้วจะให้พักอยู่ที่ใด?”
“ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้บอกขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพัก จึงสั่งความนางเฮ่อว่า “ท่านส่งคนไปส่งของสิ่งใดก็ได้ที่เรือนท่านอารอง แล้วลองสอบถามความประสงค์ของท่านอาหกดู”
นางเฮ่อออกไปสั่งคน ทว่าพอหลังเที่ยงคนที่ส่งไปก็กลับมารายงานว่า “นายท่านหกบอกว่านายหญิงรองเชิญเขาไปพักที่จวนซูเป็นการชั่วคราวขอรับ”
หลังจากรับเว่ยซินหย่งเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว เมื่อนับไปเขาก็เป็นลูกผู้น้องของ เว่ยเจิ้งอิน เขาอ่อนกว่าเว่ยเจิ้งอินเกือบหนึ่งเท่า …ประเด็นสำคัญก็คือเว่ยเจิ้งอินและอาเขยซูซิ่วเวยอาศัยอยู่กับบ้านฝั่งสามี เมื่อจัดเตรียมเรือนทางด้านหน้าของจวนซูให้เขาพัก จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีคำครหาใด
เมื่อได้ยินข่าวนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่าอาหญิงคงได้รับจดหมายจากท่านย่าเช่นกัน จึงให้นางหวงไปที่เรือนหลัก “ท่านไปบอกท่านแม่สักหน่อย ว่าในเมื่อท่านอาหกที่ข้าไม่เคยพบมาก่อนผู้นี้มาที่เมืองหลวง ทั้งยังไปพักอยู่ที่บ้านท่านอารอง ข้าจึงอยากจะหาเวลาสักวันไปคารวะญาติผู้ใหญ่สักหน่อย”
นางหวงกลับมาจากเรือนหลักก็รายงานนางว่า “ฮูหยินบอกว่าฮูหยินน้อยดูว่าเวลาใดสะดวกเป็นพอเจ้าค่ะ” สักพักจากนั้นจึงเพิ่มมาอีกประโยคว่า “ตอนข้าน้อยไป ฮูหยินกำลังหยอกกับคุณชายน้อยอยู่ พอได้ยินคำที่ข้าน้อยพูด ไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมาก็เอ่ยเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปวันพรุ่งเถิด” นี่นับว่าเป็นผลดีที่แม่สามีเลี้ยงบุตรชายกระมัง? เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พลันพลิกดูงานต่างๆ ในมือ แล้วสั่งความไปว่า “วันพรุ่งท่านอาช่วยการจัดการสักหน่อย เรื่องที่ท่านอาตัดสินใจไม่ได้ก็วางเอาไว้ก่อน รอข้ากลับมาดู”
ดังนี้ เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เว่ยฉางอิ๋งไปคราวะฮูหยินซูและเอ่ยเรื่องนี้อีกครั้ง หลังจากฮูหยินซูตอบตกลงแล้ว นางก็นั่งรถไปที่จวนซู
หลังจากเข้าคารวะแม่เฒ่าเติ้งและบอกว่าจะมาพบท่านอา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้คนไปส่งนางที่บ้านสาม
เว่ยเจิ้งอินกำลังรอหลานสาวมาหา เมื่ออาหลานพบกันก็ทักทายกันสักพัก เว่ยฉางอิ๋งจึงถามถึงเว่ยซินหย่ง “ท่านอาหกผู้นี้ วันนี้อยู่ในจวนหรือไม่เจ้าคะ?”
“วานนี้ข้าไปบอกกับท่านยายเจ้าว่าจะเชิญเขามาพักที่บ้านชั่วคราว ท่านตาเจ้าได้ยินเข้าก็เชิญมาทานอาหารเย็นด้วย” เว่ยเจิ้งอินแย้มยิ้ม กล่าวว่า “เขาสนทนากับท่านตาเจ้าถูกคอนัก ทั้งสองฝ่ายล้วนดื่มกันไปมาก ยามนี้เกรงว่าคงยังไม่ตื่น วันนี้ก่อนท่านตาเจ้าจะออกจากเรือนยังส่งคนมากำชับว่าอย่าไปรบกวนเขา”
เรื่องที่เว่ยซินหย่งกล่อมซูผิงจ่านเสียอยู่หมัดนี้ เว่ยฉางอิ๋งมิได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความสามารถของเขาเลย ว่ากันแต่เพียงหน้าตาและความสง่างาม แม้เป็นเพียงบุตรของอนุ สำหรับคนในตระกูลสูงศักดิ์ที่ให้ความนับหน้าถือตากับความสง่างามก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเขาแล้ว เมื่อเวลานี้มาได้ยินว่าเว่ยซินหย่งไม่สะดวกให้พบชั่วคราว นางจึงหารือกับอาหญิงว่า “ท่านย่าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ? ท่านอาได้ยินข่าวใดมาบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยเจิ้งอินจูงมือนางมา แล้วไปนั่งที่ตั่งนั่งข้างหน้าต่าง จึงเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ทั้งในจดหมายและคนที่มาส่งจดหมายล้วนไม่บอกรายละเอียดอันใด แต่เจ้าลองคิดดูว่านอกเสียจากท่านอารองที่ไม่ได้ความของเจ้าผู้นั้นแล้วจะเพราะเป็นเรื่องใดได้?”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านอารองคิดการใดอยู่กันแน่เจ้าค่ะ?” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากพลางเอ่ยเสียงเบา “เว่ยซินหย่งผู้นี้หาใช่คนที่จะวางใจได้นะเจ้าคะ”
เว่ยเจิ้งอินตบหลังมือนาง เอ่ยปลอบว่า “ท่านแม่ต้องรู้อยู่ในใจแล้ว หากมิใช่ว่าจำเป็นจริงๆ ต้องไม่ให้เจ้าต้องลำบากเป็นแน่”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังคำก็อดจะหัวเราะเสียงลั่นออกมาไม่ได้ แล้วว่า “ก็เพียงแค่ทะเลาะกันไม่กี่คำ จะว่าไปแล้วเขายังถูกข้าข่มขู่เอาชีวิตเสียอีก …แล้วข้าจะยังชิงชังมาจนถึงยามนี้หรือเจ้าคะ? ข้าเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้เหลี่ยมจัดนัก ทั้งยังเป็นคนในตระกูลแท้ๆ หากส่งเสริมเขาเกินไป หากวันใดกลับลำขึ้นมา…”
“ท่านย่าของเจ้าไม่มีวันให้เขาได้มีโอกาสนั้นหรอก” เว่ยเจิ้งอินเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าลองคิดดูสิว่าต่อให้คนผู้นี้ฉลาดปราดเปรื่องเพียงใด แต่ปีนี้ก็อายุเพียงกี่ปี? ชั่วชีวิตของท่านย่าเจ้าทั้งเรื่องร้ายและดีมีสิ่งใดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จะปล่อยให้เขาย้อนศรจัดการได้หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก เมื่อรู้ว่าไม่อาจสอบถามสิ่งใดจากอาหญิงได้มากกว่านี้จึงไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก และเปลี่ยนมาพูดเรื่องของซูอวี๋อู่แทน “คราก่อนข้าไปส่งท่านลุงไปรักษาตัวที่คฤหาสน์จี้กับพวกลูกผู้พี่ชายหญิง จึงถือโอกาสไปเยี่ยมลูกผู้น้องด้วย ยามนี้เขาลุกขึ้นและเดินไปไหนมาไหนได้แล้วเจ้าค่ะ ได้ยินว่าอีกวันสองวันก็จะกลับบ้านได้แล้วกระมัง? เพียงแต่ดูสีหน้าเขาซีดนัก คิดว่าเพราะการบาดเจ็บครานี้ทำลายลมปราณดั้งเดิมไป ที่เรือนข้ามีโสมแก่ชั้นเลิศอยู่อันหนึ่ง และกลายเป็นรูปร่างคนแล้ว วันนี้รีบเร่งออกมาจึงลืมนำมาด้วย วันหลังข้าจะสั่งคนให้นำมาส่งเพื่อบำรุงลูกผู้น้องสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอินส่งคนไปดูบุตรชายทุกวัน ย่อมเข้าใจถึงสถานการณ์ของซูอวี๋อู่ได้ดีกว่าเว่ยฉางอิ๋ง นางจึงเอ่ยว่า “จะเอาของดีเพียงนั้นของเจ้าได้อย่างไร? ทางนี้ข้าก็มีโสมแก่ที่เป็นร่างคนแล้วเช่นกัน ของเจ้านั้นเก็บเอาไว้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่สามีเถิด ของชั้นเลิศเช่นนี้หาใช่ว่ามีเงินทองแล้วจะซื้อหามาได้”
ในเมื่อเอ่ยถึงซูอวี๋อู่แล้ว เว่ยเจิ้งอินจึงเอ่ยถามถึงเสิ่นจั้งเฟิงขึ้นมา “ระยะนี้เขียนจดหมายมาหรือไม่? เรื่องศึกที่ซีเหลียงก็ไม่รู้ว่าหนักหนาหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเช่นกัน จึงว่า “ครั้งวันเกิดข้าเขาให้คนส่งจดหมายและของกำนัลมา ระยะนี้กลับไม่ได้เขียนจดหมายมาหาขาเลย ส่วนจะมีหามาพ่อสามีหรือไม่ ข้าก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ และไม่เหมาะจะไปสอบถามบ่อยครั้งด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้ยินว่ากวงเอ๋อร์ถูกแม่สามีเจ้าอุ้มไปดูแลแล้ว เจ้าเองก็อย่าได้เสียใจไป ประการแรกแม่สามีต้องไม่มีทางไม่ดีต่อเขา นอกจากนี้เจ้าก็เพิ่งเริ่มเข้ามาดูแลเรื่องต่างๆ ในจวน ย่อมต้องวุ่นวายนักหนา หากบังเอิญละเลยกวงเอ๋อร์ด้วยเหตุนี้ เกรงว่าจะมาเสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว” เว่ยเจิ้งอินทอดถอนใจว่า “แม้ความมั่งคั่งและเกียรติยศจะดี ทว่าหากเทียบกับเลือดเนื้อเชื้อไขแล้วกลับด้อยค่ากว่ามาก ที่อวี๋อู่เกิดเรื่องครานี้ นับว่าข้ามองเห็นได้ชัดเจนนักแล้ว …พวกลูกๆ มีสุขภาพดีและปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ตำแหน่งประมุขตระกูลนั้น… ตอนที่ได้ยินว่าเขาเกิดเรื่อง ข้าแทบจะอยากแทงตัวเองสักหน! หากรู้ว่าแต่แรกว่าทางตงหูอันตรายเพียงนั้น อย่าว่าแต่ตำแหน่งประมุขตระกูลเลย ต่อให้เป็นตำแหน่งที่สูงส่งกว่านั้น ฆ่าข้าให้ตาย ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยให้เขาไป!”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึง เอ่ยว่า “เช่นนั้นเมื่อลูกผู้น้องพักฟื้นจนหายดีแล้ว….?”
“ไม่มีทางให้เขาไปตงหูอีกแล้ว!” เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างหนักแน่น “เกิดเรื่องครานี้ทำเอาข้าขวัญกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว! ข้าไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกแล้ว! ต่อให้ถูกท่านตาเจ้าตำหนิ ถูกอาเขยเจ้าคัดค้าน ข้าก็จะหาทางให้เขาออกจากภารกิจสร้างความชอบสามปีนี้ให้จงได้!”
แล้วบอกอีกว่า “ดีที่ลูกผู้พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าไปรับตำแหน่งต่างเมือง เวลานี้มีเพียงพี่สะใภ้สามของเจ้าคอยดูแลเรือน นางเฉียนไม่อาจวางใจบ้านสอง จึงกำลังไปสอบถามถึงคุณหนูมีตระกูลทั่วทุกสารทิศเพื่อสู่ขอให้กับอวี๋เหลียงอยู่! เวลานี้ข้าเองก็กำลังพิจารณาบรรดาคุณหนูจากตระกูลต่างๆ อยู่เช่นกัน …ต้องดูว่านางเฉียนจะหาบ้านดองเช่นใดให้แก่อวี๋เหลียง เพราะดีชั่วอย่างไรแม้แต่ชายแดนอวี๋เหลียงก็ยังไม่เคยไปมาก่อน …ตำแหน่งที่ว่านั้น หากสามารถได้มาก็ให้ได้มา หากไม่ได้มาก็ช่างเถิด” นางย้ำหนแล้วหนเล่าว่า “ข้าจะไม่ให้เขาไปตงหูอีกแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังท่านอาพูดดังนี้ พลันนึกถึงท่าทีของซูอวี๋อู่ครั้งนางไปพบที่ คฤหาสน์จี้ ว่าเขาหาได้ตื่นกลัวกับการบาดเจ็บครานี้จนไม่คิดจะกลับไปที่ตงหูอีก กลับกันเขายังคงจดจำภาพที่เหล่าทหารต้องตายด้วยน้ำมือพวกหรงเอาไว้ไม่ลืม …ลูกผู้น้องผู้นี้กำลังหวังให้หายดี จะได้บุกเข้าสนามรบอีกในเร็ววัน เพื่อล้างแค้นให้แก่ทหารที่ล้มตาย และเพื่อแสนยานุภาพของแคว้นอีกด้วย!
ทว่าเมื่อคำนี้มาถึงริมฝีปากก็พลันนึกขึ้นอีกว่าเวลานี้อาการบาดเจ็บของซูอวี๋อู่ยังไม่หายดี เว่ยเจิ้งอินเองก็กำลังอกสั่นขวัญแขวนว่าเกือบต้องเสียลูกชายไป บางทีในเวลานี้ทั้งสองแม่ลูกยังคงมีอารมณ์รุนแรงกันอยู่ พอผ่านไปสักระยะก็อาจเปลี่ยนความคิดก็เป็นได้
นางจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เปลี่ยนมาพูดว่า “เวลานี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ ข้ากลับมีคำที่ไม่เหมาะจะพูดข้างนอกมาบอกเจ้าค่ะ จากเรื่องที่ท่านป้าสะใภ้เฉียนปฏิบัติต่อพี่หญิงใหญ่เสิ่น บ้านทั่วๆ ไปที่รักใคร่บุตรสาวคงไม่กล้าตอบรับเรื่องการแต่งงานกับนางกระมังเจ้าคะ?”
เว่ยเจิ้งอินบอกว่า “ก็ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า? แค่เพียงนางเอ่ยปากถาม บรรดาฮูหยินและฮูหยินผู้เฒ่าที่ปกติแล้วพยายามสรรเสริญเยินยอบุตรสาวและหลานสาวบ้านตนก็พากันสีหน้าเปลี่ยนและต่างปฏิเสธกันหมด …เวลานี้ข้าไม่กลัวว่านางจะหาภรรยาดีๆ ให้อวี๋เหลียงไม่ได้ กลัวแต่นางจะหาสะใภ้ไม่ได้ต่างหาก และกลับถ่วงให้อวี๋อู่ต้องเสียเวลาไปด้วย”
“อย่างไรก็เป็นบุตรจากภรรยาเอกของตระกูลสูงศักดิ์ จะหาสะใภ้ไม่ได้ได้อย่างไรเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางหัวเราะหนหนึ่ง “เพียงแค่บ้านที่คู่ควรกันคงไม่ยอมยกบุตรสาวให้หรอกเจ้าค่ะ”
พวกนางสนทนากันไปดังนี้จนถึงเที่ยง เว่ยเจิ้งอินจึงสั่งให้คนจัดอาหารมา
พอถึงเวลาจะทานอาหาร บ่าวก็มารายงานว่า “นายท่านหกตระกูลเว่ยตื่นแล้ว เวลานี้กำลังอาบน้ำแต่งตัว เมื่อดูเวลาก็พร่ำบอกแต่ว่าเขาตื่นสายนักแล้ว อยากจะไปขอขมาญาติผู้ใหญ่และพี่ๆ ทุกท่าน เมื่อได้ยินว่าท่านประมุขและนายท่านแต่ละบ้านของเราล้วนไปทำงานแล้ว และฮูหยินน้อยเว่ยก็มารออยู่หลายชั่วยามแล้ว จึงบอกว่าเมื่อทานอาหารเสร็จแล้วก็จะมาหาเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอินพยักหน้าบอกว่า “เจ้าไปบอกทางนั้นทีว่าฉางอิ๋งทางนี้ข้าดูแลอยู่ ให้เขาไม่ต้องเป็นกังวล ค่อยๆ อาบน้ำแต่งตัว และทานอาหารอย่างสบายใจเถิด”
บอกให้เว่ยซินหย่งค่อยๆ ทำอย่างสบายใจ แต่สองอาหลานกลับรีบวางตะเกียบงาช้างลง รับน้ำชามากลั้วปาก แล้วสั่งให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป เหลือไว้เพียงบ่าวคนสนิทที่ไม่ต้องปิดบังเรื่องใดเอาไว้ดูแลรับใช้เท่านั้น
สักพักจากนั้นก็มีคนพาเว่ยซินหย่งเข้ามา …ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งก็ลุกขึ้นต้อนรับ เอ่ยปากเรียกขานว่าท่านอาหก อีกทางหนึ่งก็สำรวจดูเขารอบหนึ่ง เขาผอมกว่าครั้งที่พบในเฟิ่งโจวสักหน่อย ใบหน้ามีริ้วรอยขึ้นมาบ้าง ทว่ารัศมีแห่งความสง่างามมิได้ลดน้อยลงเลย ทั้งใบหน้าหล่อเหลา ท่าทีงดงามสูงส่ง เมื่อผนวกกับความสามารถที่ล้นเหลือและได้การสนับสนุนบ่มเพาะจากรุ่ยอวี่ถัง หากบอกว่าเขาไม่สามารถมีชื่อมีเสียงเกียรติยศได้ล้วนไม่มีคนเชื่อ
หลังจากคารวะกันเสร็จแล้ว เว่ยเจิ้งอินก็เชิญเว่ยซินหย่งให้นั่งลง ทักทายไปสองสามคำจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปก็ช่างบังเอิญนัก ก่อนนี้ข้ากลับไม่เคยได้ยินชื่อของน้องหกมาก่อน หากมิใช่ว่าครานี้ได้มาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับน้องหก คงไม่รู้ว่าในตระกูลเว่ยของเรายังมีผู้ที่โดดเด่นเช่นน้องหกนี้อีก”
“พี่หญิงรองชมเกินไปแล้วขอรับ” เว่ยซินหย่งยิ้มจางๆ พลางถ่อมตนไปอย่างสง่างามและเกรงใจ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาที่ตัวเว่ยฉางอิ๋ง เขายิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “วันนี้หลานสาวมารอนานแล้ว”
“ท่านอาหกเดินทางมาไกล หลานไม่ได้ไปต้อนรับก็นับว่าเสียมารยาทแล้ว วันนี้มารอสักพักก็เป็นการสมควรแล้วเจ้าค่ะ” ขนตายาวๆ ของเว่ยฉางอิ๋งกระพริบคราหนึ่ง เอ่ยพลางยิ้มจางๆ
เมื่อเห็นว่านางพูดจาเกรงอกเกรงใจเพียงนี้ เว่ยซินหย่งอดจะสะดุ้งอยู่น้อยๆ ไม่ได้ จากนั้นก็หัวเราะเสียงลั่นว่า “ปรากฏว่าเมื่อเป็นแม่คนแล้วก็รู้ความขึ้นมาก ข้าก็ยังนึกว่าพอเข้ามาวันนี้เจ้าก็จะเอากระบี่ยาวหรือมีดพกมาจ่อที่คอข้าอีกเสียแล้ว”
เว่ยเจิ้งอินไม่ใคร่รู้เรื่องการพบกันคราวก่อนของเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยซินหย่ง ครานี้จึงอดจะมองหลานสาวด้วยสายตาประหลาดไม่ได้ …เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ยิ้มเรียบๆ พลางว่า “ผู้ใดไม่มียามที่ยังเด็กไม่ประสา? ท่านอาหกสง่างามสูงส่งเหนือผู้คน ผ่านมานานเพียงนี้แล้ว หรือว่าท่านอาหกจะไม่ยกโทษให้หลาน?”
“ครานั้นเจ้ายังเด็กไม่ประสาดังว่า” เว่ยซินหย่งแย้มยิ้มและมิได้เอ่ยเรื่องบาดหมายครั้งเก่าก่อนของทั้งสองคนอีก กล่าวว่า “ทว่าเรื่องที่ฮั่วเจ้าอวี้อภิเษกกับ องค์หญิงนี้ คล้ายว่าเจ้าก็ทำไปตอนที่เป็นแม่คนแล้วกระมัง? จำนวนครั้งที่เป็นเด็กไม่รู้ประสาของหลานก็ดูจะมีมากครั้งไปหน่อยแล้ว”
เรื่องนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย เวลานี้มาถูกเขาเอ่ยถึงก็ปั้นหน้าไม่ถูกเสียอย่างยิ่ง อยากระเบิดอารมณ์ออกมา แต่กลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขอคำชี้แนะด้วยความสงสัยว่า “ท่านอาหกรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” เพราะนางรู้สึกเสียหน้าเสียเหลือเกิน จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แม้แต่กับทางเฟิ่งโจวเลยนี่!
เว่ยเจิ้งอินเห็นว่าหลานสาวหันมามองตน จึงรีบส่ายหน้าแล้วว่า “วานนี้ข้าพบปะกับท่านอาหกของเจ้าอย่างรีบเร่ง จึงยังไม่ทันได้สนทนาอันใดมากนัก”
แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นมาได้ “แต่ข้ากลับไปเอ่ยถึงในจดหมายที่เขียนหาท่านย่าเจ้า!”
เว่ยซินหย่งเห็นพวกนางอาหลานรู้แล้วว่าตนเองรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรจึงยิ้มเรียบๆ หนหนึ่งและไม่อธิบายสิ่งใดอีก
เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อเห็นว่าหลังเว่ยซินหย่งตอกนางมาคำหนึ่งแล้วเขาก็ไม่เอ่ยปากอีก พลันสบโอกาสแล้วโพล่งออกไปว่า “เรื่องนี้ …ทำให้เกิดผลเสียใดรึ?”
ได้ยินคำนี้ เว่ยเจิ้งอินพลันมีสีหน้าประหลาดใจ แล้วมองไปทางเว่ยซินหย่งอย่างตื่นตระหนก
__________________________