ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 193-1 จวีจง
วันต่อมา ยามฟ้ามีแสงสว่างขึ้นมาน้อยๆ เว่ยฉางเจวียนตื่นนอนมาส่ง หลิวรั่วเหยียที่อยู่สนทนายืดยาวกับตนทั้งคืน จนถึงเวลานี้จึงเตรียมตัวอาศัยจังหวะที่มีคนน้อยออกไปจากเรือน “พี่หลิว ยามนี้ข้าจึงเพิ่งรู้ว่าสิ่งใดคือ ‘กาลเวลาพิสูจน์ม้า’ ก่อนนี้ข้ามักนึกว่าคุณหนูแต่ละตระกูลในเมืองหลวงล้วนเป็นสหายข้า แต่กลับไม่คิดว่าหลายเดือนมานี้ นอกจากพี่หมิ่นและท่านแล้ว คนอื่นก็ไม่มีผู้ใดสนใจข้าแล้ว”
หลิวรั่วเหยียเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “หากทุกคนมาได้ฟังคำพูดนี้ของเจ้าก็จะต้องปวดใจเหลือเกินจริงๆ ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เพียงข้าและพี่หมิ่นมาเยี่ยมเจ้าหรอก เพียงแต่พวกเราสองคนคิดถึงเจ้า …เจ้าก็รู้นี่ว่าเวลานี้มาบ้านเจ้าไม่สะดวกอย่างยิ่ง ประการหนึ่งคือบรรดาผู้ใหญ่ในบ้านกลัวว่าพวกนางจะมารบกวนบ้านเจ้า ประการที่สองทุกคนล้วนไม่รู้ว่าทางนี้เจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไม่ใคร่ดีนัก เพราะต่างได้ยินจากที่ประตูบอกว่าเจ้าเสียใจจนไม่อยากพบคนนอก! หาไม่แล้วทุกคนจะต้องขัดคำผู้ใหญ่และอยากมาเยี่ยมเจ้าแล้ว”
เว่ยฉางเจวียนคิดถึงว่า หลิวรั่วเหยียมาหานางหลายครั้งก็ล้วนถูกคนไล่กลับไป จนถึงขั้นต้องแอบเข้ามาทางประตูมุมกำแพงและต้องปลอมตัวเป็นสาวใช้จึงสามารถลอบเข้ามาได้ นางจึงอดรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ได้ และรู้สึกว่าตนกล่าวโทษ หลิวรั่วเหยียเกินไป “ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าพี่หลิวเป็นคนดี แล้วเหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงสงสัยว่าพี่หลิวจะพาข้าหลงผิดไปได้? ข้าโง่เพียงนั้นเมื่อใดกัน! ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็เพียงเอ่ยถึงผู้อื่นไปคำหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่นี่ก็มิได้มีผู้อื่นอยู่ และพี่หลิวยังช่วยแก้ต่างแทนพวกนางด้วย เห็นได้ว่าพี่หลิวเป็นคนที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ แต่พี่หญิงใหญ่กลับเอาแต่ระแวงนาง เฮ่อ!”
เพียงแต่จะอย่างไร เว่ยฉางหว่านก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของนาง เว่ยฉางเจวียนไม่อยากให้หลิวรั่วเหยียรู้ว่า เว่ยฉางหว่านเป็นคนปฏิเสธไม่ให้นางเข้าบ้าน จึงคิดใคร่ครวญในใจเล็กน้อย แล้วผลักความรับผิดชอบไปที่ตัวของนางหมิ่นและนางโจว “แต่ไรมาข้าไม่เคยสั่งที่ประตูว่าไม่อยากพบพี่หลิวท่านหรือผู้ใด เหตุที่คนที่ประตูทำเช่นนี้ ข้าคาดว่าเขาคงไม่กล้าทำเองหรอก! ต้องเป็นนางหมิ่นและนางโจวที่ทางหนึ่งก็ทำไม่ดีต่อข้า ส่วนอีกทางหนึ่งก็กลัวว่าจะมีคนรู้เข้า จึงจงใจบอกกับคนเฝ้าประตูเช่นนี้ เพื่อมิให้มีคนมาเห็นข้าแล้วจะรู้ความจริง และหากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะทำให้พวกนางไม่มีหน้าไปพบผู้คน…เฮ่อ จะว่าไปก็ต้องขอโทษท่านจริงๆ ที่ข้ามีพี่สะใภ้เช่นนี้!”
หลิวรั่วเหยียถอนหายใจเบาๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าก็อย่าไปชังพวกนางเกินไปเลย คงเพราะก่อนนี้พวกนางไม่เคยดูแลปกครองเรือนมาก่อน จู่ๆ ยามนี้ก็ต้องจัดการดูแลขึ้นมา จึงมือไม้สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกไปสักหน่อย และดูแลเจ้าไม่ทั่วถึงไปชั่วครู่ชั่วยาม อีกประการหนึ่งเมื่อดูแลไม่ได้ทั่วถึงก็อดรู้สึกกลัดกลุ้มรำคาญใจไม่ได้ ฉะนั้นวาจายามมาพบเจ้าก็อาจจะเร่งร้อนไปสักหน่อย อย่างไรเสียยามนี้เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกำมือพวกนาง เรื่องทั่วๆ ไปอย่างไรก็ใจกว้างให้อภัยสักหน่อยเป็นดี หาไม่แล้วตัวเจ้าเองไม่พอใจ โมโหจนส่งผลร้ายต่อร่างกาย แล้วจะทำเช่นใดเล่า?”
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนมีสีหน้าไม่พอใจ นางจึงเปลี่ยนท่าทีไป “และแน่นอนว่าหากพี่สะใภ้หมิ่นและพี่สะใภ้โจวทำเกินไป เจ้าก็อย่าทนให้ตนเองถูกรังแกเล่า! ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของบิดาเจ้า อย่างไรบิดาเจ้าต้องไม่มีทางปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ของเจ้าดีเช่นเจ้าแน่นอน เพียงแต่กลัวว่าความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองบ้านแม้จะนับอ้อมไปมาหลายเลี้ยวหลายโค้งแล้ว วานนี้ข้าคิดไปมาอยู่ทั้งคืนก็ยังหาคนที่สามารถไปพูดกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้าไม่ออกเลย …ทว่ารอให้ข้ากลับไปลองหารือกับท่านแม่ก่อน ดูว่าท่านแม่ข้ามีความคิดๆ ใดหรือไม่”
เว่ยฉางเจวียนทราบซึ้งจนแทบหลั่งน้ำตา กล่าวว่า “พี่หลิว ท่านดีต่อข้าเสียเหลือเกิน”
“คำนี้ของเจ้า ข้ากลับไม่ชอบฟังหรอก เพราะเหมือนเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเกินไป” หลิวรั่วเหยียเอ็ดนาง “เราสองคนยังต้องทำเช่นนี้อีกหรือ?” แล้วกำชับนางหนแล้วหนเล่าว่าอย่าให้ตนเองต้องทนถูกรังแกเช่นนั้นเช่นนี้
เว่ยฉางเจวียนปวดร้าวใจยิ่งนัก นางเอาผ้ามากดซับที่หางตา ทอดถอนใจว่า “ไม่ว่าผู้อื่นจะดีกับข้าจริงๆ หรือเพียงแค่แสร้งปั้นหน้าไปตามพิธี ชาตินี้มีพี่หลิวท่าน และยังมีพี่หมิ่นทั้งสองคนเป็นสหายสนิท ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว แม้คำที่พี่หมิ่นเตือนข้าจะไม่เหมือนกับที่ท่านเตือน แต่ข้าก็รู้ว่าในใจนั้นพวกท่านล้วนทำเพื่อข้า ทว่าจะว่าไปแล้วข้ากลับชอบคำตักเตือนของพี่หลิวมากกว่า พี่หมิ่นนั้นไม่ว่าสิ่งใดก็ดีหมด แต่กลับชอบเตือนให้ข้าก้มหัวให้เฟิ่งโจวและเว่ยฉางอิ๋ง…ใจข้าไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนเรื่องนี้ได้จริงๆ!”
หลิวรั่วเหยียที่ยังคงสวมชุดสาวใช้อยู่ เมื่อได้ยินคำก็ยิ้มเรียบๆ กล่าวว่า “น้องหญิงยามนี้ในใจเจ้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ มีบางคำข้าก็จะไม่บอกเจ้าแล้ว เพื่อมิให้เจ้ายิ่งเป็นทุกข์ไปมากกว่านี้”
เว่ยฉางเจวียนได้ฟังรีบรั้งตัวนางไว้ “พี่หลิว ท่านยังรู้สิ่งใดอีก? ไยไม่บอกข้า?”
“น้องเว่ยเจ็ดเจ้าฟังข้าสักครา มีบางเรื่อง ไม่รู้กลับดีกว่าสักหน่อย” หลิวรั่วเหยียเอ่ยอย่างอ่อนโยน “โดยเฉพาะยามนี้เจ้ากำลังไม่สบายใจ ไยต้องเพิ่มเติมความกลัดกลุ้มอีกเล่า?”
นางยิ่งพูดเช่นนี้ เว่ยฉางเจวียนก็ยิ่งรั้งตัวนางไว้เพื่อสอบถามให้ชัดเจน …ทว่าท่าทีของหลิวรั่วเหยียกลับหนักแน่นจนน่าประหลาด บอกเพียงแต่ว่า “ก่อนนี้ข้าล้วนทนการรบเร้าของเจ้าไม่ไหว ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรบอกเจ้าแต่ก็ยังบอก ปรากฏว่าภายหลังกลับกลายเป็นทำร้ายเจ้าเสียแล้ว ยามนี้ข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว เจ้าฟังคำข้า อย่าถามให้มากความอีกเลย”
ที่สุดนางก็สะบัดเว่ยฉางเจวียนจนหลุดและจากไป
กลับมาที่จวน จางเสากวงกำลังอยู่ภายในห้อง พอได้ยินว่าบุตรสาวกลับมาแล้วจึงออกจากในห้องไปต้อนรับ เมื่อเห็นว่าหลิวรั่วเหยียสวมชุดที่สวมตอนออกจากบ้านไปเมื่อวานนี้ จึงแย้มยิ้มพลางว่า “เวลาเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนเสื้อกลับมาแล้วหรือ? ข้านึกว่าเจ้าจะตรงกลับมาเลยเสียอีก”
หลิวรั่วเหยียบอกว่า “ลูกเปลี่ยนเสื้อบนรถม้าเจ้าค่ะ เพื่อมิให้คนเห็นตอนลงจากรถแล้วจะสงสัยเอาเจ้าค่ะ”
“นังตัวเล็กบ้านเว่ยนั่นเป็นเช่นไรบ้าง? เพราะคนเฝ้าประตูบอกว่าเป็นนางสั่งไว้ว่าไม่อยากพบเจ้านี่? แต่ในเมื่อเจ้าไปค้างคืนที่บ้านเว่ย คาดว่านางคงถูกเจ้ากล่อมได้แล้วกระมัง?” จางเสากวงสั่งให้บ่าวซ้ายขวาออกไป เอ่ยถามยิ้มๆ พลางรินน้ำชาร้อนให้บุตรสาวด้วยตนเอง
หลิวรั่วเหยียรับมาดื่มอึกหนึ่ง ยิ้มพลางว่า “หากนางมีปัญญาเตรียมรับมือลูกได้ แล้วลูกยังจะลอบเข้าไปได้อย่างไร ลูกเดาว่าที่คนเฝ้าประตูไม่ยอมให้ลูกเข้าไป ต้องเป็นความคิดของเว่ยฉางหว่าน ไม่ก็เป็นผู้อื่นในบ้านเว่ยเจ้าค่ะ”
แล้วบอกว่า “เรื่องที่พวกเราคาดไว้ก่อนหน้านี้ก็เป็นจริงเสียด้วย นางตวนมู่ถูก แม่เฒ่าซ่งบีบให้ตายเจ้าค่ะ”
จางเสากวงบอกว่า “นับแต่คุณหนูสามตระกูลเว่ยผู้นั้นมาถึงเมื่อหลวง เว่ยฉางเจวียนก็คอยหาความนางอยู่หนแล้วหนเล่า ข้าก็รู้แล้วว่าทางสายของเว่ยเซิ่งอี๋ต้องซวยแน่ ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านเว่ยผู้นั้น หากเอ่ยถึงนาง ผู้คนล้วนว่ากันว่านางเคร่งครัดในจารีตธรรมเนียมยิ่งนัก แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ทุกคนอยากจะพูดก็คือนางมีใจคออำมหิต! ครั้งนางยังอยู่ที่เมืองหลวง นางไม่มีอำนาจมาจัดการถึงข้า แต่ยามข้าพบเห็นนางก็ยังไม่กล้าเพิกเฉยต่อนางเลย จนยามนี้นางก็ยังแข็งแรงดีอยู่ เว่ยฉางเจวียนกลับบังอาจไปหาความหลานสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของนาง นี่มิใช่ว่ารนหาที่ตายเองหรอกรึ?”
แล้วแย้มยิ้มกล่าวว่า “ก็เพราะคุณหนูเจ็ดผู้นี้ยังเยาว์ ยังไม่เคยพบท่านย่าของนาง จึงไม่รู้จักกลัวน่ะสิ! คิดถึงครั้งข้ายังเป็นลูกอนุอยู่นั้น ข้าต้องเคารพเชื่อฟังต้องรู้ความเพียงใดยามอยู่ในกำมือของแม่ใหญ่? แม้จะเป็นดังนั้นก็ยังไม่อาจทัดเทียบพี่สาวบุตรแม่ใหญ่ได้ หากมิใช่ว่าแม่ใหญ่เสียไปเร็ว…”
หลิวรั่วเหยียจึงหัวเราะ “ท่านแม่เอาเว่ยฉางเจวียนไปเทียบกับท่านในครานั้นก็ให้เกียรตินางเกินไปแล้วเจ้าค่ะ นางก็เป็นเพียงคนที่ถูกพ่อแม่เอาใจจนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จะมาเทียบกับท่านแม่ได้ที่ใดกันเจ้าคะ?”
หลังจากวิจารณ์เว่ยฉางเจวียนไปสักพัก จางเสากวงจึงเอ่ยเรื่องจริงจังกับบุตรสาวว่า “เจ้าผู้มิตรกับนังตัวเล็กนั่นมาสักพักแล้ว ยามนี้นางเชื่อใจเจ้าจนถึงขั้นไม่ระแวงสิ่งใดแม้แต่น้อยแล้วจริงๆ หรือไม่? นางก็สนิทกับเด็กสาวบ้านหมิ่นนั่นเอามากๆ อย่าให้เด็กบ้านหมิ่นนั่นรู้เข้าและมาเตือนทัดทานนางไม่ให้ทำเรื่องให้ใหญ่โต แล้วกลับมาสงสัยถึงตัวพวกเราได้จะไม่ดีเอา”
“ลูกจะไม่ไปป้องกันหมิ่นอีนั่วได้อย่างไรเจ้าคะ? วันนี้ตอนลูกกลับมาก็ยังเตือน เว่ยฉางเจวียนด้วยเจ้าค่ะ!” หลิวรั่วเหยียยิ้มจางๆ พลางเอ่ย “แม้ยามนี้นางจะยังไว้ทุกข์อยู่ จึงไม่ใคร่ได้ยินข่าวคราวจากภายนอกมากนัก ทว่าทุกคนล้วนรู้ว่านางสนิทสนมกับหมิ่นอีนั่ว เมื่อถึงวัน เพื่อให้ดูไม่น่าเกลียดพี่สะใภ้ทั้งสองคนของนางก็ต้องตระเตรียมของกำนัลให้นางเป็นการเฉพาะ แล้วจะไม่บอกกับนางได้หรือเจ้าคะ?”
——————————