ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 192 เปิดเผย
“เหยียบย่ำ?” หลิวรั่วเหยียมีท่าทีคล้ายตื่นตกใจพลางเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นะ…นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าเป็นถึงบุตรสาวคนเล็กของภรรยาเอกที่เสียไปนะ! แม่ท่านป้าตวนมู่จะเสียไปแล้ว แต่ก็มิใช่ว่าท่านลุงเว่ยก็ยังอยู่? ทั้งยังก็ยังมีพี่ชายแท้ๆ อีกสองคนด้วย! แม้งานในเรือนยามนี้จะเป็นพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้ามาดูแล แล้วจะมาเหยียบย่ำเจ้าได้อย่างไร?! ครั้งท่านป้าตวนมู่ยังมีชีวิตอยู่ก็มิใช่ว่ารักเจ้าเป็นที่สุด? แม้ยามนี้นางจากไปแล้ว แต่จะมาหมางเมินกับเจ้าได้เช่นใด?”
คำนางที่ว่า ‘ครั้งท่านป้าตวนมู่ยังมีชีวิตอยู่ก็มิใช่ว่ารักเจ้าเป็นที่สุด’ ยิ่งลงลึกไปสะกิดความเจ็บปวดในใจของเว่ยฉางเจวียน นางจึงร่ำไห้จนพูดไม่เป็นภาษาขึ้นมาในบัดดล “ท่านไม่ต้องพูดแล้ว…. ไม่ต้องพูดแล้ว!”
ในสถานการณ์เช่นนี้ มีแต่คนโง่จึงจะไม่พูดต่อไป หลิวรั่วเหยียประคองนางเอาไว้ แล้วถามไปสุดแรงว่า “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่? ข้าก็นึกว่าบางทีเพราะพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้าเสียใจเกินไปจนไม่เป็นอันทำการใด จึงมาดูแลเจ้าทางนี้ไม่ทั่วถึง หรือไม่ก็เพราะเจ้าเองเสียอกเสียใจ ไม่ชอบให้มีคนมากจึงให้คนออกไปจนหมด …หรือว่าที่เวลานี้มีคนน้อยและเงียบเหงานัก ที่แท้คือ…ที่แท้พวกนางจงใจทำกับเจ้าเช่นนี้หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? อย่างไรก็เป็นเพราะพี่สะใภ้ทั้งสองของเจ้ากำลังสาละวนกับงานในเรือนจึงดูแลไม่ใคร่ทั่วถึงกระมัง?”
เว่ยฉางเจวียนเสียใจจนยากทนรับไหว สะอึกสะอื้นอยู่เนิ่นนาน ที่สุดก็ทานการซักไซ้หนแล้วหนเล่าของนางไม่ไหวจนต้องบอกนางพลางสะอื้นไปว่า “ยามนี้ข้าจะมีอำนาจสั่งให้ผู้ใดออกไปได้? จะมีก็แต่สาวใช้พอได้อยู่ข้างกายเท่านั้น! ส่วนพี่สะใภ้น่ะหรือ เวลานี้พวกนางปกครองเป็นนายของเรือนแล้ว! ก็หันมาชักสีหน้าใส่ข้าในทันใด! นอกจากสิบวันครึ่งเดือนไม่เคยเห็นพวกนางมาดูข้าสักหนแล้ว หากข้ามีเรื่องใดจะหาพวกนาง พวกนางก็ไม่ถามไถ่ดีชั่ว เอาแต่พูดจาเย็นชาว่า ‘ท่านแม่เพิ่งจะเสียไป ทุกคนในบ้านต่างเสียอกเสียใจเสียยิ่งนัก แล้วจะมีแก่ใจไปหาความสำราญได้ที่ใด น้องหญิงเจ้าก็อดทนสักหน่อยเถิด’ ในช่วงที่อากาศยังหนาวเย็นก่อนหน้านี้ ถ่านที่เรือนข้าหมดแล้ว ต้องทนหนาวจนไอ พอส่งคนไปขอ พวกนางก็ยังบอกเช่นนี้! นี่เรียกว่าหาความสำราญหรือ?”
หลิวรั่วเหยียปากอ้าตาค้าง กล่าวว่า “นี่มัน …นี่มันมากเกินไปแล้ว!”
“ยังมีที่มากกว่านี้อีก” ในเมื่อเว่ยฉางเจวียนพูดออกมาแล้ว เช่นนั้นก็เอาความคับอกคับใจตลอดเวลาที่ผ่านมาเทมันออกมาให้หมด “พี่หมิ่นมาเยี่ยมข้าสองครา นำของมาให้ข้าเล็กน้อย ปรากฏว่ารอจนพี่หมิ่นกลับไปแล้วพี่สะใภ้ใหญ่ก็มาพูดจากระแนะกระแหนว่า ‘จะว่าไปอีนั่วก็เป็นน้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้เช่นกันนะ! แต่ที่มาสองสามครั้งนี้ล้วนมาหาแต่น้องหญิง พี่สะใภ้ก็มิได้คิดเห็นเป็นอื่นใด เพียงแต่ทุกคราอีนั่วก็จะเอาของกินเล็กน้อยมาให้น้องหญิง พี่สะใภ้กลับไม่เข้าใจว่า ในเรือนนี้ทำไม่ดีต่อน้องหญิงจนน้องหญิงกินไม่อิ่ม หรือเพราะไม่ได้ให้น้องหญิงได้กินดีๆ? จนทำให้น้องหญิงไปบอกกล่าวกับอีนั่วหรือไม่? เพียงแต่ยามนี้บ้านเรากำลังไว้ทุกข์ คนเป็นพี่สะใภ้ก็ต้องเตือนน้องหญิงว่าทนๆ พอให้แก้ขัดไปก่อน อย่างไรก็ต้องระลึกว่าท่านแม่เคยเลี้ยงดูเจ้ามา ใช่หรือไม่’ ”
หลิวรั่วเหยียตระหนกตกใจหนแล้วหนเล่าแล้วบอกว่าไม่เคยได้ยินว่ามีพี่สะใภ้เช่นนี้มาก่อน ที่แม่สามีเพิ่งจะเสียก็หันมาร้ายกาจใส่น้องสามีเสียแล้ว …แล้วพูดอย่างเคืองแค้นใจและเต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมว่า “น้องเว่ยเจ็ด เจ้าก็ซื่อตรงเกินไปแล้วจริงๆ! ยอมทนถูกรังแกเช่นนี้ ไยไม่ไปบอกกับบิดาและพี่ชายให้ชัดแจ้งเล่า? กลับให้พี่สะใภ้ไม่ดีไม่งามเช่นนี้เหยียบย่ำเจ้าอยู่ได้!”
เว่ยฉางเจวียนยิ่งเศร้าเสียใจเข้าไปอีก แอบคิดในใจว่าหากท่านพ่อและพี่ชายรักใคร่ข้า แล้วข้าจะไม่ไปบอกหรือ? นางสะอื้นไห้อยู่พักใหญ่ หลักจากถูกหลิวรั่วเหยียรบเร้าซักไซ้ถามอยู่หลายหนจึงเอ่ยออกมาอย่างยากเย็นว่า “ท่านพ่อและพวกพี่ชาย พี่หญิงใหญ่ล้วนคิดว่าข้าเป็นคนทำร้ายท่านแม่ ยามนี้…ยามนี้ต่างพากันโกรธข้า! หาไม่แล้ว จะถึงคราวนางหมิ่นและนางโจวสองคนนั่นมารังแกข้าได้รึ?”
‘ล้วนคิดว่าข้าเป็นคนทำร้ายท่านแม่’ ประโยคนี้ทำให้หลิวรั่วเหยียเลิกคิ้วทั้งคู่ขึ้นทันใด แล้วรีบระงับอารมณ์พลางตั้งใจฟังอย่างสงบด้วยความห่วงใย
แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเจ็บปวดใจ อดร้องไห้โฮขึ้นมาไม่ได้ “ครั้งท่านแม่ยังอยู่ ยามนางหมิ่นและนางโจวเห็นข้า มีครั้งใดที่พวกนางจะไม่มีรอยยิ้มเต็มหน้ามาแต่ไกลๆ เข้ามาต้อนรับและทักทายข้าอย่างอ่อนน้อม ข้าก็คิดว่าแม้พวกนางจะไม่ฉลาด ทั้งมีชาติกำเนิดไม่สูง ทว่าก็นับว่ารู้จักมารยาท ไม่นึกว่าพอท่านแม่จากไป พวกนางก็ออกลายในทันใด!” แล้วด่าทออย่างหนักว่า “บุตรีตระกูลใหญ่ที่แท้ก็เป็นเพียงบุตรีตระกูลใหญ่ ไม่ได้ความ! คุณธรรมของภรรยาแม้สักน้อยก็ยังไม่มี ได้แต่เสแสร้งแกล้งทำ! หากมิใช่ว่าท่านพ่อ พี่ชาย …ข้า…ข้าก็อยากจะ….”
“พี่สะใภ้หมิ่นและพี่สะใภ้โจวก็ทำเกินไปแล้วจริงๆ!” หลิวรั่วเหยียลดแผงขนตายาวๆ ต่ำลงมาพลางเอ่ยอย่างชิงชัง “ท่านป้าตวนมู่เสียไปแล้ว พวกนางก็เป็นเพียงสะใภ้ ต่อให้เป็นทุกข์หรือจะเทียบเท่าน้องหญิงเจ้าได้? แต่กลับไม่เห็นใจน้องหญิงสักน้อย กลับอาศัยว่าได้อำนาจปกครองเรือนแล้วก็มาทำไม่ดีต่อน้องหญิง! ช่างไร้คุณธรรมและความเมตตาที่พี่สะใภ้ใหญ่พึงมีเสียจริงๆ!”
เว่ยฉางเจวียนยิ้มพลางเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ยามนี้ข้าจะกล้าไปหวังความเมตตาจากพวกนางได้ที่ใด? ข้าได้แต่หวังให้พวกนางให้อาหารข้ากินสักคำ ไม่ให้ข้าถึงกับต้องอดตายเท่านั้นแล้ว!”
นี่เห็นชัดว่าเป็นคำพูดด้วยอารมณ์โกรธ หลิวรั่วเหยียถอนใจคราวหนึ่ง แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าส่งให้นางเช็ดหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “น้องหญิงเป็นเช่นนี้ไม่ได้นะ! เดิมทีไว้ทุกข์ให้มารดาสามปีก็ลำบากมากพอแล้ว พี่สะใภ้หมิ่นและพี่สะใภ้โจวยังทำไม่ดีต่อเจ้าอีก แต่ไรมา…จะ…เจ้าก็ถูกท่านป้าตวนมู่ประคบประหงมประหนึ่งมุกในฝ่ามือ สามปีนี้…จะทนรับไหวที่ใดกัน!”
เดิมทีเว่ยฉางเจวียนยังหวังว่าทั้งบิดาและพี่ชายจะโกรธเคืองนางเพียงชั่วครู่ชั่วยาม จึงยังคงรู้สึกสงสารตนเอง ทว่าคราก่อนที่นางถูกนางหมิ่นทำให้โกรธจนเป็นลมล้มพับไป ยามตื่นขึ้นมาก็เห็นมีเพียงสาวใช้และตะเกียงอยู่เป็นเพื่อน เมื่อสอบถามกับสาวใช้ บอกว่าหลังจากนางหมิ่นเห็นว่านางหมดสติไป นางก็ตื่นตกใจนัก และส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจอาการ …ทว่า เว่ยเซิ่งอี๋พ่อลูกกลับไม่เคยมาเยี่ยมนางเลย และไม่ส่งคนมาถามไถ่ด้วย นับแต่นั้นมาจึงรู้สึกท้อใจนักหนา
เมื่อมาได้ยิน หลิวรั่วเหยียถามเอายามนี้จึงตอบไปเรียบๆ ว่า “ทนไม่ได้ยิ่งดี ข้าจะได้ไปอยู่กับท่านแม่ ดีกว่าถูกนางบีบคั้นอยู่บนโลกนี้ และถูกคนรังแกอย่างเดียวดาย!”
หลิวรั่วเหยียกระพริบตาสักพัก จึงว่า “น้องหญิงเจ้าอย่างเพิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าจะถามเจ้าสักคำนะ?”
เว่ยฉางเจวียนเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “ท่านจะพูดว่า?”
“ตลอดหลายวันมานี้ ท่านลุงเว่ยเคยมาเอ่ยสิ่งใดกับเจ้าหรือไม่?” หลิวรั่วเหยียขยับเข้าไปกระซิบถามข้างหูนางเบาๆ”
เว่ยฉางเจวียนเกือบจะหลั่งน้ำตาลงมาอีกครั้ง “ยามนี้ท่านพ่อจะยอมฟังว่าข้าจะเป็นหรือตายที่ใดกัน?”
“เจ้าล้วนพูดด้วยความโกรธ” หลิวรั่วเหยียเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ตามความเห็นข้าแล้ว ความจริงทั้งบิดาและพี่ชายเจ้ากลับมิได้ไม่รักเจ้าจริงๆ หรอก!”
เว่ยฉางเจวียนไม่เข้าใจ จึงบอกว่า “หากพวกเขายังรักข้าอยู่ แล้วไยปล่อยให้ข้าถูกรังแกด้วยน้ำมือของนางหมิ่นและนางโจวตั้งมากมายเพียงนี้? คราก่อนนางหมิ่นทำให้ข้าโกรธจนเป็นลมล้มทั้งยืน ปรากฏว่า…ปรากฏว่าท่านรู้หรือไม่? พวกท่านพ่อและพี่ชายแม้จะถามก็ไม่ถามสักคำ! ข้ารู้ว่าพวกเขา…พวกเขาล้วนเกลียดข้าแล้ว!”
หลิวรั่วเหยียเอ่ยเสียงเบาว่า “น้องเว่ยเจ็ด เจ้าเสียใจจนเลอะเลือนแล้ว! ไยเจ้าไม่ลองคิดดูว่าท่านป้าตวนมู่เพิ่งจะเสียไป ท่านลุงและพวกพี่ชายของเจ้าจะไม่เสียใจหรือ? หากพวกเขาชังเจ้าจริงดังว่า จู่ๆ จะไม่สนใจเจ้าขึ้นมาหรือ? แต่จะต้องตำหนิเจ้าหนักหนาต่างหาก! แล้วถ้าชังเจ้ายิ่งแล้ว เหตุใดไม่เอาเจ้าไปส่งไว้ที่ชนบทนอกเมืองจะได้ไม่ต้องอยู่ให้รกตาเล่า?”
“แต่ครั้งกำลังเฝ้าโลงศพท่านแม่อยู่ ต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งพี่หญิงใหญ่ก็….จากนั้นพี่ชายก็…” เว่ยฉางเจวียนเอ่ยพึมพำ “ยามนี้พวกเขาเกลียดข้านักแล้ว ไม่อยากมาพูดจากับข้าแล้ว!”
หลิวรั่วเหยียถอนหายใจ กล่าวว่า “น้องหญิงเจ้าเลอะเลือนแล้วจริงๆ! เจ้าเองก็รู้นี่ว่าพี่หญิงใหญ่เว่ยต่อว่าเจ้าต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋ง! เจ้าว่าพี่หญิงใหญ่เว่ยต้องการจะต่อว่าเจ้าหรือว่าทำเพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งดูกันแน่?”
เว่ยฉางเจวียนตกตะลึง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วว่า “ไม่จริงหรอก หากพี่หญิงใหญ่เพียงทำให้เว่ยฉางอิ๋งดู แล้วใดภายหลังนอกจากไม่มาอธิบายกับข้า แล้วยังกลับสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปอย่างขุ่นเคืองหนักหนาเล่า?” ความจริงแล้วยังมีอีกประโยคว่าตอนที่นางไปก็ยังสั่งความกับคนเฝ้าประตูว่าไม่ให้ตนพบกับหลิวรั่วเหยียอีก แต่เพราะเวลานี้อยู่ต่อหน้าหลิวรั่วเหยีย เว่ยฉางเจวียนจึงไม่ได้เอ่ยออกมา
“ท่านป้าตวนมู่เสียไปแล้ว พี่หญิงใหญ่เว่ยคงจะเสียใจอย่างมาก จึงได้…” หลิวรั่วเหยียเอ่ยพลางทอดถอนใจ “น้องหญิงเจ้าลองคิดดูดีๆ นอกจากวันนั้นแล้ว เจ้ายังถูกตำหนิอีกหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางเจวียนขบริมฝีปากไม่ยอมพูด หลิวรั่วเหยียก็รู้แล้วว่าตนเองเดาถูก จึงเอ่ยเสียงเบาๆ ไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินว่าท่านย่าของเจ้าเก่งกาจเสียยิ่งนัก …บางทีพี่หญิงใหญ่อาจจะกลัว…หน้าต่างมีหูประตูมีช่องก็เป็นได้?”
เว่ยฉางเจวียนสะดุ้งตัวโยน! ร้องเสียงลั่นว่า “ท่านหมายความว่า…”
“น้องหญิงเจ้าระวังคำด้วย!” หลิวรั่วเหยียยกนิ้วขึ้นมาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ แล้วแตะที่ปากนางเป็นสัญญาณว่าให้เงียบเสียง พลางเอ่ยเบาๆ ว่า “สรุปก็คือ ตามความเห็นข้าแล้วเกรงว่าการที่บิดาและพี่ชายของเจ้าปล่อยให้เจ้าถูกพี่สะใภ้ข่มเหงในยามนี้ ไม่แน่ว่าเพราะมีความลำบากใจอื่น!”
เว่ยฉางเจวียนตัวสั่นขึ้นมาน้อยๆ พึมพำว่า “ตะ…ตามที่ท่านว่ามา เพราะพวกเขากลัว?”
“ข้าก็เพียงคิดว่าบิดา พี่ชายและพี่สาวคนโตของเจ้ารักใคร่เจ้ามาแต่ไร ยามนี้ท่านป้าตวนมู่จากไปแล้ว ตามหลักแล้วพวกเขามีแต่จะยิ่งต้องสงสารเจ้า แต่กลับมาไม่สนใจไยดีเจ้า หรือว่าในเรื่องนี้จะมีเหตุผลพิเศษใดอยู่?” หลิวรั่วเหยียเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “เพียงแต่ด้วยฐานะของท่านลุงเว่ย …หรือต่อให้เป็นราชสำนัก ข้าคิดว่าก็ออกจะเป็นไปได้ว่าจะทำให้เขาต้องเกรงกลัวถึงเพียงนี้กระมัง? ที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือ …เจ้าอย่าโทษว่าข้าปากมากเลย ข้าคิดว่า อาจจะเป็น… เพราะญาติผู้ใหญ่ในตระกูลหรือไม่?”
เว่ยฉางเจวียนกำหมัดแน่น “ท่านย่า! ต้องเป็นนางแน่! นางบีบให้แม่ข้าตายไปแล้ว หรือว่าแม้แต่ข้าก็คิดจะกำจัดไปด้วย?!”
ในที่สุดหลิวรั่วเหยียก็พูดหลอกล่อจนถูกเข้าจนได้ นางหรี่ตาลงน้อยๆ จากนั้นก็ปิดปากด้วยท่าทีตื่นตะลึง บอกว่า “น้องเว่ยเจ็ดเจ้า …เจ้าพูดสิ่งใด?! หรือว่าท่านป้าตวนมู่มิได้ป่วยจนเสียไป …แต่กลับ…แต่กลับเป็นเพราะ?!”
“ท่านแม่มีสุขภาพดีมาโดยตลอด แล้วจู่ๆ จะมาเป็นไส้ติ่งอักเสบได้อย่างไรกัน?” เวลานี้เว่ยฉางเจวียนกำลังอยู่ในอารมณ์อ่อนไหวอย่างมาก จึงไม่มีเวลาจะมาคิดมากมาย พลันเอ่ยไปอย่างสะเทือนใจว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งจี้ชวี่ปิ้งและตวนมู่ซินเหมี่ยวก็กลับไม่อยู่ในเมืองหลวงทั้งคู่! พอส่งคนไปตามหาก็หาตัวไม่พบ! ก่อนท่านแม่จะเสียยังดึงมือข้าไปพูดจาตั้งมากมาย ครานั้น… ขะ…ข้าก็รู้สึกว่าผิดปกติ ทว่ายามนั้นกำลังเป็นช่วงสิ้นปี ล้วนต้องยุ่งวุ่นวายกันนัก ข้าจึงไม่ได้คิดมาก ที่ใดจะคิดว่า…ภายหลังท่านแม่ก็มาเสียไป เมื่อข้าย้อนกลับไปคิดดู จึงเพิ่งเข้าใจความหมายของนาง!
หลิวรั่วเหยียรีบเข้าไปปิดปากนางไว้ ร้องเสียงเบาไปว่า “เจ้าไม่รักชีวิตแล้วรึ? คำเช่นนี้ก็ยังกล้ามาบอกข้า!”
เว่ยฉางเจวียนเอ่ยทั้งน้ำตาว่า “ดีชั่วยามนี้ท่านแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ในสายตาของท่านย่าแล้วชีวิตเล็กๆ ของข้าจะมีค่าอันใด? หากนางจะเอาไป ก็มาเอาไปเสียเถิด!”
“ในสายตาของท่านย่าเจ้าบางทีอาจไม่มีค่าอันใด ทว่าในสายตาของบิดา พี่ชาย และพี่หญิงใหญ่เว่ยแล้วกลับเป็นอัญมณีสูงค่ายิ่ง!” หลิวรั่วเหยียเตือนสตินางด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หาไม่แล้ว หลังจากท่านป้าตวนมู่เสียไป เหตุใดพวกเขาจึงต้องทนปวดใจ แสดงละครตบตาต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋ง ภายหลังยังยอมให้เจ้าถูกพวกพี่สะใภ้ข่มเหงเอาอีก? เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? นี่ล้วนเป็นเพราะกลัวว่าท่านย่าของเจ้าจะมาลงมือเอากับน่ะสิ!”
______________________