ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 161-2 ยังไม่งามเท่าแม่ข้าเลย!
“…” เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญอยู่นาน จึงบอกว่า “วันนี้ค่ำแล้ว วันพรุ่งท่านไปเชิญ…” แล้วคิดอยู่อีกเนิ่นนานจึงถอนใจกล่าวว่า “ท่านพี่ไม่อยู่ อยากจะเชิญน้องชายของสามีมาก็ไม่สะดวก เดิมทีอยากไหว้วานคนไปบอกกับหลิวซีสวิน ให้ทางเขาลองคิดหาทางดู การแต่งงานครานี้ไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อมาคิดดู เขาเองก็คงจะรู้เช่นกัน”
นางหวงเอ่ยเสียงหนัก “ฮูหยินน้อยเป็นกังวลเรื่องนี้ คาดว่าคุณชายหลิวสิบหกก็คงจะเข้าใจ เกรงว่าเวลานี้เขาเองก็คงกำลังคิดหาทางเช่นกันเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเวยหย่วนโหวล้วนให้หลิวซีสวินและหลิวยิ้วเจ้าอยู่ในเมืองหลวงตั้งหลายปี …คาดว่าแรกเริ่มนั้นพวกเขาจักต้องมีกลยุทธที่รัดกุมกระมัง?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วพลางเอ่ยพึมพำ
เวลานี้ก็ทำได้เพียงปลอบใจตนเองเท่านั้นแล้ว
ทว่าผ่านไปอีกสองวัน ก็เกิดเรื่องที่ไม่เป็นดังหวังขึ้นอีก
ฮองเฮากู้ใช้ข้ออ้างว่าหลิวรั่วอวี้พระชายาองค์รัชทายาทอ่อนโยนดีงาม กตัญญูรู้ความ พระนางเปรมปรีดิ์ด้วยเรื่องนี้ยิ่งนัก จึงตัดสินใจพระราชทานสมรสให้แก่หลิวซีสวินน้องชายร่วมตระกูลของพระชายาองค์รัชทายาท
เมื่อได้ยินข่าวนี้ องค์รัชทายาทเซินสวินกำลังนอนเอนกายพิงอยู่กับตั่ง มีสนมงามขนาบอยู่ซ้ายขวา เสื้อผ้าของทั้งสามคนหลุดลุ่ยไปหมด คอยจะเผยให้เห็นเนื้อหนังอยู่ตลอดเวลา
ห่างจากเขาไปไม่ไกล หลิวรั่วอวี้ พระชายาองค์รัชทายาท ในมือถือจอกเงิน นั่งนิ่งด้วยอารมณ์สงบอยู่บนตั่งเตี้ยอีกตัวหนึ่ง ของว่างสิบกว่าชนิดบนโต๊ะข้างๆ มือล้วนหายไปแล้วจำนวนหนึ่ง นางอยู่ในท่าทีสงบและเหมือนมองแต่ไม่เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
เซินสวินเอื้อมมือเข้าไปไล้ไปมาในเสื้อของสนม ทางหนึ่งนางสนมก็ทำทีแอบมองหลิวรั่วอวี้ด้วยความหวาดกลัว อีกทางหนึ่งก็ทำทีขัดขืนหลบเลี่ยง …ทุกครั้งที่หลบก็กลับพอดีเอาเรือนร่างบางที่เข้าไปอยู่ในฝ่ามือของเซินสวิน …
จนใจเหลือที่ไม่ว่าพวกนางจะพากันหลงระเริงเพียงใด ฉอเลาะอ้อดอ้อนกันเพียงใด หลิวรั่วอวี้ก็ยังคงอยู่ในอาการสงบ กระทั้งยังมีแก่ใจเอ่ยเตือนไปคำหนึ่งว่า “เวลานี้อาการเย็นแล้ว ในตำหนักไม่ได้เผาไส้เดือนดิน[1] ฝ่าบาทต้องทรงระวังสักหน่อย อย่าได้ต้องลมหนาวเอานะเพคะ”
“ผู้คนพากันบอกว่าบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ดีงามใจกว้างนัก” เซินสวินเงยหน้าขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน สังเกตดูพระชายาองค์รัชทายาทของตนด้วยท่าทีกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม กล่าวว่า “เจ้านี่ช่างดีงามเสียจริงๆ! เวลานี้พวกเรายังอยู่กันไม่ทันครบเดือน ข้าพะเนาพะนออยู่กับสนมต่อหน้าเจ้าเช่นนี้ เจ้ากลับมิหึงหวงแม้แต่น้อยหรือ?”
ยังไม่ทันสิ้นคำเขา สนมสองนางไม่ยอมพลาดโอกาสจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเกรงกริ่งว่า “สนมรู้ผิดแล้ว! ขอพระชายาองค์รัชทายาทโปรดประทานอภัยด้วยเพคะ!”
เสียงขออภัยนั้นช่างฉอเลาะอ่อนโยนคล้ายนกขมิ้นออกจากเขา หวานหยดย้อยจนทำให้คนหลงใหล เซินสวินอดจะจูบที่แก้มสนมนางหนึ่งหนแล้วหนเล่าไม่ได้ …แต่แล้ว หลิวรั่วอวี้กลับไม่ได้กระพริบตาแม้สักหน ยิ้มจางๆ พลางว่า “หม่อมฉันอัปลักษณ์นัก ทั้งยังโง่เง่า เป็นโชคเกิดคาดจึงได้มารับใช้ฝ่าบาท ทว่าหม่อมฉันกลับรู้สึกว่าตนยังไม่คู่ควรกับฝ่าบาท เวลานี้ฝ่าบาทมีหยกเลิศดอกไม้งามอยู่ข้างกาย หม่อมฉันรู้สึกยินดีนัก แล้วจักกล้าริษยาได้อย่างไรเพคะ?”
สนมทั้งสองนางนิ่งเงียบอยู่เป็นนานคล้ายถูกคนบีบคอเช่นนั้น เซินสวินกลับหัวเราะออกมาก แล้วเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “หญิงสาวที่ข้าเคยพบเห็นมีมากกว่าที่เจ้ารู้จักในตระกูลสูงศักดิ์เสียอีก ลูกไม้ถอยก่อนค่อยรุก ปากไม่แต่ใจอยากนี้ข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว”
หลิวรั่วอวี้สะดุ้ง…จากนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “หากฝ่าบาทไม่เชื่อว่าหม่อมฉันไม่ได้ริษยาจริงๆ หม่อมฉันก็จนปัญญาเพคะ” นางไม่ได้สนใจเซินสวินมาจากขั้วหัวใจจริงๆ และไม่ได้หวังว่าจะต้องอยู่กับเขาไปชั่วชีวิตด้วย เพียงอยากอาศัยฐานะพระชายาเอกไปแก้แค้นจางเสากวงแม่ลูกเท่านั้น… ไม่คิดว่าการที่นางมีใจคอกว้างขวางเช่นนี้กลับทำให้เซินสวินเข้าใจผิด ว่าตนกำลังคิดใช้วิธีปากไม่แต่ใจอยากมาดึงดูดความสนใจเขาเสียแล้ว?
“เจ้าอยากจะเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแสนดีงามก็ได้นี่!” เซินสวินใคร่ครวญสักพัก จู่ๆ ก็นึกถึงข่าวที่ตนเพิ่งได้ยินมา และรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ กล่าวว่า “มิใช่ว่าเสด็จแม่จะพระราชทานสมรสให้แก่น้องชายร่วมตระกูลของเจ้า? ได้ยินว่าในพระราชโอการสมรสพระราชทานคล้ายบอกว่าคุณหนูตระกูลซ่งผู้นี้เป็นคนงามผู้หนึ่ง? วันหน้าก็จะเป็นน้องสะใภ้เจาแล้ว หากเจ้าเอานางมาให้ข้าได้ ข้าก็จักเชื่อเจ้า เป็นเช่นใด?”
คำพูดไม่ถูกธรรมนองคลองธรรมปานนี้ เซินสวินกลับพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาตินัก หลิวรั่วอวี้เองก็ยังคล้ายตกตะลึงไปสักพัก จากนั้นจึงกลับมาอยู่ในอาการปกติ ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ถ้อยคำในพระราชโองการสมรสพระราชทานก็ล้วนเป็นคำตามแบบแผน ไปๆ มาๆ ก็เลือกใช้เพียงถ้อยคำงดงามที่ใช้อยู่เป็นประจำ เมื่อนำมาเขียนลงไปก็มิใช่ต้องเขียนว่าเพียบพร้อมทั้งคุณธรรมความสามารถ? แต่แรกนั้นในพระราชโองการที่ให้หม่อมฉันมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็มิใช่เขียนดังนี้เช่นกัน? แต่ฝ่าบาททอดพระเนตรหม่อมฉันสิว่าสามารถรับคำชมเหล่านั้นได้หรือ? ความจริงก็เป็นเพียงพระเมตตาของราชสำนักเท่านั้นเพคะ”
“ไม่อยากเอาคนมาให้ข้าก็บอกมาตรงๆ สิ” เซินสวินเอ่ยเหน็บแนม “ปรากฏว่าเพียงแค่ทดสอบก็ดูออกแล้วกระมัง? ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเสแสร้งแกล้งทำ” สนมสองนางพลันแสดงท่าทีตอบสนองด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“คุณหนูตระกูลซ่งผู้นี้ หม่อมฉันเคยเห็นมากับตาแล้ว” หลิวรั่วอวี้ยังคงเอ่ยด้วยท่าทีราบเรียบ “จะเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักคำว่า แม้รูปโฉมจะบอกได้ว่างดงาม แต่ก็แค่เพียงเท่านั้น มารดาของหม่อมฉันปีนี้ใกล้สี่สิบแล้ว จะว่าไปก็แก่กว่าคุณหนู ตระกูลซ่งผู้นี้เท่าหนึ่ง! ทว่าหากคุณหนูตระกูลซ่งผู้นี้ยืนอยู่กับมารดาของหม่อมฉัน ยังไม่งดงามเท่ามารดาของหม่อมฉันเสียด้วยซ้ำ! ส่วนหลิวรั่วเหยียน้องสาวของหม่อมฉัน ก็ยิ่งทำให้นางดูจืดชืดไปได้โดยง่าย!”
นางมีน้ำเสียงเยาะหยัน “หม่อมฉันมิได้ไม่เคารพต่อองค์ฮองเฮาแต่อย่างใด แต่ หม่อมฉันคิดว่าหากจะบอกว่าเป็นคนงาม ความจริงแล้วก็ต้องมาเทียบกันจึงจะดูออก หากเทียบกับหญิงอัปลักษณ์ ต่อให้มีหน้าตาธรรมดาย่อมรู้สึกสบายตาสบายใจแล้ว แต่หากเทียบกับคนงามจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงองค์ฮองเฮาเลย เพียงเทียบกับมารดาของหม่อมฉัน คุณหนูตระกูลซ่งจะนับเป็นสิ่งใดได้?”
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทแห่งต้าเว่ยก็ต้องผ่านพิธีทั้งหกเช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่ในพิธีรับตัวเจ้าสาวกลับไม่จำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตนเอง ดังนั้นเซินสวินจึงไม่เคยพบกับจางเสากวงมาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลิวรั่วเหยียเลย เดิมทีเขาก็เป็นคนลุ่มหลงในกามรมย์อยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำจึงอดมีท่าทีกระสันขึ้นมาไม่ได้ พลันผลักสนมสองนางออกโดยไม่รู้ตัว โน้มตัวเข้ามาถามว่า “ท่านแม่ยายและน้องภรรยางดงามเพียงนี้จริงรึ?”
หลิวรั่วอวี้คล้ายมีท่าทีระวังตัวขึ้นมา ลุกขึ้นยืนในทันใด กล่าวว่า “ฝ่าบาทเพคะ เมื่อครู่นี้หม่อมฉันสั่งให้ห้องครัวเล็กตุ๋นน้ำแกงไก่เอาไว้ให้ท่าน เวลานี้เกรงว่าคงจะเสร็จแล้ว หม่อมฉันจะไปดูสักหน่อยเพคะ!”
นางหลบเลี่ยงเสียชัดเจนปานนั้น ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วเซินสวินจะมีแก่ใจใดไปสนใจน้ำแกงไก่ พลันเอ่ยไปอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “ข้าไม่อยากดื่มน้ำแกง!” แล้วมองไปที่สนมข้างกายทั้งสองนาง พลันนึกขึ้นได้ว่าหากจะให้พระชายาแนะนำมารดาและน้องสาวของนางทั้งอยู่ต่อหน้าสนมก็ไม่เข้าทีจริงๆ …จึงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด แล้วถีบสนมที่เพิ่งจะจูบไปเมื่อครู่นี้ลงไปจากตั่ง ตำหนิไปว่า “นังไม่มีหัวคิด ไม่เห็นหรือว่าข้ามีเรื่องจะพูดกับพระชายาเพียงลำพัง? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
พวกสนมล้วนเคยชินกับนิสัยเช่นนี้ขององค์รัชทายาทมาตั้งนานแล้ว ที่ยามรักเป็นดังมณี อยากได้สิ่งใดก็มอบสิ่งนั้นให้ แต่ยามไม่รักก็ทิ้งขว้างดังรองเท้าเก่าๆ โดยมิได้อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย เวลานี้จึงไม่มีใครมีอาการตกตะลึง หากแต่พากันคำนับอย่างหวาดกลัวและออกไปแต่โดยดี
รอจนพวกนางไปถึงประตูแล้ว เซินสวินก็ตวาดใส่อีกว่า “คำพูดเมื่อครู่นี้ ห้ามไปปากมาก! หากมีคนกล้าเอาไปพูดกันส่วนตัว ข้าจะถลกหนักมันมาทำกลองเสียเลย รู้แล้วหรือไม่!”
“หม่อมฉันมิกล้า! หม่อมฉันจักฟังคำเพคะ!” สนมทุกนางล้วนพากันสะท้านไปทั้งตัว พร้อมกันนั้นก็พลันนึกถึงคำร่ำลือในตำหนักตะวันออก ว่ามีกลองกองทับกันสูงเป็นภูเขาเล็กๆ อยู่ในห้องห้องหนึ่ง….
เมื่อไล่คนออกไปแล้ว เซินสวินหรี่ตาลง กวักมือสั่งให้ หลิวรั่วอวี้ขยับเข้ามาใกล้ๆ “อวี้เอ๋อร์คนดี บอกกับข้าสักหน่อยว่า…ท่านแม่และน้องสาวของเจ้า งดงามอย่างไร เทียบกับเจ้าแล้วเป็นเช่นใด?”
__________________________
[1] ไส้เดือนดิน หรือชื่อยาจีนว่า ตี่เล็ง (ตี้หลง) เป็นไส้เดือนยักษ์ตากแห้ง มีฤทธิ์ช่วยให้อบอุ่น