ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3 - ตอนที่ 158-1 สนมเอกนกกระจอกเหลือง
“โอกาสที่ดีเช่นนี้ นางกู้ชั่วนั่นจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร?” ในเวลาไล่เลี่ยกัน สนมเอกเติ้งนั่งอยู่ในศาลาเล็กในภูเขาเทียมของตำหนักเยวี่ยกวง อุ้มแมวสิงโตเอาไว้ในอก ลำตัวของมันตรงตามลักษณะเมฆดำคลุมหิมะ ที่ทั้งตัวสีดำขลับ มีเพียงอุ้งเท้าทั้งสี่ที่มีสีขาวดังหิมะ พลางเอ่ยออกมาอย่างสบายอุรา
เล็บมือที่ตั้งใจย้อมมาตั้งแต่สองวันก่อนเพื่องานอภิเษกขององค์รัชทายาท ผ่านไปหนึ่งวันสีก็ยังคงไม่ได้จางลงแม้สักน้อย หากแต่ยังคงมีสีแดงจับตาจับใจ ประหนึ่งโลหิตที่เพิ่งจะไหลออกมาและยังไม่แข็งตัวเช่นนั้น มือที่ขาวนวลเปล่งปลั่งเพราะบำรุงอย่างพิถีพิถันมาเนิ่นนาน ไล้ผ่านขนสีดำขลับเป็นมันดังเมฆดำคลุมหิมะ แดงขาวดำสามสีประสานกันแสนสะดุดตา เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยากอธิบาย เมื่อแมวสิงโตรู้สึกสบาย มันก็ส่งเสียงร้องครางออกมา หน้าที่เต็มไปด้วยขนฟูๆ ของมันถูไปมาที่มือของสนมเอกเติ้ง คอยออดอ้อนอยู่ไม่หยุด
เหยาเถาได้รับอนุญาตให้นั่งในที่นั่งรอง ไม่มีแก่ใจไปสนใจมัน เพราะจิตใจของนางกำลังถูกคำพูดของสนมเอกดึงดูด แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “พระสนมเอกมิได้คิดจะหมั้นหมายซ่งซีเยวี่ยให้คุณชายหรอกหรือเจ้าคะ?” เรื่องราวเหมือนกับที่เว่ยฉางอิ๋งและฮองเฮากู้คาดเดา ว่าสาเหตุที่สนมเอกเติ้งสนใจซ่งซีเยวี่ยเป็นพิเศษในงานอภิเษกขององค์รัชทายาทครานี้ เป็นเพราะได้พบเห็นนางในวันออกเรือนของพระธิดาเฉิงเสียนจริงดังว่า
ในวันนั้น ระหว่างทางที่เติ้งวานวานที่ไม่ได้รู้ความในใจของเติ้งจงฉี กลับวังมาพร้อมกับเหยาเถา ปรากฏว่านางบังเอิญเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “วันนี้ข้าได้รู้จักพี่น้องตระกูลซ่งสองคน หนึ่งในนั้นพี่ซีเยวี่ยหน้าตาเหมือนกับพี่หญิงสามบ้านเว่ยเสียยิ่งนัก หากพวกนางไม่ได้บอกให้ชัดแจ้ง ข้าก็หลงนึกว่าเป็นพี่น้องตระกูลเว่ยเสียอีก” เติ้งวานวานไม่รู้ว่าเหยาเถาได้รับคำสั่งจากสนมเอกเติ้งว่าให้สรรหาคุณหนูมีตระกูลที่มีรูปโฉมงดงามคล้ายกับเว่ยฉางอิ๋งมาเป็นภรรยาของเติ้งจงฉี นางจึงเกิดสนใจขึ้นมาทันใด
คืนวันนั้น เมื่อให้ทุกคนออกไปและบอกเรื่องนี้กับสนมเอกเติ้ง สนมเอกเติ้งก็ใคร่ครวญอยู่เป็นนาน วันต่อมาซูอวี๋หลีออกเรือน นางจึงสั่งให้เหยาเถาไปแสดงความยินดีที่จวนซู และในเวลาเดียวกันก็ไปดูสักหน่อยว่าซ่งซีเยวี่ยและเว่ยฉางอิ๋งเหมือนกันอย่างไร? หลังจากเหยาเถาไปก็รายงานว่า ซ่งซีเยวี่ยมีหน้าตาคล้ายลูกผู้พี่ของนางยิ่งนักจริงดังว่า ครั้งนั้นสนมเอกเติ้งไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ในงานอภิเษกขององค์รัชทายาทเมื่อวานนี้ ซ่งซีเยวี่ยติดตามมารดาเข้าวังไปถวายพระพร สนมเอกเติ้งก็เรียกนางเข้ามาสอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ตรงหน้าด้วยท่าทีสนิทสนมและอ่อนโยนยิ่งนัก
เหยาเถาย่อมเห็นว่าสนมเอกเองก็เริ่มเห็นด้วยกับเรื่องนี้แล้ว แต่มาฟังสนมเอกเอ่ยในเวลานี้ กลับมีความหมายไปคนละอย่าง?
สนมเอกเติ้งแย้มยิ้มพลางว่า “เจ้าลืมเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเว่ยฉางอิ๋งแล้วหรือ?”
เหยาเถานึกย้อนขึ้นมาคราหนึ่ง พลันนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเคยเสนอความคิดว่าจะให้เติ้งวานวานหมั้นหมายกับเว่ยชิงซึ่งเป็นบุตรหลานในสายรองของรุ่ยอวี่ถัง สนมเอกเติ้งก็เคยบอกว่า ไม่ว่าอย่างไรเว่ยชิงก็เป็นลูกผู้พี่ในสายเดียวกันกับเว่ยฉางอิ๋ง เป็นญาติที่ต้องไปมาหาสู่กัน หากเป็นเพราะเหตุนี้แล้วยิ่งทำให้เติ้งจงฉีลุ่มหลงในตัวเว่ยฉางอิ๋งมากเข้าไปอีกจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วเกิดถูกคนจับพิรุธได้ขึ้นมา …ด้วยชาติกำเนิดของเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋ง และในขณะที่เติ้งจงฉีเป็นเพียงคนที่ถูกคนในตระกูลเติ้งกดขี่ทอดทิ้ง ล้วนต้องพึ่งพาบารมีของสนมเอกจึงได้มีโอกาสเช่นในวันนี้ มิใช่ว่าเติ้งจงฉีจะต้องล้มจนลุกขึ้นมาอีกไม่ได้ด้วยเหตุนี้หรอกหรือ?
เว่ยชิงผู้นั้นยังอยู่ไกลถึงเฟิ่งโจว และหากไล่ลำดับกันไป พวกเขาก็มีสายเลือดเดียวกันตั้งแต่รุ่นปู่ทวดของเว่ยฉางอิ๋งโน่น ประสาอะไรกับซ่งซีเยวี่ยผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของอาแท้ๆ ของเว่ยฉางอิ๋ง ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ยังอยู่ในเมืองหลวงด้วย อาจคาดการณ์ได้ว่า หากเติ้งจงฉีแต่งกับซ่งซีเยวี่ยแล้ว แม้วันหน้าอาจไม่มีโอกาสพบกับเว่ยฉางอิ๋งบ่อยครั้ง แต่เพราะต้องคบค้ากัน จึงทำให้เขาได้ยินเรื่องของเว่ยฉางอิ๋งได้ไม่ยากเย็น …เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหยาเถาก็เข้าใจขึ้นมา กล่าวว่า “วานนี้ พระสนมเอกจึงจงใจเรียก ซ่งซีเยวี่ยมาตรงหน้าหรือเพคะ?”
มุมปากของสนมเอกเติ้งโค้งขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “นางกู้คอยคิดหาทางจับพิรุธข้าอยู่ตลอด ข้าเห็นนางตั้งอกตั้งใจเพียงนี้ ก็เห็นใจเป็นนักหนา ในเมื่อเป็นดังนี้ ก็หาพิรุธให้นางจับได้เสียเลยเป็นอย่างไร?”
เหยาเถารีบถาม “เช่นนั้น พระสนมเอกคิดการเช่นใดเพคะ?”
“นางรู้ว่าข้ารักใคร่ฉีเอ๋อร์มาโดยตลอด ไม่ว่าฉีเอ๋อร์ต้องการสิ่งใด ข้าไม่เคยขัด ต้องหาทนทางให้เขาสมดังหวัง” สนมเอกเติ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นเฉียบ “ในเมื่อเวลานี้รู้ว่าข้า ‘หมายตา’ ซ่งซีเยวี่ยผู้นี้ …เจ้าว่าแม้แต่เซินปั๋วอยากไปขอแต่งเว่ยลิ่งเยวี่ยนางก็ยังอยากมีส่วนร่วม แล้วประสาอะไรกับเรื่องของข้าทางนี้?”
สนมเอกค่อยๆ เอ่ยอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “นางกู้อยากโค่นล้มข้า ก็ไม่พ้นต้องใช้สองวิธี หนึ่งคือให้ซ่งซีเยวี่ยไปแต่งกับผู้อื่น สองก็คือหาทางลงมือกับฉีเอ๋อร์ทางนี้ เพียงแต่นางกู้นั้นเหลี่ยมจัดนัก ในเมื่อมีซ่งซีเยวี่ยที่ข้าให้ความสนใจเป็นพิเศษอยู่ตรงหน้า นางก็จะต้องไม่ให้ซ่งซีเยวี่ยถูกจับคู่กับผู้ใดไปตรงๆ เพื่อมิให้มีร่องรอยชัดเจนเกินไป และไม่อาจชี้แจ้งต่อฮ่องเต้ได้ ข้าคิดว่าเป็นไปได้อย่างมากว่านางต้องให้ผู้อื่นออกหน้าแทน”
เหยาเถาบอกว่า “พระสนมเอกทรงหมายความว่า?”
“นางต้องอาศัยโอกาสนี้ทำดีกับซ่งถงสามีภรรยา” สนมเอกเติ้งหรี่ตาลง เอ่ยช้าๆ ว่า “ซ่งถงไปประจำอยู่ที่เจ๋อเจียงหลายปี จวบจนเร็วๆ นี้จึงเพิ่งหาหนทางกลับมาที่เมืองหลวง ก็มิใช่เพื่อเรื่องสำคัญในชีวิตของบุตรสาวทั้งสองหรอกหรือ? เพียงแต่ว่าพวกเขาเพิ่งจะกลับมาที่เมืองหลวง แม้ว่าที่นี่จะมีญาติ แต่ขณะนี้ก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ เจ้าดูเอาเถิด นางกู้จะต้องแนะนำตัวเลือกบุตรเขยที่ไม่เลวสักคนสองคนให้แก่เว่ยเซิ่งเซียน ในเวลาเดียวกันก็จะต้องหาหนทางทำให้ เว่ยเซิ่งเซียนคิดว่าฉีเอ๋อร์ไม่ใช่คู่ครองที่ดีของซ่งซีเยวี่ย”
“ในเมื่อพระสนมเอกก็ทรงเดาว่านางกู้ต้องทำเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าพวกเราควรต้องทำเช่นใดเพคะ?” เหยาเถาใคร่ครวญอยู่เป็นนาน จึงเอ่ยขอคำชี้แนะ
สนมเอกเติ้งกลับบอกว่า “คอยทำตามน้ำไป! พอดีมีเรื่องนี้ให้นางได้วุ่นวาย!” แล้วเอ่ยคล้ายมีความคิดในใจว่า “หากไม่หาเรื่องให้นางทำบ้าง นางก็ต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่ข้าตั้งใจจะทำจริงๆ อีก!”
เหยาเถาสะดุ้ง แล้วเอ่ยถามไปโดยไม่ทันคิดว่า “พระสนมเอกจะทำสิ่งใดเพคะ?”
“เซินปั๋วไม่เพียงอายุครบสิบหกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเดือนสิบเอ็ดก็จะได้บรรดาศักดิ์เป็นอีอ๋อง” สนมเอกเติ้งเอ่ยนิ่งๆ “และเวลานี้ก็มีซ่งซีเยวี่ยที่หน้าตาคล้ายคลึงกับเว่ยฉางอิ๋งมากๆ โผล่ขึ้นมาอีกคน เกรงว่านางกู้คงไม่มีเวลามาคอยรังควานข้าอีก ไม่นานก็จะต้องยอมให้เขาได้แต่งกับเว่ยลิ่งเยวี่ย …เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อย่างมากที่สุด หลังจากเขาแต่งงานใหม่ได้ครบเดือน ก็จะต้องไปที่แคว้นอีแล้ว ข้าต้องหาวิธีช่วยเขาสักหน่อย อย่างไรก็ต้องหาทางทำให้เขาอยู่ในเมืองหลวงให้จงได้!”
“มิใช่ว่าพระสนมเอกมีองค์ชายสิบหกและองค์ชายสิบเอ็ดที่พระสนมเมี่ยวดูแลอยู่แล้วหรือเพคะ?” ฮูหยินเอ่ยอย่างสงสัย “แม้อีอ๋องจะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ยิ่งนัก ทว่าก็มิได้ทรงรักใคร่เท่าองค์รัชทายาท อีกประการหนึ่งอีอ๋องก็ยังเป็นท่านหญิงเจินอี้เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ และสองปีมานี้ก็เพิ่ง…”
“สิบหกและสิบเจ็ดยังเล็กเกินไป” สนมเอกเติ้งถอนหายใจ กล่าวว่า “องค์ชายทั้งสองพระองค์ องค์หนึ่งเพิ่งเจ็ดขวบ อีกพระองค์เพิ่งห้าขวบ! ยังไม่โตเท่าชิงซินเลย! แม้จะโค่นล้มเซินสวินได้ แล้วเจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะวางพระทัยมอบต้าเว่ยให้แก่ยุวะกษัตริย์ที่อายุไม่ถึงสิบขวบหรือ? ยุวะกษัตริย์ ราษฎร์แคลงใจ! หากอยู่ในยามรุ่งโรจน์สุขสงบก็กลับแล้วไป แต่ต้าเว่ยในยามนี้นั้น… แม้แต่ข้าซึ่งเป็นนางในอยู่แต่ในตำหนักในก็ยังได้ยินมาว่าเวลานี้ข้างนอกไม่สุขสงบอย่างยิ่ง หาไม่แล้วไยต้องให้ราชองครักษ์ที่ถวายงานหน้าพระพักตร์ไปสร้างผลงานที่ชายแดน? แม้แต่ องค์ฮ่องเต้เอง สาเหตุที่ไม่โปรดออกว่าราชการก็มิใช่เพราะฎีกาที่ส่งมาจากที่ต่างๆ ล้วนเป็นข่าวไม่ดี ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งเครียด จึงทรงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไปเสีย?”
—————————–